เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยินเฟิ่งชิงหัวเช่นนี้ใบหน้าของเขาก็ดำมืด จึงหันหน้าไปขมวดคิ้วมองนาง
เฟิ่งชิงหัวกล่าวโดยขยับเพียงปาก “ข้าพูดอะไรผิด? หรือว่าท่านชอบให้คนอื่นเข้าใจท่านผิด เมื่อครู่นี้ข้าเข้าใจท่านผิดท่านยังโมโหข้าเลย แต่พวกเขาเข้าใจท่านผิดท่านกลับไม่พูดอะไรเลยสักคำ นี่มันลำเอียงชัดๆ”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวว่า “แล้วให้ข้าขัดแย้งกับเขาเรื่องอะไร”
“แล้วทำไมจะขัดแย้งไม่ได้ล่ะ ทุกคนต่างมีพ่อแม่เลี้ยงมาทั้งนั้น ทหารป้องกันประเทศมีเกียรติยศ แต่จะมาใส่ร้ายคนอื่นส่งๆ แบบนี้ไม่ได้” เฟิ่งชิงหัวกล่าวกระฟัดกระเฟียด
“ส่งๆ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวหงอยลง แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “มันคนละเรื่องกัน แต่อย่างไรพวกเขาจะรังแกท่านไม่ได้อยู่ดี”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็อยากจะร้องไห้
รังแก?
ทำไมนางถึงคิดว่าเขาเป็นคนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ แบบนั้นล่ะ
เว่ยหยวนได้ยินดังนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความละอายใจ จึงคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเอามือทั้งสองประสานกัน “ท่านอ๋อง เป็นข้าเองที่ระแวงในตัวท่านถึงได้เข้าใจในตัวท่านผิดอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ เป็นความผิดของข้าเอง ท่านอ๋องรักษาตัวท่านให้ดีเถิด ข้าจะต้องปกป้องชายแดนให้อยู่อย่างสงบสุข ข้าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
การวิเคราะห์ของท่านอ๋องเมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้นึกถึงมาก่อน แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอันตรายอะไร แต่ใครจะรู้ ว่าหลังจากนี้จะไม่เป็นอย่างที่เขาพูด และหากเป็นอย่างที่เขาพูดจริง พวกเขาจะไม่กลายเป็นคนบาปของเทียนหลิงเชียวหรือ”
หลังจากนั้นเว่ยหยวนก็เอ่ยว่า “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉากกั้นลมคือพระชายาใช่หรือไม่ ขอบพระทัยที่พระชายาให้การชี้แนะ ข้าและคนอื่นๆ ตาสว่างขึ้นมามากทีเดียว
แม่ทัพคนอื่นๆ พากันทำความเคารพ “ขอบพระทัยที่พระชายาชี้แนะ ข้าและคนอื่นๆ ตาสว่างแล้ว”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นว่าพวกเขามีท่าทีค่อนข้างจริงใจจึงกล่าวอย่างแน่นมาก “เด็กหนุ่ม พวกเจ้าอย่าใจร้อนเลย ไหล่ของพวกเจ้าแบกความรับผิดชอบจากผู้คนเป็นหมื่นๆ คน หรือว่าเรื่องราวพวกนี้ทำให้พวกเจ้าทนคำต่อว่าจากคนพวกนั้นไม่ได้?”
“หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พวกเจ้ายังทนไม่ได้ จะทำให้ขวัญกำลังใจของทหารแตกสลาย ประชาชนก็คงจะตื่นตระหนกด้วยกระมัง”
ทุกคนมีสีหน้าละอายใจแล้วพยักหน้าตอบรับ
ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวมองไปรอบๆ “แต่ข้ากลับมีวิธี ที่จะไม่ทำให้พวกเขาต่อว่าพวกเจ้าอีก”
แม่ทัพเหล่านั้นกล่าวพร้อมกันว่า “พระชายาโปรดชี้แนะ”
“ข้าได้ยินว่าคนที่อยู่นอกด่านพวกนั้น โดยมากแล้วเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และชอบรวมตัวกันบริเวณทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์”
“ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้ ติดตรงที่ว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขากลับมาเฝ้าอยู่นอกด่านและตะโกนต่อว่าทั้งวันทั้งคืน ช่างน่ารำคาญยิ่ง”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน พวกเจ้าก็แค่เผาธัญญาหารของพวกเขาซะ หากพวกเขาไม่มีที่พึ่งย่อมจะถอยกลับไปเอง”
รอยยิ้มของเว่ยหยวนหายไป “พระชายาอาจจะไม่รู้ คนพวกนั้นฉลาดเป็นกรด ธัญญาหารของพวกเขาเอาวางไว้หลังค่าย พวกเราพยายามโจมตีหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มพลางกล่าวว่า “หลังจากนั้นอีกสิบวันก็จะเห็นเอง ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปชายแดนอย่างสบายใจได้เลย”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างมั่นใจ แต่ในใจของเว่ยหยวนกลับรู้สึกกังวลแล้วกล่าวอย่างหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋อง?”
“ไปเถิด”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง” เว่ยหยวนพาพวกถอยออกไป
หลังจากออกจากจวนแล้ว แม่ทัพคนอื่นๆ ต่างกล่าวอย่างลังเลว่า “ท่านแม่ทัพ พวกเราจะกลับไปอย่างนี้เลยหรือ คำพูดของพระชายาเชื่อได้หรือไม่”
“นั่นสิ นางไม่รู้สถานการณ์บริเวณชายแดน หากไร้ประโยชน์ การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ไม่นับว่าสูญเปล่าหรอกหรือ”
“พวกเราสามารถปิดหูปิดตาตัวเองให้ไม่ได้ยินไม่เห็นได้ แต่ท่านจะให้พี่น้องของพวกเราคนอื่นๆ คิดอย่างไรเล่า”
เว่ยหยวนกล่าวว่า “เอาล่ะ ในเมื่อท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้แล้ว พวกเราก็แค่ทำตามที่เขาบอก อีกอย่างพวกเจ้าลืมคำพูดที่พระชายาพูดแล้วหรือ บนบ่าของพวกเราแบกความหวังและความรับผิดชอบเอาไว้ ตอนนี้ก็แค่คำด่าเพียงไม่กี่ประโยค อย่างมากพวกเราก็แค่ด่ากลับ!”
“ดีขอรับ ด่ากลับ!”
ที่จวนอ๋อง จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหลังห้องโดยไม่พูดไม่จา โดยมีนางห้อยอยู่ด้านหลัง
เฟิ่งชิงหัวถามขึ้นว่า “ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้าจะส่งอะไรให้พวกเขา”
“ยังไงก็คงไม่ใช่ของดีอะไรหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...