พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว นิยาย บท 300

สรุปบท บทที่ 300 เจ้าอัปลักษณ์ข้าตาบอด: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว

ตอน บทที่ 300 เจ้าอัปลักษณ์ข้าตาบอด จาก พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 300 เจ้าอัปลักษณ์ข้าตาบอด คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว ที่เขียนโดย เสี่ยวโหม เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

จ้านเป่ยเซียวจ้องไปยังเฟิ่งชิงหัว เห็นสีหน้าของนางจริงจัง ความสงสัยก็ยังแขวนอยู่บนใบหน้า เขาก็เลยผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย อีกทั้งยังนับว่าทำให้ถอนหายใจออกมาได้ ก็เลย “อืม” ออกมาสั้นๆ คำหนึ่ง

“ก็ได้ เจ้าดื่มยาในตอนที่ยังร้อนอยู่ไปก่อน ข้านวดให้เจ้าเสร็จแล้วค่อยไปดูสถานการณ์ของเขา”

จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วแล้วก็ดื่มยาจนหมด เฟิ่งชิงหัวก็เลยรับข้ามมือมาแล้วกล่าวว่า: “งั้นเริ่มใหม่แล้วนะ เจ้าอย่าตื่นเต้นจนเกินไป”

ในขณะที่พูดอยู่ก็เริ่มจับไปยังจุดชีพจรใหม่อีกครั้งตั้งแต่เริ่มเลย

ก็ยังคงมีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเมื่อครู่อยู่ดี แต่ว่าครั้งนี้จ้านเป่ยเซียวกลับไม่ใช่อึมครึมและไม่ส่งเสียง แต่กลับเริ่มพูดคุยออกมาทันที

“เฟิ่งชิงหัว มือของเจ้าทำไมถึงได้หนักเช่นนั้น” จ้านเป่ยเซียวไม่พอใจ

“แรงที่ลงไปก็เหมือนเดิม เป็นเพราะยาได้ซึมซาบเข้าไปในร่างของเจ้าแล้ว ดังนั้นความเจ็บปวดก็เลยยิ่งหนักขึ้นอีก” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างละเอียด

“เฟิ่งชิงหัว เจ้าจะลอบสังหารสวามีตัวเองหรือไง?” จ้านเป่ยเซียวซื้ดไปหนึ่งคำ

“นั่นจะเป็นไปได้ยังไง ลอบสังหารเจ้า ข้าไม่กลายเป็นนักโทษไปเหรอ เจ้าทนเอาหน่อย นวดเสร็จก็ดีขึ้นแล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าวปลอบใจ

“เฟิ่งชิงหัว เจ้าสำรวมหน่อย จะนวดก็นวดให้ดีๆ อย่าลูบคลำส่งเดช” สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวยากแค้นแสนเข็ญ เพียงแต่ว่าใส่หน้ากากเอาไว้มองไม่ออก เสียงที่เปล่งออกมาก็เข้มขึ้นอีกด้วย

เนี่ยหานซิงที่ถูกยังโดยฉากกั้นลมไว้แม้ว่าจะไม่เห็นฉากอีกด้านหนึ่ง แต่ว่าแค่ฟังน้ำเสียงนั้นก็รู้สึกว่าตนเองอยู่ตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนเกินไปเลย

ที่แท้คนผู้นั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่งของฉากกั้นลมเป็นสามีของอาจารย์ งั้นก็ควรจะเป็นอาจารย์อาของเขาน่ะสิ

พวกเขาดูไปแล้วเหมือนว่าจะรักใคร่กันมาก ตอนนี้รูปลักษณ์ของอาจารย์แตกต่างอย่างมากกับรูปลักษณ์ยากจะหยั่งลึกก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นพบเจอมาก่อนเลย

เนี่ยหานซิงก็เลยอดที่จะสงสัยอยู่บ้างไม่ได้ ชายที่สามารถอภิเษกกับอาจารย์ได้นั้นที่แท้แล้วเป็นใครกัน ควรจะเป็นหงส์หรือมังกรในฝูงชนเป็นแน่

แม้ว่าจะได้เพียงไม่กี่ประโยค แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของพลังอำนาจของคนผู้นั้น

เฟิ่งชิงหัวหนึ่งฝ่ามือกดลงไปบนบ่าของฝ่ายชาย เปล่งเสียงดังสนั่นขึ้นมา

“คำพูดไร้สาระของเจ้าทำไมถึงได้เยอะเช่นนั้น ทนเอา!” เฟิ่งชิงหัวถูกเขาเอะอะโวยวายจนไม่ไหว

จ้านเป่ยเซียวขบกราม: “ไม่ใช่เจ้าบอกว่าอย่าทนหรือ ตอนนี้ก็ให้ทนอีก ผู้หญิงอย่างเจ้าเช่นนี้ทำไมถึงได้กะล่อนเช่นนี้!”

“เมื่อครู่ข้าให้เจ้าทนคืออย่าเกร็งกล้ามเนื้อในร่างกาย เช่นนี้ข้าหาจุชีพจรไม่ง่ายเลย ตอนนี้ให้เจ้าทนคือเพราะว่าเจ้าโวยวายเกินไป ด้านข้างยังมีคนอยู่ เจ้าร้องซะขนาดนี้ คนอื่นยังคิดว่าข้าทำอะไรเจ้าอีก” สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวเปี่ยมไปด้วยการไร้ซึ่งคำพูดใด

จ้านเป่ยเซียวเปล่งวาจาเย็นชาออกมา: “ในเมื่อรู้ว่าไม่ดี เจ้าก็ไม่ควรนำคนเข้ามาในนี้”

เขาเป็นคนรักความสะอาดเป็นชีวิตจิตใจแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยแช่น้ำกับคนอื่นเลย แม้ว่าในตอนนี้มีฉากกั้นลมบังเอาไว้อยู่ แต่ยังไงก็ยังอยู่ใต้ชายคาห้องเดียวกัน ในใจของเขาย่อมไม่สบอารมณ์เป็นแน่

เฟิ่งชิงหัวยื่นมือไปอุดปากของเขาเอไว้แน่น: “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ”

ถูกมือที่เปียกปอนอีกทั้งยังอาบกลิ่นยาไว้อย่างเข้มข้นของนางมาอุดไปที่ปากแน่น จ้านเป่ยเซียวจ้องมาที่นางอย่างโมโห สายตานั้นอยากจะฆ่าคนเลย

เฟิ่งชิงหัวค่อยๆ ปล่อยมือออก: “ใจร้อนไปชั่วขณะ ฮ่าๆ อย่าสนใจกับรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้เลย ตอนนี้เจ้าทั้งตัวก็มีแต่กลิ่นประมาณนี้ไม่ใช่หรือ เมื่อครู่ที่ดื่มลงไปก็ไม่ได้ต่างกันมาก”

รอจนนวดครบกระบวนการเสร็จสิ้นหนึ่งรอบ เฟิ่งชิงหัวเหนื่อยจนมือทั้งสองข้างยกไม่ขึ้น เช็ดมืออย่างขอไปทีแล้วกล่าวว่า: “เจ้าแช่ไปอีกสิบห้านาทีก็ลุกขึ้นได้แล้ว ข้าจะข้ามไปดูสถานการณ์ทางนั้นหน่อย”

“ดูอะไรนักหนา ในนี้มีเพียงเจ้าที่เรียนแพทย์มาคนเดียวหรือไง?” จ้านเป่ยเซียวสบตาด้วยความโกรธ

เปลวเพลิงนั้นทะลวงเข้าไปในร่างกาย แผดเผาไม่หยุด เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งเนื้อทั้งตัว รอที่จะขุดเพลิงก้อนนั้นออกมาไม่ไหวแล้ว

และในตอนนี้เอง คมกระบี่อันแหลมคมเล่มหนึ่งที่พาดผ่าน กวัดแกว่งเพลิงที่อยู่รอบร่างของนางออกไป แล้วพานางออกจากกลางเปลวเพลิงนั้นมา

เฟิ่งชิงหัวมองดูอย่างละเอียดกลับพบว่าคนที่มานั้นสวมหน้ากากเอาไว้ รอบกายถูกเผาจนมอดไหม้ผมเผ้ารุงรังมีกลิ่นเหม็นไหม้ไปหมดแล้ว

หน้ากากหลุดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แยกแยะได้ไม่ชัดนักออกมา เฟิ่งชิงหัวกรีดร้องออกมาแล้วก็ลุกนั่งขึ้นมาเลย อ้าปากหายใจหอบอย่างหนัก

คราวนี้ถึงรู้สึกตัวได้ว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงดีๆ รอบด้านมืดครึ้มไปหมด ไม่มีแสงสว่างแม้แต่นิดเดียว

เฟิ่งชิงหัวคลุมเสื้อแล้วลงจากเตียงมายังในลานนั่งลงตรงโต๊ะหิน ในหัวสมองยังคงหวนคิดถึงฉากในความฝันอยู่ ยังคงมีความหวาดผวาที่หลงเหลือไว้อยู่

ศิษย์ทรยศสำนักและคนผู้เรียกตนเองว่าล่วงรู้อนาคตผู้นั้นแห่งวัดหานซาน ยังมีหนานกงจี๋และเผ่าเซียนเปย์อีก แม้แต่คนที่อยู่เบื้องหลังที่สังหารซุนผินในวังหลวง ต่างก็มีความเกี่ยวพันกับกลีบดอกสีแดงนั้น ต้องมีอะไรที่เชื่อมโยงกันในนี้เป็นแน่

รู้สึกว่าหลังจากที่นางมาถึงเทียนหลิงก็พบเจอเรื่องราวไม่น้อยที่เกี่ยวพันกับเรื่องพวกนี้ ก็เหมือนกับว่ามีเส้นใยที่ไร้ตัวตนกำลังบงการอยู่เบื้องหลัง

คนที่อยู่เบื้องหลังนี้จะทำอะไรกันแน่?

เฟิ่งชิงหัวคิดจนสมองแทบจะระเบิดก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี อดไม่ได้ที่จะเริ่มกำมือเคาะศีรษะของตนขึ้นมา

“ค่ำมืดขนาดนี้แล้วทำร้ายตัวเองทำไม เจ้าเป็นคนบ้าหรือไง?” จ้านเป่ยเซียวเลื่อนเก้าอี้รถเข็นจากระยะไกลเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงที่ตามมา

เฟิ่งชิงหัวหันศีรษะไปมองเขา: “เจ้าก็ไม่ใช่ว่าดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่นอนเช่นกันหรือ?”

ในขณะที่กำลังพูดอยู่กลับพบว่าบนขาของฝ่ายชายมีกล่องอาหารวางอยู่ ไม่รีรอให้เขาพูด เฟิ่งชิงหัวก็รับข้ามมือไปเลย เปิดออกดู กล่าวออกมาอย่างประหลาดใจว่า: “เปี๊ยะดอกบัว? เค้กกระต่าย? จ้านเป่ยเซียว ทำไมข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าจวนอ๋องยังมีพ่อครัวที่ร้ายกาจเช่นนี้? ยังร้อนอยู่เลย แค่ดูก็รู้ว่าเพิ่งจะทำออกมาเลยใช่เปล่า?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว