องค์ชายใหญ่ลุกขึ้น อยากจะเดินเข้าไปหาองค์หญิงซีหลัน แต่ทว่า ในขณะที่เพิ่งจะลุกขึ้น กลับมีเสียงของข้ารับใช้ในวังดังขึ้นภายในตำหนักใหญ่ : “ฮ่องเต้เสด็จแล้ว ฮองเฮาเสด็จแล้ว ไทเฮาเสด็จแล้ว”
ตามหลังมาด้วยชื่อของบรรดาพระสนมตามลำดับ โดยส่วนมาก พระสนมที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษในช่วงนี้ ต่างก็เดินทางมาร่วมงานเลี้ยง โดยมีพระสนมรวมทั้งสิ้นห้าพระองค์
แต่ละคนมีใบหน้าที่งดงาม มีนางกำนัลคอยประคองไปยังที่ประทับ
ทุกคนต่างลุกขึ้นทำความเคารพ หลังจากที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งมีรับสั่งให้ทำตัวตามสบายแล้วนั้น ทุกคนจึงค่อย ๆ ทยอยนั่งลง
หลังจากที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งนั่งลงแล้ว ก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงที่นั่งที่ว่างเปล่าที่หนึ่ง จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ข้าได้ยินมาว่า วันนี้อ๋องเจ็ดก็มาเข้าร่วมงานเลี้ยงไม่ใช่หรือ ?”
ลูกชายของตนเองคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ชอบบรรยากาศอันวุ่นวายของงานเลี้ยง ยากนักที่จะพูดว่าจะมาเข้าร่วม เขาย่อมยินดีปรีดาแน่นอน
ในเมื่อบอกว่าจะมา จึงย่อมไม่มีทางมาสายอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างค่อย ๆ เหลือบตาไปมององค์หญิงซีหลัน โดยไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองตามสายตาของคนเหล่านั้นไปยังองค์หญิงซีหลัน และรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวมีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาทุกคาที่จ้องมองมาจากรอบด้าน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุเลยสักนิด
ด้านข้าง มีขันทีผู้หนึ่งเดินตรงเข้าไป แล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักใหญ่เมื่อครู่ให้ฮ่องเต้เซวียนถ่งฟัง
การแสดงออกของฮ่องเต้เซวียนถ่ง เริ่มตั้งแต่การเลิกคิ้วในตอนแรก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ และสุดท้ายก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
กลับกลายเป็นชูเฟยเหนียงเหนียงที่นั่งอยู่ด้านข้าง หลังจากได้ยินเช่นนั้นแล้วก็พูดขึ้นทันทีว่า : “ฝ่าบาท องค์หญิงซีหลันผู้นี้นับว่าไร้มารยาทมากจริง ๆ ไม่เพียงทำให้ท่านอ๋องเจ็ดทรงกริ้วจนเดินจากไปเท่านั้น เมื่อครู่ตอนอยู่ในสวนบุปผาหลวง ก็ทำให้หม่อมฉันต้องอับอายต่อหน้าผู้อื่น ทุบตีนางกำนัลของหม่อมฉันจนไม่เหลือชิ้นดี นับว่าไม่เห็นราชวงศ์เทียนหลิงของเราอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย พระองค์จะทรงละเว้นนางง่าย ๆ ไม่ได้นะเพคะ”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยินดังนั้น ก็หันมองชูเฟย : “อ้อ ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
ชูเฟยรีบยกมือขึ้นทันที ทันใดนั้นก็มีข้ารับใช้ในวังหามเปลขึ้นมา คนที่นอนอยู่ด้านบนดูอ่อนแรงอย่างยิ่ง
เมื่อเปลถูกวางลงบนพื้น ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ขุนนาง
นี่เรียกว่าสั่งสอนที่ไหนกัน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นการทุบตีเพื่อหวังเอาชีวิต
ดูจากอาการบาดเจ็บ บนใบหน้าแทบแยกแยะไม่ออก เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก
“ทำไมถึงอาการหนักเช่นนี้ ?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งขมวดคิ้ว
ชูเฟยปาดน้ำตาแล้วพูดว่า : “ตอนที่หม่อมฉันอยู่ในสวนบุปผาหลวง พบกับองค์หญิงซีหลันเข้าโดยบังเอิญ ยังไม่ทันจะได้เดินเข้าไปทักทาย นางก็พุ่งตรงเข้ามาลงไม้ลงมือก่อน นางกำลังผู้นี้ต้องการปกป้องผู้เป็นนาย จึงเข้าไปขวางหน้าหม่อมฉันเอาไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกทุบตีอย่างทารุณเช่นนี้”
“หม่อมฉันรู้ดีว่า องค์หญิงซีหลันเป็นผู้ส่งสารของเป่ยเว่ย มีฐานะสูงส่ง ซ้ำกำลังจะเกี่ยวดองกับเทียนหลิง หม่อมฉันไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพียงแต่ เมื่อหม่อมฉันลองใคร่ครวญดูอีกครั้ง ตอนนี้ขนาดว่านางยังไม่มีฐานะอะไร ก็ไม่เห็นคนในวังอยู่ในสายตาเช่นนี้แล้ว ต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นได้ จึงได้คิดว่าควรทูลรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบเพคะ”
พูดอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้
หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงหัวยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เกรงว่าคงคิดจริง ๆ ว่า คนผู้นี้ถูกตนเองทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ
ชูเฟยเหนียงเหนียงผู้นี้ นับว่าเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมจริง ๆ เพื่อยัดเยียดความผิดให้กับนาง ถึงขนาดลงไม้ลงมืออย่างหนักเช่นนี้กับนางกำนัลคนสนิทของตนเอง
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มีเพียงเฟิ่งชิงหัวกับชูเฟยและนางกำนัลของทั้งสองเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด ตอนนี้ ตอนนี้ชูเฟยชิงข่มขวัญคู่ต่อสู้ก่อน เมื่อประกอบกับความใจกล้าที่เฟิ่งชิงหัวแสดงออกมาในตำหนักใหญ่ก่อนหน้านี้ ทำให้บรรดาขุนนางต่างเชื่ออย่างสนิทใจ
ดังนั้น มีอำมาตย์ก้าวขึ้นไปด้านหน้าทันที : “ทูลฝ่าบาท พฤติกรรมขององค์หญิงซีหลันในครั้งนี้ นับว่าไม่เห็นเทียนหลิงเราอยู่ในสายตาจริง ๆ ทุกคำพูดทุกการกระทำของนาง ล้วนกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศอย่างรุนแรง ขอฝ่าบาททรงลงโทษอย่างหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...