เมื่อหลิวหยิ่งกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสอง เขาก็ตกใจจนตาค้าง
เขาไม่เคยเห็นเจ้านายของตนในด้านนี้มาก่อน
แม้ว่าจะโปรดปราณพระชายามาก แต่ปกติแล้วก็ยังคงมีท่าทางราวเทพสูงส่งที่ยากจะเข้าถึง เคยทำตัวราวกับคนธรรมดาเดินดินแบบนี้เสียที่ไหนกันเล่า
แถมยังเป็นช่วงเวลาที่สองสามีภรรยากำลังทะเลาะกันอยู่ด้วย
ในความคิดของเขานั้นต้องขอบคุณพระชายาอย่างยิ่ง เพราะนางเป็นคนช่วยไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้ายังอยากมีดวงตาอยู่อีกหรือไม่” จ้านเป่ยเซียวเสียงแข็ง
หลิวหยิ่งได้สติกลับมา เขาตกใจจนเหงื่อแตกแล้วนั่งคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยสมควรตาย!”
“ถ้าท่านอยากจะว่าก็ว่าที่ข้าได้เลย อย่ามาตีวัวกระทบคราด” เฟิ่งชิงหัวที่อยู่บนหลังจ้านเป่ยเซียวพูดโดยที่ขาของนางยังคาอยู่ที่เอวของเขาราวกับนางกำลังขี่ม้า
จ้านเป่ยเซียวหันหน้าไปมองเฟิ่งชิงหัวหนึ่งแวบ “ลงไป”
“ไม่”
“ข้าต้องออกไปเจอแขก”
“ท่านก็ไปพบสิ ยังไงข้าก็ไม่กลัวเรื่องขายหน้าอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงหัวเชิดหน้าขึ้นราวกับหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อน
เพราะตั้งแต่ที่นางตั้งใจจะมาขอโทษ นางก็ไม่ได้คิดจะล้มเลิกกลางทางอยู่แล้ว
อีกอย่างตอนนี้นางกำลังใส่หน้ากากอยู่ นางไม่เขอะเขิน แต่จ้านเป่ยเซียวเองนั่นแหละ การที่เขาต้องแบกผู้หญิงคนหนึ่งไปพบคนอื่น เขาน่าจะรู้สึกเขอะเขินมากกว่า
จ้านเป่ยเซียวเหลียวมองนาง “นี่คือท่าทางในการขอโทษของเจ้างั้นหรือ”
“ท่านไม่ยอมรับการขอโทษของข้า เช่นนั้นข้าก็ทำท่าทางแบบนี้แหละ หากท่านยอมรับข้าถึงจะเปลี่ยนท่าทาง”
“ฝันไปเถอะ!”
“อย่างนั้นข้าจะติดตามท่าน” เฟิ่งชิงหัวกระฟัดกระเฟียด เมื่อกล่าวนางก็เอาหัวของนางไปซุกอยู่ที่หลังของจ้านเป่ยเซียว “ท่านไปพบแขกเถิด ไม่ต้องสนใจข้า ข้าขอนอนสักครู่”
จ้านเป่ยเซียวขบฟันแน่น เขารู้สึกอยากจะสลัดเฟิ่งชิงหัวทิ้งไปให้พ้นๆ เมื่อหันหน้าไปมองจึงสบดวงตาของนางเข้า
“เตรียมฉากกั้นลม” จ้านเป่ยเซียวสั่งการ น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งขึ้นกว่าตอนแรก
“ขอรับ” หลิวหยิ่งรีบออกไปเตรียม
เว่ยหยวนดูแลชายแดนมาเป็นเวลานาน และเคยเป็นลูกน้องของจ้านเป่ยเซียวมาก่อน หลังจากที่จ้านเป่ยเซียวบาดเจ็บหนัก เว่ยหยวนจึงต้องมาทดแทนตำแหน่งของเขา
แต่ในใจของเว่ยหยวน จ้านเป่ยเซียวยังคงเป็นเทพแห่งสงครามเสมอ เป็นแม่ทัพใหญ่เพียงคนเดียวในใจของเขา
เว่ยหยวนยังมีแม่ทัพเล็กๆ คอยติดตามมาด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่เคยฟังคำสั่งของเทพอย่างจ้านเป่ยเซียวแต่ไม่มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆ ของเขา
ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นจนถูมือตัวเองเพราะกำลังจะได้เจอท่านอ๋องอยู่นั้นเอง ก็เห็นองครักษ์สองคนยกฉากบังลมเข้ามาไว้ในห้องโถง ในช่วงเวลาแห่งความสงสัยนั้นเองก็เห็นคนคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง พวกเขายังไม่ทันจะเห็นได้ถนัด คนคนนั้นก็เข้าไปอยู่หลังฉากบังลมแล้ว
เว่ยหยวนคิดว่าตนน่าจะตาฟาดไป ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมเขาถึงเห็นว่าด้านหลังของท่านอ๋องคล้ายแบกของบางอย่างมาด้วย
“คารวะท่านอ๋อง” ทุกคนล้วนลุกขึ้นทำความเคารพ
“ลุกขึ้น ว่ามาเถิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสียงผู้ชายดังออกมาจากหลังฉากกั้นลมอย่างราบเรียบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
เว่ยหยวนจึงรายงานสถานการณ์ออกมา จากนั้นจึงกล่าวอย่างรู้สึกโกรธแค้น “ท่านอ๋อง พวกเราไม่อาจปล่อยให้คนพวกนั้นเสียงดังแบบนั้น น่าจะใช้สีเพื่อเชิดชูอานุภาพของเทียนหลิงของพวกเราบ้าง
“เรื่องนี้ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างไรบ้าง”
“ข้าเพิ่งออกมาจากวังหลวง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เฝ้าชายแดนไว้อย่างแน่นหนา รักษากองกำลังเอาไว้”
“ในเมื่อบอกว่าให้เฝ้า อย่างนั้นก็เฝ้าเถิด”
“ท่านอ๋อง แต่ว่าโจรพวกนั้นเสียงดังเอะอะ เหล่าทหารถูกต่อว่าจนหดหัวเหมือนเต่าไปหมดแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ทหารคงอยู่กันไม่เป็นสุขแน่” เว่ยหยวนคิดว่าท่านอ๋องน่าจะมีความคิดไปในทิศทางเดียวกับพวกเขาโดยให้เปิดด่านเพื่อปล่อยศัตรูเข้ามา คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...