หลินเมิ่งหวันแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ นัยน์ตาสีดำเป็นประกายระยับ
นางเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าจางซื่อกับหลินฮูหยินใหญ่จะต้องไม่สบายใจแน่ๆ ถ้ารู้เรื่องของหลี่อี๋เหนียง และพวกนางจะต้องรู้สึกไม่ดีกับหลี่อี๋เหนียงแน่นอน
และด้วยเหตุนี้นี่เอง หลินเมิ่งหวันจึงเต็มใจเสนอให้ฉู่โม่หยวนปล่อยหลี่อี๋เหนียงกลับมา
แต่หลินเมิ่งหวันไม่คิดว่าจากซื่อจะพูดออกมาตรงๆ ว่าขอให้หลินฮูหยินใหญ่หย่าตัดขาดหลี่อี๋เหนียง
แต่พูดก็พูดเถอะ หลี่อี๋เหนียงเป็นเพียงอนุภรรยา หย่าแล้วจะต่างกันอย่างไร
อนุก็เป็นเพียงแค่บ่าวทาสคนหนึ่ง
หลินเมิ่งหวันเม้มปากไม่พูดอะไร สายตาจับจ้องอยู่ที่หลินฮูหยินใหญ่อย่างรอคอยคำตอบของนาง
แต่หลินฮูหยินใหญ่เพียงแค่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองจางซื่อและบอกว่า “เจ้าลุกก่อนเถิด”
“ท่านแม่...” จางซื่อมองหลินฮูหยินใหญ่อย่างกังวลและจริงจัง
หลินฮูหยินใหญ่กล่าวว่า “หลี่ซื่อเป็นคนของเรือนที่สาม ตอนนี้บุตรชายของข้าโตจนเกินที่ข้าจะไปควบคุมชีวิตแล้ว ลูกๆ ของพวกเจ้าก็โตพอที่จะแต่งงานมีครอบครัวแล้วด้วย ถ้าข้าเข้าไปยุ่งมากเกินไป คนอื่นจะนึกรังเกียจเอาได้”
จางซื่อกระวนกระวายใจ “ท่านแม่ ท่านแม่จะไม่ไปยุ่งหรือเจ้าคะ”
หลินฮูหยินใหญ่เหลือบมองนางอย่างเรียบเฉย “ขนาดเมิ่งหวันยังมองเรื่องนี้ออก แล้วเหตุใดเจ้าจึงมองไม่ออกเล่า”
จางซื่อชะงัก ทันใดนั้นหลินเมิ่งหวันจึงหลุบตาลง ทำท่าราวกับว่ากำลังละอายอย่างน่าเอ็นดู
หลินฮูหยินใหญ่กล่าวว่า “เจ้าสามไม่เชื่อว่าหลี่ซื่อทำร้ายข้า ถ้าข้าจัดการให้หลี่ซื่อหย่าขาดออกไปจากจวน เจ้าสามคงจะคิดว่าพวกเรารังแกหลี่ซื่อเป็นแน่”
จางซื่อขมวดคิ้ว จากนั้นหลินฮูหยินใหญ่จึงเอ่ยต่อไปว่า “หลี่ซื่อวางยาทำร้ายข้าก็จริง แต่สิ่งที่ได้รับผลเสียก็มีแต่ชื่อเสียงของนาง และตอนนี้สืบจนพบแล้วว่าหลี่ซื่อเข้าใจเรื่องการแพทย์ เมื่อนางกลับมา เจ้าสามจะคิดได้เองว่าแท้จริงแล้วหลี่ซื่อเป็นคนที่เชื่อใจได้หรือไม่”
“หลี่ซื่อต้องแบกรับความสงสัยของทุกคน นางย่อมมีชนักติดหลังและต้องระวังเมื่อทำอะไร แต่ถ้านางหย่าออกไป มันไม่สำคัญแล้วว่าเจ้าสามจะไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ เพราะสิ่งสำคัญก็คือหลี่เฉิงเซี่ยงจะไม่ยอมรามือง่ายๆ ตอนนี้การแต่งงานของอวิ้นอี๋ใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าหลี่เฉิงเซี่ยงขุ่นเคืองและหาเรื่องขัดขวางลับหลัง เกรงว่าเราคงยากจะรับมือได้”
จู่ๆ แผ่นหลังของจางซื่อก็เย็นวาบ ทว่าหลินฮูหยินใหญ่กลับหันไปมองหลินเมิ่งหวัน “เมิ่งหวัน เจ้าก็คิดเหมือนกันใช่หรือไม่”
เมื่อถูกเอ่ยชื่อ หลินเมิ่งหวันจึงเงยหน้ามองหลินฮูหยินใหญ่และยิ้มอย่างน่าเอ็นดู “เมิ่งหวันไหนเลยจะมองการณ์ไกลได้เท่าท่านย่า แต่เมิ่งหวันคิดว่าสิ่งที่ท่านย่าพูดมาเป็นสิ่งที่มีเหตุผลมากเจ้าค่ะ”
หลินฮูหยินใหญ่เหลือบมองหลินเมิ่งหวันอย่างรักใคร่และชื่นใจ หลังจากผ่านเรื่องหนีการแต่งงานไปแล้ว หลินเมิ่งหวันก็ดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงขึ้นมาก
สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่จางซื่อ “ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเกินไปแล้ว เตรียมตัวเรื่องการแต่งงานให้เต็มที่ดีกว่า เรื่องอื่นเราค่อยว่ากันอีกครั้งหลังการแต่งงานของอวิ้นอี๋”
“แต่ว่า เจ้าต้องจำที่เมิ่งหวันกำชับให้ดี บอกให้ทุกคนตื่นตัว หยุดหนทางของหลี่ซื่อเสีย”
“เจ้าค่ะ” จางซื่อรีบตอบรับ ภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล
หลินฮูหยินใหญ่พูดไว้แค่นี้และไม่กล่าวอะไรถึงเรื่องนี้อีก
เมื่อใกล้ถึงเวลาเที่ยง หลินฮูหยินใหญ่จึงให้คนนำอาหารมาให้
แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่อยากอาหารนัก แต่นางก็อยากจะต้อนรับกู่เยว่หานให้ดี ส่วนจางซื่อกับหลินเมิ่งหวันย่อมต้องอยู่เป็นเพื่อนด้วยอยู่แล้ว
ทุกคนกินข้าวและคุยกันไปภายใต้บรรยากาศที่รื่นรมย์
แต่ขณะที่กำลังรับประทานอาหาร คนใช้ก็เข้ามารายงาน ‘เรื่องที่น่าสนใจ’
ว่าหลี่จิ่นซูที่ถูกหลินเมิ่งหวัน ‘เชิญ’ ไปดื่มชาที่โถงด้านหน้าออกไปกับจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยเมื่อก่อนหน้านี้ ทว่าจู่ๆ ก็หมดสติระหว่างทาง เวลานี้ถูกจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยพากลับไปยังจวนหลี่เฉิงเซี่ยงแล้ว
จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยทรง ‘กังวลพระทัย’ เกี่ยวกับอาการของหลี่จิ่นซูมาก ดังนั้นพระองค์จึงเชิญหมอหลวงมาตรวจอาการของหลี่จิ่นซู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก