ทุกคนในห้องต่างพากันตกใจ หลินเมิ่งหวันยิ้มบางๆ ออกมา
“ในเมื่อท่านพี่ไม่ยอมให้เมิ่งหวันตรวจดูอาการ ก็ให้นางไปเชิญหมอท่านอื่นก็แล้วกัน”
พูดจบ หลินเมิ่งหวันก้มตัวคำนับหลินซ่างซู ส่งสายตาให้เฝ่ยชุ่ยกับเจินจู แล้วหันหน้าเตรียมตัวเดินออกไป
หลินซ่างซูตกตะลึง สีหน้าโกรธเคือง
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงโกรธดังขึ้นมาจากข้างหลัง แต่หลินเมิ่งหวันก็ยังไม่ยอมหยุดเดิน
หลินซ่างซูยิ่งโกรธ เดินไปข้างหน้า จับแขนของหลินเมิ่งหวันไว้พูดเสียงโกรธเคืองขึ้นว่า:“หลินเมิ่งหวัน ในสายตาเจ้า ยังมีพ่อคนนี้อยู่อีกไหม?”
หลินเมิ่งหวันมองไปที่เขา ไม่มีความกลัวเลย “เมิ่งหวันมีท่านพ่ออยู่ในสายตาอยู่แล้ว แต่ในสายตาของท่านพ่อ ยังไม่เมิ่งหวันลูกคนนี้อยู่ไหม?”
หลินซ่างซูยืนมองสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง เพราะไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี
หลินเมิ่งหวันยิ้มที่มูมปากเล็กน้อย เก็บรอยยิ้มไว้ใต้ตา “ท่านพ่อ เมิ่งหวันเป็นลูกสาวของท่าน ไม่ใช่หมอข้างนอก และยิ่งไม่ใช่คนในจวน ในขณะที่ท่านสั่งให้เมิ่งหวันช่วยท่านพี่ตรวจดูอาการนั้น เคยคิดบ้างไหมว่าเมื่อกี้เมิ่งหวันเพิ่งถูกรังแก?”
หลินซ่างซูขมวดคิ้ว “พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน หรือเจ้าต้องให้เป้ยเหยาคุกเข่าขอโทษกับเจ้าให้ได้ถึงจะพอใจ?”
หลินเมิ่งหวันถามกลับว่า:“แล้วมันไม่สมควรเหรอ?”
หลินซ่างซูสะอึกในใจ
สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าผิวพรรณผ่องใส ใบหน้างดงาม
แต่เวลานี้สีหน้าของนางเย็นชา ดวงตาขาวดำที่แยกออกอย่างชัดเจนนั้นกำลังเช่นแบกน้ำแข็งที่ละเอียด หนาวเย็นและว่างเปล่าไว้
เมื่อถูกนางมองแบบนั้น หลินซ่างซูรู้สึกไม่เป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก
หลินเมิ่งหวันไม่พูดอะไรต่ออีก ก้มหน้าคำนับหลินซ่างซู แล้วพาเจินจูกับเฝ่ยชุ่ยเดินออกไป
หลินเมิ่งหวันก้มหน้าพูดกับเจินจูว่า:“หาคนสามสี่คน ยกกระถางต้นไม้กลับไป”
“เจ้าค่ะ!”
เจินจูตอบกลับอย่างดีใจ แล้วรีบออกไปเรียกคนอื่น
เฝ่ยชุ่ยเดินตามหลินเมิ่งหวันออกไปจากสวนดอกบัว ถึงถามเสียงต่ำออกมาว่า:“คุณหนูรอง ทำไมคุณหนูถึงไม่ช่วยคุณหนูใหญ่ตรวจดูอาการหล่ะ?”
ถึงแม้ว่าเรื่องที่หลี่อี๋เหนียงกับหลินเป้ยเหยาใส่ร้ายหลินเมิ่งหวัน เป็นเรื่องที่น่าโกรธ
แต่ว่า ที่หลินเมิ่งหวันมาที่สวนดอกบัว ก็เพื่อต้องการจะเปิดโปงเรื่องที่หลินเป้ยเหยาแกล้งป่วยไม่ใช่เหรอ?
วันนี้นางไม่ได้ช่วยหลินเป้ยเหยาตรวจดูอาการ แล้วจะเปิดโปงได้อย่างไร?
หลินเมิ่งหวันยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องตรวจชีพจรหรอก ในเมื่อหลินเป้ยเหยาอยากป่วย ก็ให้นางป่วยไปแล้วกัน”
วันนี้ที่นางไป ก็แค่ต้องการไปตรวจสอบว่าหลินเป้ยเหยาแกล้งป่วยหรือเปล่า ไม่ได้ต้องการจะเปิดโปงนาง
ส่วนหลินเป้ยเหยากับหลี่อี๋เหนียงก็แสดงท่าทางเช่นคนทำผิด ก็ยิ่งยืนยันได้ว่าการคาดคะเนของหลินเมิ่งหวันนั้นถูกต้อง
เช่นอย่างที่หลินเมิ่งหวันพูด เทศกาลดอกไม้ใกล้ถึงแล้วหลินเป้ยเหยาอยากป่วยก็ให้นางป่วยไป งั้นก็ไม่ต้องเข้าร่วมงานนี้!
ชาติก่อน หลินเมิ่งหวันถูกหลินเป้ยเหยาสะกดมนต์จึงพลาดงานเทศกาลดอกไม้ ข่าวลือภายนอกต่างลือกันว่านางไม่มีบุญและไม่มีศีลธรรม จึงไม่กล้าไป
ส่วนหลินเป้ยเหยากลับไปเฉิดฉายในงานเทศกาลดอกไม้ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง
เมื่อได้กลับมาเกิดอีกชาติ หลินเมิ่งหวันถึงเข้าใจ หลินเป้ยเหยาต้องการทำลายนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพื่อจะได้เหยียบนางขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งแทนนางนั่นเอง
ชาตินี้ นางจะไม่ให้หลินเป้ยเหยามีโอกาสแบบนี้อีกเด็ดขาด!
เทศกาลดอกไม้ นางต้องไปมันแน่นอน
อีกอย่าง นางจะใช้โอกาสของเทศกาลดอกไม้ครั้งนี้กู้ชื่อเสียงกลับมา และต้องได้เป็นอันดับหนึ่ง แต่งงานเข้าไปในจวนจิ่งอ๋องอย่างมีเกียรติ!
หลินเมิ่งหวันพูดออกมาว่า:“ไปสวนสน พวกเราไปหาท่านย่ากัน”
อยากเป็นอันดับหนึ่งในเทศกาลดอกไม้คงไม่ใช่เรื่องง่าย นางต้องไปหาบรรดาพี่ชายต่างๆ “เพื่อเรียนรู้วิชาเพิ่มเติม”
วันนั้นในตอนเย็น หลินเมิ่งหวันพาเฝ่ยชุ่ยกับเจินจูไปที่จวนฉิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก