เซิ่งอันหรานหน้าแดงขึ้นมาในทันที“คุณ...”
“ลองพูดให้ฟังหน่อยสิ ว่าผมทำอะไรกับคุณ "
สีหน้าของอวี้หนานเฉิงดูสงบนิ่ง เขาค่อยๆเดินอย่างสบายๆเข้าไปตรงหน้าของเธอ สายตาของเขาดูน่ากลัวมาก "หรือถ้าคุณจะแสดงให้ผมดูเองก็ได้นะ ผมไม่รังเกียจ"
เซิ่งอันหรานตื่นตระหนก เธอค่อยๆก้าวถอยหลังไปที่ล่ะก้าวๆจนชนกับโซฟาในห้อง ทันใดนั้น เธอไม่สามารถยืนทรงตัวอยู่ได้อย่างมั่นคง เซิ่งอันหรานล้มลงไป สายตาของเธอมองไปยังบางสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งอยู่ตรงหน้า
ในวินาทีนั้น เซิ่งอันหรานตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังคว้าคอของอวี้หนานเฉิงเอาไว้ หลังจากที่ล้มลงไป และในตอนที่เธอกำลังเตรียมที่จะผลักอวี้หนานเฉิงออกไป แต่จู่ๆ —
“เปรี้ยง” เสียงฟ้าแลบก็ดังขึ้นลั่นห้อง ทันใดนั้นในห้องก็มืดลง เซิ่งอันหรานกรีดร้อง และพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ
ข้างนอกโฮสเทลก็มีเสียงดังเอะอะ
“ทำไมถึงได้มืดแบบนี้นะ?”
เสียงเรียบๆของพนักงานดังมาจากทางด้านนอก “แขกทุกท่านไม่ต้องกลัวนะคะ กรุณากลับไปรอที่ห้องของตัวเองก่อน ระบบฟ้าเกิดขัดข้อง ตอนนี้ทางเรากำลังซ่อมแซมอยู่ และจะเสร็จในไม่ช้านี้ค่ะ”
ในความโกลาหล มีเพียงห้องของเซิ่งอันหรานเท่านั้นที่เงียบสงบ ประตูและกำแพงถูกใช้เพื่อแบ่งแยกความเป็นส่วนตัวออกจากโลกภายนอก แม้กระทั่งเสียงเข็มที่ตกลงกระทบพื้นห้อง คนในห้องยังสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
เซิ่งอันหรานได้ยินเสียงการหายใจของชายที่อยู่ตรงหน้า
ส่วนอวี้หนานเฉิงเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของหญิงสาวที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขา
หน้าอกอันแข็งแรงและบึกบึนมีเสียงเต้น ตึก ๆ ของหัวใจดังขึ้น ท่ามกลางความมืดมิด และระยะห่างที่ใกล้ชิดกันมาก พร้อมกับอากาศที่เบาสบาย
เซิ่งอันหรานไม่สามารถควบคุมสมองของตัวเองได้ ในสมองของเธอฉุดภาพฉากจูบฉากก่อนหน้าขึ้นมา เธอรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก และลืมแม้กระทั่งเรื่องที่เธอจะผลักร่างของอวี้หนานเฉิงออกไป
“เมื่อกี้คุณยังไม่ได้ตอบผมเลยนะ ว่าคืนนั้นผมทำอะไรกับคุณ”
เสียงแหบและทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างหูของเซิ่งอันหราน เธอรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตัวเองโดนกระชากหลุดออกจากร่างของเธอไป
"อะไรนะ ? "
“สิ่งที่ผมทำกับคุณในคืนนั้น คือผมควบคุมตัวเองไม่ได้ มันยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก ”
ทันทีที่เสียงพูดของเขาแผ่วเบาลง และก่อนที่เซิ่งอันหรานจะได้ตั้งตัว ริมฝีปากบาง ๆก็ปิดผนึกเสียงของเธอไว้
"อ อ่า……"
เขาจูบลงที่ริมฝีปากของเธอ และดูดดื่มความหวานจากร่างกายเธอ ผ่านคาง ผ่านลำคอ และผ่านส่วนที่โค้งเว้าของไหล่
เสื้อบนตัวของเธอถูกถอดออกจนเกือบหมด แม้กระทั่งตอนที่สายลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามาจากทางนอกหน้าต่าง เธอกลับไม่มีความรู้สึกถึงความหนาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความรู้สึกร้อนเร่าที่วิ่งไปทั่วร่างกาย แม้ว่าเซิ่งอันหรานจะมีสติอยู่ แต่เธอกลับควบคุมมันไม่ได้ เฉกเช่นคนเมาที่ไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้
มือของอวี้หนานเฉิงค่อยๆลูบไล้ไปที่ชายกระโปรงของเธอ และลึกเข้าไปทางด้านใน
จู่ๆ ภายในห้องก็มีแสงวูบวาบเกิดขึ้น และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ไฟของห้องก็สว่างขึ้น
ในเวลาเดียวกัน เมื่อเซิ่งอันหรานได้สติกลับมา เธอจึงยื่นมือออกไปผลักอวี้หนานเฉิงอย่างรวดเร็ว เธอจ้องไปที่อวี้หนานเฉิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรีบวิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำและล็อกประตูอย่างลนลาน
หลังจากที่อวี้หนานเฉิงถูกผลัก เขาก็ล้มลงบนโซฟา อวี้หนานเฉิงจ้องไปที่โคมระย้าเหนือศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์ ราวกับว่าเขากำลังโทษตัวเอง
จากนั้นเขาก็มองไปที่ประตูหน้าห้องน้ำ และหวนนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ในแววตาของเขาดูรู้สึกเกิดความสงสัยเล็กน้อย
เป็นอีกครั้งที่เขาแน่ใจว่า ร่างกายของเซิ่งอันหรานไม่ได้มีการต่อต้านตัวเอง และก็สอดคล้องกับเขาเองด้วย
เซิ่งอันหรานขังตัวเองไว้ในห้องน้ำ เสียงน้ำจากฝักบัวในห้องไหล ฟู่ ๆ ออกมาและกระเด็นไปทั่ว น้ำเย็นๆไหลอาบลงมาที่ใบหน้าของเซิ่งอันหราน และทำให้ความรู้สึกเร่าร้อนที่มีอยู่ทั่วร่างกายของเธอสงบลง
เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ? เธอบ้าไปแล้วหรือยังไง ? เกือบจะ กับเขาอีกครั้งแล้ว !
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากทางด้านนอก
“คุณผู้ชาย ระบบไฟที่โฮลเทลของเรามีปัญหา และเพื่อเป็นการขอโทษ ทางเถ้าแก่เนี้ยของเราได้ลงมือทำเกี๊ยวน้ำด้วยตัวเอง จึงอยากจะเชิญพวกคุณทุกคนลงไปทานอาหารเย็นที่ด้านล่าง”
"โอเค เข้าใจแล้ว"
เสียงของอวี้หนานเฉิงพูดคุยกับพนักงานสาวดังขึ้นมาจากทางด้านนอก
เซิ่งอันหรานยืนอยู่ในห้องน้ำและจ้องไปที่ประตูอย่างไม่ละสายตา หลังจากนั้นไม่นานอวี้หนานเฉิงก็เดินเข้ามาเคาะประตูจริงๆ
"เมื่อกี้……"
“ฉันได้ยินแล้ว” เธอพูดขึ้นมาขัดจังหวะเสียงของเขาอย่างรวดเร็ว “คุณลงไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะตามไป”
เสียงนอกประตูหยุดลงกะทันหัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า เพราะเธอได้ยินเสียงอวี้หนานเฉิงกำลังหัวเราะอยู่ที่หน้าประตู
หลังจากทำสติอยู่ในห้องน้ำเกือบสิบนาที เซิ่งอันหรานก็เปิดประตูและเดินออก มาจากห้องน้ำ
อวี้หนานเฉิงไม่ได้รอเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะลงไปทานอาหารเย็นที่ชั้นล่างแล้ว
เซิ่งอันหรานเก็บกวาดห้อง จัดหมอน ผ้าห่ม และปูโซฟา เธอเหลือบมองดูฝนที่กำลังตกหนักอยู่ทางด้านนอกหน้าต่าง จะออกไปหาที่พักที่ใหม่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ อย่างนั้นคืนนี้ก็คงจะต้องเป็นแบบนี้ไปก่อน
ในขณะนี้ บรรยากาศที่ชั้นล่างของโฮสเทลเฟิงถังกำลังดูคึกคัก นักท่องเที่ยวที่อาศัยอยู่ที่นี่กำลังจับกลุ่มเล่นเกม 3-5 คนต่อกลุ่ม บ้างก็เล่นไพ่โป๊กเกอร์ บ้างก็เล่นเกมจับผู้ร้าย บ้างเล่นกีตาร์และร้องเพลง
อวี้หนานเฉิงก็เป็นคนอีกหนึ่งกลุ่ม เขานั่งอยู่คนเดียวที่ตำแหน่งมุมสุดของห้อง และกำลังพลิกอ่านหนังสือพิมพ์เศรษฐศาสตร์รายวัน อีกทั้งยังถือปากกาเจลขีดเขียนไปมาอย่างสบายๆ
เซิ่งอันหรานสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา เธอหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยแสร้งทำเป็นถามขึ้นอย่างผ่อนคลาย
“ออกมาข้างนอกแล้ว ยังจะจริงจังอยู่ได้? คุณกำลังดูหนังสือพิมพ์เศรษฐศาสตร์รายวันอยู่เหรอ? ”
อวี้หนานเฉิงเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาดูนิ่งสงบมาก
"คุณกำลังคิดว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำกิจกรรมเกี่ยวกับความบันเทิงอยู่ใช่ไหม ?"
“แล้วใช่หรือเปล่าล่ะ ?” เซิ่งอันหรานรู้สึกสงสัย
อวี้หนานเฉิงวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะแล้วค่อยๆผลักมันออกไป “ไม่ใช่ไม่ชอบ ก็แค่ มันจะต้องเป็นเกมที่ใช้สมองมากกว่าสิ่งที่พวกคุณเล่นโดยทั่วไป ”
หนังสือพิมพ์มีเกมปริศนา Sudoku ที่ถูกขีดเขียนจนหมดแล้ว เมื่อกี้ที่เขาใช้ปากกาขีดเขียนและวนไปรอบๆ ก็เพื่อทำแบบนี้นี่เอง
เซิ่งอันหรานทำหน้ามุ้ย เพราะถูกอวี้หนานเฉิงพูดแซะไปเมื่อกี้ และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย
“เกมปริศนา Sudoku ไม่ได้วิเศษอะไรมากอย่างที่คุณพูด คนอื่นๆที่เล่นไพ่โป๊กเกอร์ หรือเกมจับผู้ร้ายเขาก็ต้องใช้สมองเหมือนกันจริงไหม?”
มันก็คือเกมเหมือนกัน แล้วทำไมจะต้องมาแบ่งระดับกันด้วยล่ะ ?
อวี้หนานเฉิงรู้สึกไม่พอใจ
“จริงเหรอ ?เกมไพ่หนึ่งสำรับเล่นกันสามคน ยกเว้นตอนที่สับไพ่และจำไพ่ไม่นับ เมื่อคุณได้รับไพ่ไปแล้ว คุณก็จะสามารถเดาได้ว่าอีกสองคนที่เหลือถือไพ่อะไร ผมคิดว่าเกมแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สมองมากเกินไป”
“จำไพ่?” เซิ่งอันหรานถามด้วยความสงสัย “ฉันก็เคยได้ยินมาว่าบางคนสามารถนับและจำไพ่ได้ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถเดาไพ่ในมือของฝ่ายตรงข้ามได้ มันเป็นไปไม่ได้”
หากว่ายังไม่มีใครออกไพ่ แล้วจะสามารถเดาไพ่ของฝ่ายตรงข้ามอีกสองคนได้ยังไง?
“ผมก็ไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อ” อวี้หนานเฉิงเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางของเขาดูเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก
เมื่อเซิ่งอันหรานเห็นท่าทางของเขาอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เธอมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีเด็กสาวสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆกำลังแอบมองอวี้หนานเฉิงด้วยสายตาที่เป็นประกาย
“พวกคุณมากันสองคนเหรอคะ? มาเล่นไพ่ด้วยกันไหม ?”
เด็กสาวทั้งสองดูเขินอายและหน้าแดง พวกเธอพยักหน้าอยู่หลายครั้ง
เซิ่งอันหรานเหลือบมองไปที่อวี้หนานเฉิง และพูดติดตลกกับเขาขึ้นว่า
“คุณจะพูดยังไงมันก็ไม่สำคัญ ลองพิสูจน์ดูหน่อยไหม ท่านประธานอวี้ ฉันรู้สึกสงสัยมาก ”
อวี้หนานเฉิงไม่ปฏิเสธ โต๊ะทั้งสองถูกจัดให้มาต่อกัน เด็กสาวสองคนรีบไปหยิบไพ่จากหน้าเคาน์เตอร์มาอย่างรวดเร็ว หลังจากจับไพ่แบ่งฝ่าย ปรากฏว่าเซิ่งอันหรานและอวี้หนานเฉิงได้อยู่ทีมเดียวกัน
เมื่อไพ่ถูกแจกออก เซิ่งอันหรานมองดูไพ่ที่อยู่ในมือของตัวเอง มันเป็นไพ่ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เธอดีใจจนเกือบจะหัวเราะออกมา เพียงแค่เธอสามารถทิ้งไพ่แต้มที่น้อยที่สุดหนึ่งใบที่อยู่ในมือของเธอออกไปได้ เกมนี้เธอก็จะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน และอีกอย่างไพ่ใบนั้นก็ไม่ได้เป็นไพ่ที่แต้มน้อยเลยซะทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน