คำพูดของเจียงเยว่ถง ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นตื่นตกใจกันทุกคน แต่ก็ได้รับสายตาที่ชื่นชมจากหนุ่มสาวหลายตระกูล ไม่ว่าอย่างไรการกระทำของเจียงเยว่ถงก็สอดคล้องกับภาพลักษณ์ผู้หญิงดีในหัวใจของพวกเขา
แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกทึ่ง เพราะใครก็รู้ว่าก่อนหน้านั้นเจียงเยว่ถงเองก็ไม่ชอบฉินเฟยเช่นเดียวกัน และคิดจะหย่ามาโดยตลอด
ฉินเฟยเองก็ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
พูดตามตรง เมื่อครู่ที่เสิ่นหัวกำลังพูดอยู่ ในใจของเขาก็ประหม่าไม่น้อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องดูสถานการณ์โดยรวมของตระกูลเจียงเป็นหลัก แต่คิดไม่ถึงว่าพ่อตาที่มีบุคลิกเงียบสงบมาตลอดจะพูดขึ้นก่อน แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงคนอื่นเท่านั้น
เขาจับจ้องมองไปที่เจียงเยว่ถงด้วยสายตาที่แรงกล้า ในเวลานี้หัวใจของเขาประทับใจยิ่งนัก จนอยากร้องเสียงดังระบายออกมา
ความพยายามของเขา มันไม่ได้เสียเปล่าเลย!
“ดี! นี่สิถึงจะใช่ลูกสาวของฉัน เจียงเฟิ่งหยุน!” เจียงเฟิ่งหยุนยืนขึ้นและสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก มองไปยังฉินเฟย: “พ่อหนุ่มน้อย มันเป็นความผิดฉันทั้งหมด สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และด้วยวิธีทำของเธอในครั้งนี้ ฉันยอมรับเธอเป็นลูกเขยแล้ว ซึ่งต่อให้ไม่มีความสามารถอะไร ก็อย่ารู้สึกต่ำต้อยในตัวเอง แค่พยายามทำให้ดีก็พอ หากถงถงกล้าดูถูกเธอ เธอก็บอกฉันมาตรงๆ และดูว่าฉันจะตีก้นเธอให้เจ็บอย่างไร!”
เพียงแค่คำพูดเดียวก็พลางทำให้เจียงเยว่ถงหน้าแดงก่ำไปทั่ว และก้มศีรษะลงอย่างแรง โดยฉินเฟยเองก็ตกตะลึงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขามองว่าพ่อตาของตัวเองเป็นคนที่ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ นิสัยใจคอก็นิ่มนวลเป็นอย่างมาก กลับคิดไม่ถึงว่าตัวเองดูผิดไป
สมกับที่เคยเป็นทหาร ถือว่ามีเลือดเนื้อของทหาร
“คุณพ่อ ผมรู้แล้วครับ อันที่จริงเยว่ถงไม่ได้ดูถูกผม เธอแค่โกรธที่ผมไม่มีใจที่พัฒนาขึ้นเท่านั้น” ฉินเฟยกล่าวขึ้น และคำว่า‘พ่อ’คำเดียวนี้ เขาก็เรียกมาออกมาจากใจจริง
“ ฮ่า ฮ่า ตกลงๆ” เจียงเฟิ่งหยุนยิ้มพลางพยักหน้า และเงยหน้าขึ้นมองคุณย่าเจียงชั่วประเดี๋ยวเดียว จากนั้นกวาดสายตามองไปที่ทุกคนอีกครั้ง: “ฉันรู้ว่าพวกคุณกังวลเรื่องอะไร ไม่เป็นไร เรื่องที่ล่วงเกินฮั่วจงเหยียน ทางครอบครัวฉันเจียงเฟิ่งหยุนจะรับไว้เพียงผู้เดียว และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเจียง”
หลังจากเสียงพูดของเจียงเฟิ่งหยุนจบลง สีหน้าของคนในตระกูลเจียงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
อันที่จริงแล้ว ยังมีอีหลายคนที่ถอนหายใจในใจด้วยความโล่งอก!
จะอย่างไรก็ตามคำพูดของเจียงเฟิ่งหยุน ก็เท่ากับตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเจียงอย่างสิ้นเชิง
สีหน้าคุณยายเจียงปรวนแปร ลักษณะท่าทางดูหดหู่ แต่กลับไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ด้านหนึ่งคือความอยู่รอดของตระกูลเจียง อีกด้านหนึ่งก็เป็นลูกชายแท้ๆของตน นางยากที่จะตัดสินใจได้!
เสิ่นหัวโกรธจัดจนหน้าเขียว และจ้องมองฉินเฟยด้วยสายตาอาฆาตพยาบาท แต่ด้วยหัวหน้าครอบครัวของบ้านนี้คือเจียงเฟิ่งหยุน เธอเป็นเพียงคนที่แต่งเข้าตระกูลเจียง และตัวเองก็เพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
เจียงเฟิ่งหยุนก็พูดออกไปแล้ว เธอเองก็ไม่สามารถขัดได้
นอกจากนี้แล้ว ในฐานะที่เธอเป็นคนคู่เคียงเรียงหมอนของเจียงเฟิ่งหยุน แน่นอนว่าเธอรู้จักสามีของตัวเองดีที่สุด ซึ่งอย่ามองว่าปกติเจียงเฟิ่งหยุนเหมือนอารมณ์เสีย นั่นเป็นเพราะเขาแค่ไม่แสดงออกมาแค่นั้น
ถ้าเจียงเฟิ่งหยุนอารมณ์เสียขึ้นมาจริงๆ เธอเองก็ต้องเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่ายเช่นกัน
“เฟิ่งหยุน เธอนี่พูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน!” ซึ่งในเวลานี้ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางประตูคฤหาสน์
ทุกคนหันหน้าพร้อมกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ส่วนคนที่มาเยือนคือเจียงเฟิ่งหยู่ และเป็นพี่ใหญ่ของตระกูลเจียง พ่อของเจียงเฉิงเย่
เนื่องจากเขาเป็นอัมพาต จึงมีน้อยครั้งมากที่จะลงจากเตียง และก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องของตระกูลอีก
ซึ่งตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็น ส่วนคนที่เข็นเขาก็คือ เจียงเฟิ่งซวง
เธอเป็นลูกคนที่สี่ของตระกูลเจียง และเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณย่าเจียง
เจียงเฟิ่งซวงดูแล้วอายุประมาณสี่สิบปี แต่กลับบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี มีรูปร่างสวยน่ารัก หน้าตาปานกลาง และดวงตาทั้งคู่ที่สดใสเป็นพิเศษ ในเวลานี้เธอสวมชุดสูทเข้ารูปบวกกับกางเกงขายาว ส่วนผมถักเปียมัดขึ้น ทำให้ดูเป็นคนความสามารถและฉลาด
ซึ่งเธอไม่ได้ทำงานในตระกูลแล้ว เพราะเธอแต่งงานที่เซี่ยงไฮ้
“พ่อ ท่านร่างกายไม่แข็งแรง ทำไมถึงมาที่นี่ได้?” เจียงเฉิงเยว่รีบวิ่งเข้าไป และทักทายอาหญิงด้วยความสุภาพนอบน้อม
อยู่ในครอบครัวนี้ เจียงเฉิงเยว่ นอกจากจะกลัวคุณย่าเจียงและพ่อของแล้ว ที่กลัวที่สุดก็คืออาหญิงของตนเอง
“ฮึม ถ้าฉันยังไม่มาอีก ต้องเกิดเรื่องใหญ่กับตระกูลเจียงแน่!” เจียงเฟิ่งหยู่ถลึงตาใส่ลูกชาย และพูดพึมพัม เพราะเป็นอัมพาตติดเตียงมาตลอดทั้งปี โดยไม่ได้ออกไปไหนบ่อยนัก ทำให้สีหน้าของเจียงเฟิ่งหยู่ซีดเหลืองของอาการป่วย
ในครอบครัวตระกูลเจียง เจียงเฟิ่งหยู่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางธุรกิจที่สุด แต่น่าเสียดายที่พระเจ้าไม่เข้าข้างคุ้มครองตระกูลเจียง!
แต่ถึงกระนั้น บารมีและความน่าเชื่อถือของเจียงเฟิ่งหยู่ในตระกูลเจียงถือว่ายังมีมากเช่นกัน เมื่อเห็นเจียงเฟิ่งซวงเข็นเขาเข้ามา ทุกคนต่างก็หลีกทางให้
“เสี่ยวหยู่ เสี่ยวซวง......” คุณย่าเจียงถือไม้เท้าพยุงตัวขึ้น ด้วยสีหน้าขมขื่นที่ไม่อาจพูดออกมาได้
สามารถพูดได้เลยว่าเลยว่า คนที่ลำบากที่สุดก็คือเธอแล้ว เหล่าต้าเป็นอัมพาตติดเตียง เหล่าเอ้อประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน คนหัวขาวต้องมาส่งคนหัวดำ ส่วนเหล่าซื่ออยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ซึ่งมีแค่มีเพียงเหล่าซาน แต่ตอนนี้กลับจะตัดสามสัมพันธ์กลับตระกูลเจียงอีก
คุณย่าเจียงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร ทำไมสวรรค์ถึงได้ลงโทษตัวเองเช่นนี้ หรือว่าตัวเองทำผิดไปแล้วจริงๆเหรอ? และถ้าหากต้องไล่เหล่าซานออกจากตระกูลเจียงไปจริง เธอรู้ดีว่าเมื่อไปถึงข้างล่าง สามีที่ล่วงลับไปต้องไม่ให้อภัยตัวเองอย่างแน่นอน ในฐานะพี่ใหญ่ เสี่ยวหยู่เป็นคนที่ทำงานมีความมั่นคงและมีพรสวรรค์ แต่คนที่สามีชอบที่สุดกลับเป็นเหล่าซาน
แต่หากไม่ทำเซ่นนี้ ถ้าตระกูลเจียงต้องตกที่นั่งลำบากขึ้นมาจริง เธอก็จะเป็นคนบาปของตระกูลเจียง!
“คุณแม่ หลายปีที่ผ่านมาท่านทำงานเพื่อตระกูลเจียงมากเหลือเกิน ลำบากท่านแล้ว”
แม่ควรจะได้พักผ่อนมานานแล้ว แต่กลับเพราะว่าตัวเองเป็นอัมพาต จิตใจของเหล่าซานก็ไม่อยู่ที่นี่ เลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นแก่ส่วนรวมเป็นใหญ่
“เสี่ยวหยู่ก็โทษแม่อย่างนั้นเหรอ?” ไม่มีใครรู้จักลูกชายเท่าคนเป็นแม่แล้ว และถึงแม้ว่าคุณย่าเจียงจะอายุเยอะแล้วก็ตาม แต่ก็สามารถรับรู้ความนัยที่แฝงอยู่ของเจียงเฟิ่งหยู่ได้
“เปล่าเลยครับ” เจียงเฟิ่งหยู่ส่ายหัวไปมา และเหลือบมองไปที่น้องสาม ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น: “ถึงแม้ว่าตระกูลเจียงของเราจะไม่ใช่ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และเมื่อเทียบกับตระกูลเหล่านั้นก็ห่างไกลยิ่งนัก แต่ว่าพี่น้องตระกูลเจียง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็ไม่มีคนขี้ขลาดแม้แต่คนเดียว และไม่มีวันยอมให้คนอื่นมารังแกได้
ถึงแม้ว่าเสียงของเจียงเฟิ่งหยู่จะดูธรรมดา แต่เมื่อพูบจบ ทุกคนในตระกลูเจียงที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตื่นเต้น และในใจก็ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)