เหลียนซินยังอยากพูดอะไรบางอย่างอีก แต่จ้านเป่ยเซียวได้เดินมาถึงที่ศาลาเรียบร้อยแล้ว เขามองดูแก้มที่แดงระเรื่อและแววตามึนงงของเฟิ่งชิงหัว จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “เมาแล้วหรือ ?”
“อืม”
“เปล่า”
เฟิงชิงหัวกับเหลียนซินพูดต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน
จ้านเป่ยเซียนจ้องมองเหลียนซินอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้เหลียนซินตกใจจนแทบหยุดหายใจ และเสียวสันหลังขึ้นมา
แต่เฟิ่งชิงหัวกลับไม่สนใจสีหน้าอันเย็นชาของจ้านเป่ยเซียว นางหันไปกวักมือเรียกจ้านเป่ยเซียว : “มานี่เร็ว มานี่เร็ว”
จ้านเป่ยเซียวหยุดมอง แล้วเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เฟิ่งชิงหัว จากนั้นจึงขมวดคิ้วแล้วจ้องมองนาง : “ดื่มเหล้าไม่ได้แล้วยังจะดื่มมากขนาดนั้นอีก ?”
เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นโอบเอวจ้านเป่ยเซียว แล้วพิงตัวลงบนไหล่ของเขา มุ่ยปากแล้วพูดขึ้นว่า : “ต้องโทษเหลียนซิน นางบอกว่านั้นคือเหล้าผลไม้ ดื่มแล้วไม่เมา”
ตอนที่หญิงสาวพูด ก็มีกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกท้อลอยออกมาจากปาก พร้อมไอร้อนเล็กน้อย พัดผ่านต้นคอและใบหูของจ้านเป่ยเซียวไป
เหลียนซินได้ยินดังนั้นก็เหงื่อตก รู้สึกกลัวจนตัวสั่นงันงก แทบจะคุกเข่าลงไปกับพื้น
ไม่รู้ว่าตกใจเพราะพฤติกรรมอันใจกล้าของนาง หรือตกใจเพราะคำพูดของนางกันแน่
จ้านเป่ยเซียวก้มหน้าลง จ้องมองริมฝีปากแดงระเรื่อของนาง และดวงตาสีเข้ม
“รู้ไหมว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ?” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นอย่างสุขุม มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนตักค่อย ๆ กำแน่นขึ้น
เฟิ่งชิงหัวเอียงศีรษะไปอีกข้างหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางพูดว่า : “รู้สิ ข้ากำลังกอดท่านอยู่”
หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นอีกว่า : “เมื่อครู่ตอนอยู่ในตำหนักใหญ่ พวกเขาต่างพูดว่า ข้าลวนลามท่าน อยากให้พวกเขามาเห็นจริง ๆ เลยว่า แบบไหนที่เรียกว่าลวนลาม”
ลูกกระเดือกของจ้านเป่ยเซียวขยับขึ้นลง เสียงเริ่มทุ้มยิ่งขึ้น : “เจ้าคิดจะลวนลามข้าหรือ ?”
เฟิ่งชิงหัวยืดตัวตรง แล้วจ้องมองจ้านเป่ยเซียว : “หากข้าลวนลามท่านจริง ๆ ล่ะ ? ท่านจะทำร้ายข้าเหมือนอย่างที่พวกเขาพูดกันหรือไม่ ?”
“เช่นนั้นก็ต้องดูว่า เจ้าคิดจะลวนลามอย่างไร” น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวเกือบจะฟังดูเย้ายวน
เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ ดวงตาทั้งสองข้างโค้งจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว สูญเสียความเฉลียวฉลาดและความสงบนิ่งอย่างที่เคยมีมา เหมือนกับเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง
ทว่าในวินาทีต่อมา จู่ ๆ เฟิ่งชิงหัวก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับแก้มของจ้านเป่ยเซียว จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นจุมพิตลงบนริมฝรปากเรียวบางของชายหนุ่ม
เหลียนซินตกใจจนยืนตะลึงงัน และนั่งฟุบลงกับพื้นทันที
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็หันกลับไปแล้วก้มหน้าลงมองนางด้วยความสงสัย : “เหลียนซิน ไม่มีใครใช้ให้เจ้าทำความเคารพเสียหน่อย ทำไมเจ้าถึงคุกเข่าลงเสียล่ะ ?”
“หม่อมฉัน หม่อมฉัน ขาอ่อนเพคะ” เหลียนซินพูดจาตะกุกตะกัก
ส่วนจ้านเป่ยเซียวกลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา
เหลียนซินรวบรวมความกล้า และคุกเข่ายืดตัวตรง : “ท่านอ๋องทรงโปรดอภัยด้วย องค์หญิงทรงกำลัง ทรงกำลังเมาหนัก จึงได้เลอะเลือนไปชั่วขณะ จนล่วงเกินท่านอ๋องเข้า ข้อท่านอ๋องทรงโปรดละเว้นนางด้วยเพคะ”
“นางกำนัลอย่างเจ้า คิดจะมาสั่งสอนข้าว่าต้องทำอะไรอย่างนั้นหรือ ?” น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวดุดัน เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เฟิ่งชิงหัวจ้องมองจ้านเป่ยเซียว จากนั้นจึงยื่นมือออกไปสะกิดตรงหว่างคิ้วของเขา : “อย่าคิดว่าท่านสวมหน้ากาก แล้วข้าจะไม่รู้นะว่าท่านกำลังขมวดคิ้วอยู่ ! ห้ามขมวดคิ้วเด็ดขาด น่าเกลียดจะตายไป !”
จ้านเป่ยเซียวมองดูนางที่กำลังยืนโซเซอยู่ตรงหน้าของตนเอง ก็ยื่นมือออกไปโอบเอวของนางอย่างจนใจ : “ยืนให้นิ่งสิ”
“อ้อ” เฟิ่งชิงหัวยืดตัวตรง มือข้างหนึ่งพาดอยู่บนไหล่ของจ้านเป่ยเซียว จากนั้นก็หันกลับไปมองเหลียนซินอีกครั้ง : “เหลียนซิน เจ้าลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นหรอก เขาไม่ใช่พวกกินคนเสียหน่อย”
ตอนนี้เหลียนซินรู้สึกกลัวจนตัวสั่น และไม่รู้สึกขำกับคำพูดติดตลกของนางเลยสักนิด
“ออกไป” จ้านเป่ยเซียวออกคำสั่ง
เหลียนซินทำสีหน้างุนงง แต่ทว่า ขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นพฤติกรรมของทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า
มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มกำลังโอบเอวของหญิงสาวเอาไว้ แสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ส่วนหญิงสาวก็พิงตัวอยู่บนไหล่ของชายหนุ่มตามสบาย
ท่าทางที่ดูคุ้นเคยเช่นนั้นไม่เหมือนรังเกียจ แต่เหมือนว่าคุ้นชินกับพฤติกรรมเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...