ผูกรักท่านประธานพันล้าน นิยาย บท 158

“เทียนเอิน หมึกลื่นอันนี้อร่อยมาก ฉันตั้งใจซื้อมาโดยเฉพาะ นายลองชิมดูสิ”

“ขอบคุณครับพี่ซูจิ้ง” เทียนเอินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พร้อมยื่นมือออกไปรับถ้วยจากถานซูจิ้งด้วยความกระตือรือร้น “ผมทำเองก็ได้ครับ”

ถานซูจิ้งแสร้งทำเป็นเขินเล็กน้อย

“อย่าเรียกว่าพี่เลย ฉันแก่กว่านายแค่ไม่กี่ปี เรียกว่าซูจิ้งเฉยๆ ก็ได้”

เกาจ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นฉากนี้เข้าก็ถึงกลับกินอะไรไม่ลง ทนฝืนไปได้สักพัก สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“เด็กคนนี้ความจำเสื่อมจริงๆ เหรอ? แม้ความจำเสื่อมก็ตามเถอะ ไม่คิดจะทำการทำงานหาเงิน เที่ยววิ่งมาขอข้าวบ้านคนอื่นกินฟรีๆ ก็ได้เหรอ?”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ?” ถานซูจิ้งชำเลืองมองเกาจ้าน “ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ ยังจะมาพูดว่าคนอื่นมาขอกินฟรีดื่มฟรีอย่างหน้าไม่อาย”

“ถานซูจิ้ง คุณ...”

“หยุด” ถานซูจิ้งยกมือขึ้นปราบ “วันนี้ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณ เกาจ้าน คุณชายเกาค่ะ ถ้าคุณอยากกินข้าวดีๆ ก็หุบปากไปซะ”

เกาจ้านคับแค้นใจ กำลังจะตอบโต้กลับ แต่เซิ่งอันหรานก็ชิงพูดไกล่เกลี่ยขึ้นมาเสียก่อน

“เข้าใจผิดกันแล้ว ที่นี่ไม่มีใครมากินฟรีดื่มฟรีทั้งนั้นแหละ ที่ให้เชิญเทียนเอินมาทานข้าวด้วยเป็นความคิดของฉันเอง ก่อนหน้านี้เทียนเอินเคยช่วยเหลือฉัน ที่แก้ไขข่าวอื้อฉาวน่าขายหน้าพวกนั้นได้ก็ต้องขอบคุณเขา และประธานเกาเองฉันก็เชิญมาเช่นกัน ตอนที่โทรไปหาหนานเฉิง เขาก็อยู่ข้างๆ จึงเรียกมาด้วยกันซะเลย”

คำพูดนี้ช่วยเตือนสติเกาจ้าน ชี้ให้เห็นว่า เวลานี้ถานซูจิ้งกำลังจีบผู้ชายคนอื่น แม้ว่าอยู่ต่อหน้าต่อตาเขายังไม่เว้น ตอนนี้ความโกรธเดือดพล่านอยู่ในอก

“ปีกไก่ในเตาอบน่าจะได้ที่แล้ว ผมขอไปดูหน่อยนะครับ”

เทียนเอินเอ่ยขึ้น ทำราวกับไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุรอบตัว เดินจากไปด้วยใบหน้าไร้เดียงสา

“ฉันจะไปกับนายด้วย” ถานซูจิ้งเดินตามไปอย่างกับหนอนตามก้น

เกาจ้านนั่งลงได้ไม่ถึงนาที ก็วางตะเกียบลงเสียงดัง ‘ปัง’ แล้วเดินตามไป

ทิ้งให้เซิ่งอันหรานและอวี้หนานเฉิงนั่งมองตากันปริบๆ อยู่ที่โต๊ะอาหารเพียงแค่สองคน

“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?” เซิ่งอันหรานเป็นกังวล

“คุณเป็นห่วงใคร?”

“แน่นอนว่าฉันก็ต้องเป็นห่วงเทียนเอินน่ะสิ” เซิ่งอันหรานตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เห็นท่าทีของเกาจ้านที่จ้องจะกินหัวเทียนเอินอยู่เหรอ?”

“ฉันคิดว่าถ้าต้องมีการลงไม้ลงมือกันจริงๆ เทียนเอินอาจจะสู้เกาจ้านไม่ได้”

“ใช่แล้ว? ดูๆ ไปเทียนเอินก็ไม่เหมือนคนที่จะต่อสู้เป็นสักเท่าไหร่ และอีกอย่างเขายังเป็นเด็ก”

ได้ยินเช่นนั้น อวี้หนานเฉิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ดูท่าว่าเขาจะไม่พอใจกับการประเมินเด็กคนนี้ของเซิ่งอันหราน

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นได้ง่าย นำไปสู่การมองไม่เห็นถึงความเป็นจริง

เรื่องจริงที่ว่าคนที่ชื่อเทียนเอินคนนี้ เมื่อคาดการณ์ด้วยตาเปล่า ส่วนสูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ร่างกายมีกล้ามเนื้ออยู่ไม่น้อย เมื่อเทียบกับคนที่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาหน้าตาดีแต่ไม่เอาไหนอย่างเกาจ้านแล้ว เขาดูดีกว่าตั้งเยอะ เห็นได้ชัดว่าพลังกำลังในการต่อสู้ก็ต้องแข็งแรงกว่าเกือบครึ่งต่อครึ่ง

เพียงแต่เทียนเอินมีใบหน้าที่ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู จึงได้ใจเหล่าคุณป้า น้า อาในโรงแรมไปอย่างง่ายดาย เล่ากันว่าห้องพักที่เขาพักอยู่ มีคนไปทำความสะอาดวันละแปดรอบได้

เมื่อเห็นท่าทีกังวลใจของเซิ่งอันหราน อวี้หนานเฉิงก็ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

อุปถัมภ์อาหารมื้อนี้ให้กับถานซูจิ้งและเกาจ้านเพื่อเป็นทูตสร้างความสันติสุขระหว่างทั้งสองคน เวลาชั่วโมงกว่าๆ ในการรับประทานอาหาร แต่พวกเขาพูดเหน็บแนมกันไปมาร่วมชั่วโมง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ท้ายที่สุดทั้งคู่จึงต้องนัดออกไปไกล่เกลี่ยกันข้างนอก หลังจากที่เดินออกไปบรรยากาศภายในห้องก็สงบลง

ช่วงกลางคืน ผู้คนทั้งหลายต่างพากันจากไป เด็กสองคนก็มารับคุณท่านตระกูลอวี้ไปอยู่ใกล้ๆ ตัว ภายในบ้านจึงเหลือเพียงเซิ่งอันหรานและอวี้หนานเฉิงเท่านั้น

เซิ่งอันหรานจัดการเก็บกวาดอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ นำไปกองไว้ยังอ่างล้างจาน ทันใดนั้นก็มีมือสองมือโอบเอวเธอมาจากด้านหลัง

“อย่ากวน” เซิ่งอันหรานตกใจ รู้สึกกระบิดกระบวนขึ้นมา “จั๊กจี้...”

จุดอ่อนไหวต่อความรู้สึกของเธออยู่ที่บริเวณเอว เธอจะรู้สึกระแวงที่สุดเมื่อมีคนอื่นมาจับ โดยเฉพาะอวี้หนานเฉิง

ยังดีที่อวี้หนานเฉิงแค่กอดเธอนิ่งๆ เพียงวางคางไว้บนไหล่ของเธอ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ดึกแล้ว”

“ถ้าคุณเหนื่อยก็ไปนอนก่อนเลย” เซิ่งอันหรานรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ พร้อมกับพึมพำเบาๆ “ฉันยังต้องล้างจาน”

น้ำเสียงแผ่วเบาเล็กๆ ดังขึ้นข้างๆ หูอวี้หนานเฉิง ราวกับกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างกาย เขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามลำคอระหงของเซิ่นอันหราน พร้อมเอ่ยเสียงกระเซ้า

“พรุ่งนี้ค่อยล้างก็ได้”

“พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงาน"

“เดี๋ยวผมมาล้าง”

“เอ่อ...”

ไม่รอให้เซิ่งอันหรานได้ตอบกลับ ริมฝีปากของเธอก็ถูกผนึก มือใหญ่คู่ที่จับเอวเธอ ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาครอบครองความอ่อนนุ่มของทรวงอก พลางบีบเคล้นเบาๆ เสียงหายใจหอบของเธอก้องกังวานอยู่ภายในดอนโดมิเนียมหรู

เธอเอนตัวลงบนแผงอกแกร่งของชายหนุ่มอย่างอ่อนแรง ใบหน้าแดงก่ำ พลางหายใจหอบ

มือที่กำลังสวมถุงมือยางพลาสติกสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ฟองน้ำยาล้างจานเกาะอยู่บนปลายนิ้ว พร้อมกับหยดน้ำที่ค่อยๆ ไหลลงมา เสื้อผ้าภายใต้เสื้อกันเปื้อนถูกปลดออกไปเรียบร้อยแล้ว

หัวเข็มกลัดโลหะลอยขึ้นไปบนอากาศกระทบกันเสียงดัง อวี้หนานเฉิงยกเอวเธอขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างยกชายกระโปรงขึ้น เพียงชั่วพริบตา เธอก็อยู่บนขอบอ่างล้างจานที่มีน้ำเติมอยู่ปริ่มขอบ

“อ่า...”

มือทั้งสองข้างของเซิ่งอันหรานจับขอบอ่างแน่น พร้อมกับจังหวะเร่าร้อนที่โหมซัดเข้ามาจากทางด้านหลัง หน้าอกกระแทกหลังมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกิดเป็นเสียงดัง ‘พั่บ พั่บ’ ภายใต้บรรยากาศร้อนแรง ทันใดนั้นวาล์วก๊อกน้ำก็ถูกเปิดออก ทำให้น้ำกระเซ็นใส่ทั้งสองจนเปียกชุ่ม

น้ำเย็นไม่อาจลดความร้อนรุ่มภายในร่างกายของทั้งสองได้เลย อวี้หนานเฉิงราวกับสัตว์ป่าที่เพิ่งได้ออกจากกรงหลังจากถูกขังไว้เป็นเวลานาน หิวกระหายไม่รู้จบ เขากระทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จวบจนดึกดื่น เซิ่งอันหรานอ่อนแขนลงในอ้อมกอดของเขา ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและสติสัมปชัญญะ เมื่อตรึกตรองถึงความสามารถที่ร่างกายเธอจะรับไหว สิ้นสุดภารกิจรักแต่อารมณ์ของอวี้หนานเฉิงยังคงค้างคา เขาจึงอุ้มเธอเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำ

เรือนร่างอรชรในอ่างอาบน้ำมีรอบจ้ำแดงๆ อยู่เกือบทั่วตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิงตกลงมาปิดแก้ม เซิ่งอันหรานหลับไปบนแขนของเขา เธอหลับลึกและนิ่งสงบ แม้เขาจะยกฝักบัวขึ้นมาชำระร่างกายให้เธอ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่น เมื่อจ้องมองรูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสานี้ อวี้หนานเฉิงก็แทบทนไม่ไหวอีกครั้ง

หลังจากอุ้มเธอมาไว้บนเตียงเขาอดทนต่อความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุด ก้มลงจุมพิตหน้าผากเธอเบาๆ รับเธอเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง แล้วผล็อยหลับไปด้วยความพึงพอใจ

เขาเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด เมื่อยังเป็นเด็กเพราะมีเหตุผลมากเกินไปจึงเป็นคนหนุ่มที่ขาดความมีชีวิตชีวา ทำให้ผู้ใหญ่ไม่ชอบ และก็เข้ากับเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ได้ หลังจากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเย็นชามากขึ้น มีเพียงแค่คุณปู่เท่านั้นที่เขาให้ความเคารพนับถือ กระนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงความสนิทสนมของทั้งคู่

เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ ทำให้เขาคิดว่าการแต่งงานไม่ใช่วิถีชีวิตที่ควรค่าแก่การใฝ่ฝันหา

ด้วยชุดความคิดแบบเหมารวมเช่นนี้ ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ เขาไม่เคยศรัทธาในเรื่องการแต่งงานเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าคุณปู่ต้องการจะบีบบังคับให้เขาสืบทอดกิจการที่เขาให้ความสำคัญ เขายังยินยอมที่จะหาแม่อุ้มบุญมาต่อกรด้วยวิธีการเด็ดขาด

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าตัวเองตกหลุมรักคนคนหนึ่งเข้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือนิสัยที่เข้ากันได้ ทั้งหมดทำให้เขารู้สึกว่าหญิงสาวในอ้อมแขนเขาคนนี้ คือคู่ชีวิตเพียงคนเดียวของเขา

ถ้าเป็นอย่างที่คุณปู่กล่าวไว้ ในชีวิตหนึ่งของคนเรา เราต้องเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต ภายใต้ความปรารถนาของตัวเราเอง เขาค่อนข้างมั่นใจ นอกจากเซิ่งอันหรานแล้ว เขาไม่มีทางเลือกคนอื่นอย่างแน่นอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน