สีหน้าของหลินเป้ยเหยาเปลี่ยนไป “น้องเมิ่งหวัน หมอได้ช่วยข้าดูอาการแล้ว คงไม่ต้องรบกวนเจ้าหรอก”
หลินเมิ่งหวันคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาประกายคู่นั้นฉายแววเย็นชาออกมา “ท่านพี่ป่วยหนักขนาดนี้ ให้ข้าช่วยท่านพี่ตรวจดูอาการด้วยตัวเองก่อนข้าถึงจะวางใจ เพราะฝีมือของข้า เมื่อเทียบกับหมอทั่วไปแล้วก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน”
“อีกอย่าง หมอส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย อย่างมากก็แค่จับดูชีพจร จะไปตรวจละเอียดเช่นข้าที่เป็นผู้หญิงได้อย่างไร ?ท่านพี่อย่าปฏิเสธข้าเลย”
หลินเมิ่งหวันเดินไปข้างหน้า แล้วจับข้อมือของหลินเป้ยเหยาไว้
หลินเป้ยเหยาสีหน้าขาวซีด “เจ้าปล่อยข้านะ!”
หลินเป้ยเหยาใช้แรงสะบัดมือของหลินเมิ่งหวันออก กระวนกระวายมาก
เดิมที่นางแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำโทษ ถึงแม้จะเป็นหวัด แต่ก็ไม่หนักหนาอะไร
หมอที่มาตรวจอาการของนางเมื่อวัน บอกว่านางป่วยหนัก เป็นเพราะว่าหมอเหล่านั้นพวกนางได้พูดคุยจัดการไว้ก่อนแล้ว แล้ววันนี้หลินเป้ยเหยาจะกล้าให้หลินเมิ่งหวันช่วยนางตรวจดูชีพจรได้อย่างไร?
อาจารย์ของหลินเมิ่งหวันคือราชาแห่งการแพทย์ อีกอย่างหลินเมิ่งหวันก็มีพรสวรรค์ทางแพทย์มาก
ถ้าให้นางช่วยตัวเองตรวจชีพจร เรื่องที่นางแกล้งป่วยก็จะถูกเปิดโปงออกมา
เมื่อถึงเวลานั้น ท่านย่าต้องลงโทษนางหนักเพิ่มแน่นอน
ระหว่างที่วิตกกังวลนั้น หลินเป้ยเหยาเห็นมีเงาเดินผ่านที่หน้าประตู ทันใดนั้นนึกแผนการออกมาทันที
นางกอดผ้าห่มไว้แน่น จ้องมองหลินเมิ่งหวันด้วยน้ำตาคลอเบ้า “น้องเมิ่งหวัน……เคะๆๆ ……ข้ารู้ ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าให้รอดตัว เคะๆๆ เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง……แต่เจ้าสามารถให้ข้ารักษาตัวก่อนได้ไหม ข้า……เคะๆๆ ……”
“เคะๆๆ น้อง น้องเมิ่งหวัน……ถ้าข้าหายป่วย ค่อยให้เจ้าลงโทษ เคะๆๆ ……”
หลินเมิ่งหวันขมวดคิ้วเข้ากัน “ถ้าจะรักษาตัวทำไมให้ข้าตรวจชีพจรไม่ได้?ท่านพี่ไม่เชื่อฝีมือข้าเหรอ?”
นางสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมา:“เฝ่ยชุ่ย จับตัวนางไว้”
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
มีเสียงดังตะโกนมาจากด้านหลัง หลินเมิ่งหวันหันหน้าไปดู เห็นหลินซ่างซูสีหน้าโกรธเคืองวิ่งเข้ามาข้างใน
เมื่อหลี่อี๋เหนียงเห็นหลินซ่างซู ก็รีบโถมตัวเข้าหาร้องไห้เอาเป็นเอาตายออกมา
“นายท่าน ท่านรีบไปช่วยเป้ยเหยาหน่อย คุณหนูรองจะจับเป้ยเหยาทำโทษโดยการให้คุกเข่า เป้ยเหยาจะทนไหวได้อย่างไรกันนายท่าน……”
หลี่อี๋เหนียงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลินซ่างซู จับมือเขาไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
หลินเป้ยเหยาจับหน้าอกของตัวเองไว้ และไอไม่หยุด ร้องไห้หนักเช่นสายฝน ดูแล้วช่างน่าสงสาร
หลินซ่างซูพยุงหลี่อี๋เหนียงให้ลุกขึ้น ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่หลินเมิ่งหวัน “เจ้าจะทำอะไร?”
หลินเมิ่งหวันมองไปที่หลินซ่างซู ตอบออกมาอย่างไม่เกรงกลัวว่า: “เมิ่งหวันได้ยินว่าท่านพี่ไม่สบาย รู้สึกกังวลมาก จึงรีบมาช่วยท่านพี่ตรวจดูอาการ ดูเหมือนท่านพี่กับหลี่อี๋เหนียงจะเข้าใจเมิ่งหวันผิด จึงไม่ยอมให้เมิ่งหวันเข้าใกล้เลย”
“ไม่ใช่แบบนั้น!” หลี่อี๋เหนียงร้องไห้ส่ายหัว
“คุณหนูรองมาถึงก็สั่งให้เฝ่ยชุ่ยตบหม่อมฉัน และตำหนิ่เป้ยเหยาตลอดเวลา ที่ไม่สามารถช่วยนางออกจากจวนได้ และดึงดันจะลากตัวเป้ยเหยาไปทำโทษคุกเขาที่อุโบสถให้ได้อย่างเดียว”
“นายท่าน คุณหนูจะระบายอารมณ์กับหม่อมฉันไม่เป็นไร แต่ว่าเป้ยเหยาร่างกายอ่อนแอ จะทนต่อการกระทำแบบนี้ได้อย่างไร?ถึงจะลงโทษ ก็ต้องรอให้ร่างกายหายดีก่อนค่อยว่ากัน……”
หลี่อี๋เหนียงร้องไห้หนักมาก รอยฝ่ามือบนใบหน้ายังไม่จางหายไป จึงเป็นการยืนยันได้ว่าที่นางไม่ได้พูดไม่ได้เป็นการโกหก
“ท่านพ่อ ช่วยลูกด้วย……” หลินเป้ยเหยาไอไม่หยุด ไอจนใบหน้าแดงก่ำ อ้อนวอนข้อความช่วยเหลือกับหลินซ่างซู
สีหน้าของหลินซ่างซูดิ่งลงมาทันที และสายตาดุดันมองไปที่ตัวหลินเมิ่งหวัน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หลินเมิ่งหวันหัวเราะเยาะออกมา “หลี่อี๋เหนียงช่างฝีปากล้าเหลือเกิน สามารถเปลี่ยนจากผิดเป็นถูกได้”
“ท่านพ่อ ถ้าลูกจะจับท่านพี่ไปคุกเข่า ทำไมไม่พาองครักษ์มาด้วย แต่กลับเอากล่องยามาล่ะ?”
หลี่อี๋เหนียงตกใจ ได้แต่ร้องไห้ ไม่ตอบอะไร
หลินเมิ่งหวันพูดเสียงเย็นชาออกมา:“ท่านพ่อ หลี่อี๋เหนียงกับท่านพี่ถูกลงโทษเพราะท่านย่าเป็นผู้สั่ง ไม่ใช่เพราะเมิ่งหวันจงใจกลั่นแกล้ง วันนี้ที่ลูกมาดูอาการของท่านพี่ ก็เป็นเพราะอยากช่วยเท่านั้นเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก