ผูกรักท่านประธานพันล้าน นิยาย บท 101

เซิ่งอันหรานหน้าแดงขึ้นมาในทันที“คุณ...”

“ลองพูดให้ฟังหน่อยสิ ว่าผมทำอะไรกับคุณ "

สีหน้าของอวี้หนานเฉิงดูสงบนิ่ง เขาค่อยๆเดินอย่างสบายๆเข้าไปตรงหน้าของเธอ สายตาของเขาดูน่ากลัวมาก "หรือถ้าคุณจะแสดงให้ผมดูเองก็ได้นะ ผมไม่รังเกียจ"

เซิ่งอันหรานตื่นตระหนก เธอค่อยๆก้าวถอยหลังไปที่ล่ะก้าวๆจนชนกับโซฟาในห้อง ทันใดนั้น เธอไม่สามารถยืนทรงตัวอยู่ได้อย่างมั่นคง เซิ่งอันหรานล้มลงไป สายตาของเธอมองไปยังบางสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งอยู่ตรงหน้า

ในวินาทีนั้น เซิ่งอันหรานตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังคว้าคอของอวี้หนานเฉิงเอาไว้ หลังจากที่ล้มลงไป และในตอนที่เธอกำลังเตรียมที่จะผลักอวี้หนานเฉิงออกไป แต่จู่ๆ —

“เปรี้ยง” เสียงฟ้าแลบก็ดังขึ้นลั่นห้อง ทันใดนั้นในห้องก็มืดลง เซิ่งอันหรานกรีดร้อง และพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ

ข้างนอกโฮสเทลก็มีเสียงดังเอะอะ

“ทำไมถึงได้มืดแบบนี้นะ?”

เสียงเรียบๆของพนักงานดังมาจากทางด้านนอก “แขกทุกท่านไม่ต้องกลัวนะคะ กรุณากลับไปรอที่ห้องของตัวเองก่อน ระบบฟ้าเกิดขัดข้อง ตอนนี้ทางเรากำลังซ่อมแซมอยู่ และจะเสร็จในไม่ช้านี้ค่ะ”

ในความโกลาหล มีเพียงห้องของเซิ่งอันหรานเท่านั้นที่เงียบสงบ ประตูและกำแพงถูกใช้เพื่อแบ่งแยกความเป็นส่วนตัวออกจากโลกภายนอก แม้กระทั่งเสียงเข็มที่ตกลงกระทบพื้นห้อง คนในห้องยังสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน

เซิ่งอันหรานได้ยินเสียงการหายใจของชายที่อยู่ตรงหน้า

ส่วนอวี้หนานเฉิงเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของหญิงสาวที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขา

หน้าอกอันแข็งแรงและบึกบึนมีเสียงเต้น ตึก ๆ ของหัวใจดังขึ้น ท่ามกลางความมืดมิด และระยะห่างที่ใกล้ชิดกันมาก พร้อมกับอากาศที่เบาสบาย

เซิ่งอันหรานไม่สามารถควบคุมสมองของตัวเองได้ ในสมองของเธอฉุดภาพฉากจูบฉากก่อนหน้าขึ้นมา เธอรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก และลืมแม้กระทั่งเรื่องที่เธอจะผลักร่างของอวี้หนานเฉิงออกไป

“เมื่อกี้คุณยังไม่ได้ตอบผมเลยนะ ว่าคืนนั้นผมทำอะไรกับคุณ”

เสียงแหบและทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างหูของเซิ่งอันหราน เธอรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตัวเองโดนกระชากหลุดออกจากร่างของเธอไป

"อะไรนะ ? "

“สิ่งที่ผมทำกับคุณในคืนนั้น คือผมควบคุมตัวเองไม่ได้ มันยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก ”

ทันทีที่เสียงพูดของเขาแผ่วเบาลง และก่อนที่เซิ่งอันหรานจะได้ตั้งตัว ริมฝีปากบาง ๆก็ปิดผนึกเสียงของเธอไว้

"อ อ่า……"

เขาจูบลงที่ริมฝีปากของเธอ และดูดดื่มความหวานจากร่างกายเธอ ผ่านคาง ผ่านลำคอ และผ่านส่วนที่โค้งเว้าของไหล่

เสื้อบนตัวของเธอถูกถอดออกจนเกือบหมด แม้กระทั่งตอนที่สายลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามาจากทางนอกหน้าต่าง เธอกลับไม่มีความรู้สึกถึงความหนาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความรู้สึกร้อนเร่าที่วิ่งไปทั่วร่างกาย แม้ว่าเซิ่งอันหรานจะมีสติอยู่ แต่เธอกลับควบคุมมันไม่ได้ เฉกเช่นคนเมาที่ไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้

มือของอวี้หนานเฉิงค่อยๆลูบไล้ไปที่ชายกระโปรงของเธอ และลึกเข้าไปทางด้านใน

จู่ๆ ภายในห้องก็มีแสงวูบวาบเกิดขึ้น และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ไฟของห้องก็สว่างขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เมื่อเซิ่งอันหรานได้สติกลับมา เธอจึงยื่นมือออกไปผลักอวี้หนานเฉิงอย่างรวดเร็ว เธอจ้องไปที่อวี้หนานเฉิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรีบวิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำและล็อกประตูอย่างลนลาน

หลังจากที่อวี้หนานเฉิงถูกผลัก เขาก็ล้มลงบนโซฟา อวี้หนานเฉิงจ้องไปที่โคมระย้าเหนือศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์ ราวกับว่าเขากำลังโทษตัวเอง

จากนั้นเขาก็มองไปที่ประตูหน้าห้องน้ำ และหวนนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ในแววตาของเขาดูรู้สึกเกิดความสงสัยเล็กน้อย

เป็นอีกครั้งที่เขาแน่ใจว่า ร่างกายของเซิ่งอันหรานไม่ได้มีการต่อต้านตัวเอง และก็สอดคล้องกับเขาเองด้วย

เซิ่งอันหรานขังตัวเองไว้ในห้องน้ำ เสียงน้ำจากฝักบัวในห้องไหล ฟู่ ๆ ออกมาและกระเด็นไปทั่ว น้ำเย็นๆไหลอาบลงมาที่ใบหน้าของเซิ่งอันหราน และทำให้ความรู้สึกเร่าร้อนที่มีอยู่ทั่วร่างกายของเธอสงบลง

เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ? เธอบ้าไปแล้วหรือยังไง ? เกือบจะ กับเขาอีกครั้งแล้ว !

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากทางด้านนอก

“คุณผู้ชาย ระบบไฟที่โฮลเทลของเรามีปัญหา และเพื่อเป็นการขอโทษ ทางเถ้าแก่เนี้ยของเราได้ลงมือทำเกี๊ยวน้ำด้วยตัวเอง จึงอยากจะเชิญพวกคุณทุกคนลงไปทานอาหารเย็นที่ด้านล่าง”

"โอเค เข้าใจแล้ว"

เสียงของอวี้หนานเฉิงพูดคุยกับพนักงานสาวดังขึ้นมาจากทางด้านนอก

เซิ่งอันหรานยืนอยู่ในห้องน้ำและจ้องไปที่ประตูอย่างไม่ละสายตา หลังจากนั้นไม่นานอวี้หนานเฉิงก็เดินเข้ามาเคาะประตูจริงๆ

"เมื่อกี้……"

“ฉันได้ยินแล้ว” เธอพูดขึ้นมาขัดจังหวะเสียงของเขาอย่างรวดเร็ว “คุณลงไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะตามไป”

เสียงนอกประตูหยุดลงกะทันหัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า เพราะเธอได้ยินเสียงอวี้หนานเฉิงกำลังหัวเราะอยู่ที่หน้าประตู

หลังจากทำสติอยู่ในห้องน้ำเกือบสิบนาที เซิ่งอันหรานก็เปิดประตูและเดินออก มาจากห้องน้ำ

อวี้หนานเฉิงไม่ได้รอเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะลงไปทานอาหารเย็นที่ชั้นล่างแล้ว

เซิ่งอันหรานเก็บกวาดห้อง จัดหมอน ผ้าห่ม และปูโซฟา เธอเหลือบมองดูฝนที่กำลังตกหนักอยู่ทางด้านนอกหน้าต่าง จะออกไปหาที่พักที่ใหม่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ อย่างนั้นคืนนี้ก็คงจะต้องเป็นแบบนี้ไปก่อน

ในขณะนี้ บรรยากาศที่ชั้นล่างของโฮสเทลเฟิงถังกำลังดูคึกคัก นักท่องเที่ยวที่อาศัยอยู่ที่นี่กำลังจับกลุ่มเล่นเกม 3-5 คนต่อกลุ่ม บ้างก็เล่นไพ่โป๊กเกอร์ บ้างก็เล่นเกมจับผู้ร้าย บ้างเล่นกีตาร์และร้องเพลง

อวี้หนานเฉิงก็เป็นคนอีกหนึ่งกลุ่ม เขานั่งอยู่คนเดียวที่ตำแหน่งมุมสุดของห้อง และกำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์เศรษฐศาสตร์รายวัน อีกทั้งยังถือปากกาเจลขีดเขียนไปมาอย่างสบายๆ

เซิ่งอันหรานสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา เธอหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยแสร้งทำเป็นถามขึ้นอย่างผ่อนคลาย

“ออกมาข้างนอกแล้ว ยังจะจริงจังอยู่ได้? คุณกำลังดูหนังสือพิมพ์เศรษฐศาสตร์รายวันอยู่เหรอ? ”

อวี้หนานเฉิงเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาดูนิ่งสงบมาก

"คุณกำลังคิดว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำกิจกรรมเกี่ยวกับความบันเทิงอยู่ใช่ไหม ?"

“แล้วใช่หรือเปล่าล่ะ ?” เซิ่งอันหรานรู้สึกสงสัย

อวี้หนานเฉิงวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะแล้วค่อยๆผลักมันออกไป “ไม่ใช่ไม่ชอบ ก็แค่ มันจะต้องเป็นเกมที่ใช้สมองมากกว่าสิ่งที่พวกคุณเล่นโดยทั่วไป ”

หนังสือพิมพ์มีเกมปริศนา Sudoku ที่ถูกขีดเขียนจนหมดแล้ว เมื่อกี้ที่เขาใช้ปากกาขีดเขียนและวนไปรอบๆ ก็เพื่อทำแบบนี้นี่เอง

เซิ่งอันหรานทำหน้ามุ้ย เพราะถูกอวี้หนานเฉิงพูดแซะไปเมื่อกี้ และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย

“เกมปริศนา Sudoku ไม่ได้วิเศษอะไรมากอย่างที่คุณพูด คนอื่นๆที่เล่นไพ่โป๊กเกอร์ หรือเกมจับผู้ร้ายเขาก็ต้องใช้สมองเหมือนกันจริงไหม?”

มันก็คือเกมเหมือนกัน แล้วทำไมจะต้องมาแบ่งระดับกันด้วยล่ะ ?

อวี้หนานเฉิงรู้สึกไม่พอใจ

“จริงเหรอ ?เกมไพ่หนึ่งสำรับเล่นกันสามคน ยกเว้นตอนที่สับไพ่และจำไพ่ไม่นับ เมื่อคุณได้รับไพ่ไปแล้ว คุณก็จะสามารถเดาได้ว่าอีกสองคนที่เหลือถือไพ่อะไร ผมคิดว่าเกมแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สมองมากเกินไป”

“จำไพ่?” เซิ่งอันหรานถามด้วยความสงสัย “ฉันก็เคยได้ยินมาว่าบางคนสามารถนับและจำไพ่ได้ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถเดาไพ่ในมือของฝ่ายตรงข้ามได้ มันเป็นไปไม่ได้”

หากว่ายังไม่มีใครออกไพ่ แล้วจะสามารถเดาไพ่ของฝ่ายตรงข้ามอีกสองคนได้ยังไง?

“ผมก็ไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อ” อวี้หนานเฉิงเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางของเขาดูเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก

เมื่อเซิ่งอันหรานเห็นท่าทางของเขาอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เธอมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีเด็กสาวสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆกำลังแอบมองอวี้หนานเฉิงด้วยสายตาที่เป็นประกาย

“พวกคุณมากันสองคนเหรอคะ? มาเล่นไพ่ด้วยกันไหม ?”

เด็กสาวทั้งสองดูเขินอายและหน้าแดง พวกเธอพยักหน้าอยู่หลายครั้ง

เซิ่งอันหรานเหลือบมองไปที่อวี้หนานเฉิง และพูดติดตลกกับเขาขึ้นว่า

“คุณจะพูดยังไงมันก็ไม่สำคัญ ลองพิสูจน์ดูหน่อยไหม ท่านประธานอวี้ ฉันรู้สึกสงสัยมาก ”

อวี้หนานเฉิงไม่ปฏิเสธ โต๊ะทั้งสองถูกจัดให้มาต่อกัน เด็กสาวสองคนรีบไปหยิบไพ่จากหน้าเคาน์เตอร์มาอย่างรวดเร็ว หลังจากจับไพ่แบ่งฝ่าย ปรากฏว่าเซิ่งอันหรานและอวี้หนานเฉิงได้อยู่ทีมเดียวกัน

เมื่อไพ่ถูกแจกออก เซิ่งอันหรานมองดูไพ่ที่อยู่ในมือของตัวเอง มันเป็นไพ่ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เธอดีใจจนเกือบจะหัวเราะออกมา เพียงแค่เธอสามารถทิ้งไพ่แต้มที่น้อยที่สุดหนึ่งใบที่อยู่ในมือของเธอออกไปได้ เกมนี้เธอก็จะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน และอีกอย่างไพ่ใบนั้นก็ไม่ได้เป็นไพ่ที่แต้มน้อยเลยซะทีเดียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน