ในขณะที่ยี่หวากำลังประชุมกับพนักงานเรื่องการเปิดบูติคแห่งใหม่ที่สำนักงานอยู่นั้น ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกเดี๋ยวจะต้องไปรับคนเก่งของเธอที่โรงเรียน แต่เมื่อเห็นตัวเลขบนนาฬิกาข้อมือก็ทำให้ตกใจทันที
15:11 น.
เย็นขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย แล้วเธอจะไปรับคนเก่งทันไหม ไม่รอช้ายี่หวารีบหยิบกระเป๋าสะพายและลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยที่ไม่ลืมบอกพนักงานคนอื่นว่า “เลิกประชุม”
ยี่หวาพูดจบก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบวิ่งออกไปที่รถแล้วขับไปยังโรงเรียนอนุบาลที่หนูน้อยเรนจิเรียนอยู่ทันที
เมื่อมาถึงที่หมาย ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามยี่สิบสองนาที ทำให้หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลเอกชนแห่งนี้ไม่มีที่จอดรถหลงเหลืออยู่เลย จะให้เด็กน้อยเดินมาหาก็ไม่ได้ คุณครูคงไม่ยอมให้เด็กเดินออกมาคนเดียว เพราะโรงเรียนคงไม่อยากต้องมานั่งรับผิดชอบถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นทีหลัง
งั้นเธอก็คงต้องเดินไปรับคนเก่งที่หน้าประตูโรงเรียนเองสินะ
ยี่หวาจอดรถเทียบฟุตบาทที่อยู่ห่างจากประตูหน้าโรงเรียนประมาณสองร้อยเมตร จากนั้นรีบลงจากรถแล้วเดินไปตรงหน้าทางเข้าทันที ซึ่งตอนนี้ยี่หวาไม่รู้ตัวเลยว่าเธอนั้นโดดเด่นขนาดไหน
เนื่องจากรถที่ยี่หวาขับมาวันนี้เป็นรุ่นแอสตันมาร์ติน วัน-77 รถสปอร์ตคาร์ที่ผลิตไม่ถึง 100 คันในโลก บวกกับรูปร่างและสัดส่วนของเธอที่อยู่ภายใต้ชุดที่ยี่หวาเป็นคนออกแบบและตัดเย็บเอง
ยี่หวาอยู่ในชุดเดรสสั้นรัดรูปแขนยาวสีชมพูอ่อน ผ้าเรย่อนเนื้อยืด ผูกโบไว้ตรงเอวทำให้เห็นเอวคอดที่ชัดเจน ขาเรียวยาวเนียนสวย รวมถึงผิวขาวอมชมพูสดใส และด้วยใบหน้าที่ถูกแต่งเติมนิดหน่อยให้ดูใสๆ ทำให้ยี่หวามีความเซ็กซี่พร้อมกับความน่ารักสดใสในตัว ที่ใครเห็นเป็นต้องตกอยู่ในภวังค์นั้น
ผู้หญิงคนนี้เกินคำว่าสวยไปแล้ว!
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นดาราหรือเปล่า ทำไมไม่เคยเห็นเลย”
“ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าเป็นดาราจริงสวยขนาดนี้ไม่มีทางลืมแน่ๆ เผลอๆ ผู้หญิงคนนี้จะสวยกว่าดาราดังบางคนอีกด้วยซ้ำ”
“ผู้หญิงคนนี้สวยเกินไปไม่กล้าแม้แต่จะอิจฉาเลย ดูหุ่นนั่นสิ ต้องเกิดอีกกี่ชาติไม่รู้ถึงจะได้แบบนี้ เธอเป็นใครกันแน่นะแล้วเธอมาทำอะไรที่นี่”
“หรือว่าเธอจะมารับลูก?”
“บ้าเหรอ! เธออาจจะมารับน้องก็ได้ สวยขนาดนั้นแถมหน้าตายังดูเด็กอีกไม่มีทางมีลูกหรอก”
“ดูเหมือนว่าเธอจะรวยมากเลยนะ ดูรถที่เธอขับมาสิ เป็นถึงรถนอกเลย ราคาเกือบร้อยล้าน ทำไมคนแบบนี้พวกเราถึงได้ไม่รู้จักนะ ไม่รู้ว่าเป็นคนตระกูลไหนจะได้ไปทาบทามให้คนรู้จัก”
“นี่หยุดเลย ฉันจองแล้ว”
ยี่หวาได้ยินทุกประโยคที่เหล่าคุณหญิงคุณนายกำลังพูดถึงเธอตั้งแต่ที่ลงจากรถมา จนตอนนี้เธอเดินมาถึงทางเข้าประตูหน้าโรงเรียนพวกเขาก็ยังคงไม่หยุดพูด แต่เธอก็ไม่ได้สนใจยังคงยืนรอคนเก่งของเธอที่หน้าทางเข้าอย่างตื่นเต้น
โชคดีที่โรงเรียนยังไม่ปล่อยเด็กออกมา ไม่งั้นคนเก่งของเธอต้องรอนานแน่ๆ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทันทีที่คุณครูปล่อยให้กลับบ้าน เรนจิก็รีบเก็บของหยิบกระเป๋าเป้ใบน้อยขึ้นสะพายหลัง แล้วเดินออกไปจากห้อง
พอเรนจิเดินมาถึงบริเวณหน้าประตูก็รีบมองหายี่หวา ในขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงยูตะเพื่อนร่วมชั้นดังขึ้นมาว่า “วันนี้ใครมารับเรนเหรอ”
เรนจิไม่ได้สนใจคำพูดนั้น เอาแต่คอยชะเง้อมองหายี่หวาต่อไป เพราะรู้ว่าต่อไปเพื่อนร่วมชั้นพวกนี้จะพูดว่าอะไรต่อ
สักพักตามด้วยเสียงของไททั่นเพื่อนร่วมชั้นอีกคน “จะใครได้อีกล่ะ ก็ต้องเป็นพ่อของเรนน่ะสิ”
“เออใช่ เราลืมไปได้ยังไงว่าเรนเป็นเด็กไม่มีแม่”
พอสิ้นเสียงของยูตะ เหมือนกับว่าเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง เด็กทุกคนที่อยู่แถวนั้นก็ต่างพร้อมใจกันส่งเสียงว่า “เรนเป็นเด็กไม่มีแม่”
คุณครูที่อยู่แถวนั้นต่างก็ทำหน้าเบื่อหน่าย ไม่รู้จะห้ามปรามยังไง เพราะเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นทุกเย็นเลย ขอเพียงแค่คุณภูวิศพ่อของเด็กคนนี้ไม่มาได้ยินก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นเด็กพวกนี้คงไม่มีชีวิตรอดต่อไปแน่
ส่วนยี่หวาที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ซึ่งเป็นมุมอับทำให้เรนจิมองไม่เห็นเธอ เพราะอย่างนั้นคำพูดของเด็กพวกนั้นเธอจะไม่ได้ยินได้ยังไง
ขณะที่เด็กน้อยทั้งหลายกำลังส่งเสียงพร้อมกันว่าเรนไม่มีแม่ ยี่หวาที่หมดความอดทนเพราะเห็นคนเก่งของเธอถูกรังแก ก็รีบเดินเข้าไปอุ้มเรนจิขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะจุ๊บลงไปที่แก้มของเด็กน้อยหนึ่งที
“คนเก่งรอหม่ามี๊นานไหม”
เด็กน้อยที่ตอนนี้ถูกอ้อมกอดที่อ่อนนุ่มละมุนละไมโอบล้อม ดวงตากลมโตที่เบิกโพลงด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าหม่ามี๊จะเดินเข้ามาอุ้มเขาแบบนี้ แต่ในใจเขาตอนนี้กลับดีใจอย่างบอกไม่ถูก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม