“สารภาพ ?
อวี้หนานเฉิงกำลังขับรถอยู่ “ประวัติทางการแพทย์ คุณก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วยเหรอ ?”
คำพูดนี้หยุดคำพูดของเซิ่งอันหรานไว้ครึ่งหนึ่ง เธอพูดติดตลกและถามอย่างจริงจังว่า “ถ้าหากว่าฉันเป็นล่ะ ? ไม่แน่ฉันอาจจะรู้จักถานซูจิ้งจากกลุ่มผู้ป่วยก็ได้ ใช่ไหม ?”
“ถ้าหากว่าคุณก็เป็น ?”
อวี้หนานเฉิงเหลือบมองเธอ ราวกับว่ากำลังยืนยันอะไรบางอย่าง อ“ยากฟังความจริงไหม ?”
“นอกจากความจริง ทุกอย่างก็เป็นเรื่องไร้สาระ”
อวี้หนานเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ชะลอรถ “ถ้าหากว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้ลำบาก
เหมือนเกาจ้าน พ่อแม่ผมก็ไม่มีแล้ว คุณปู่ก็อายุจะแปดสิบปีแล้ว.......”
“โอ๊ย..........”
เซิ่งอันหรานฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว “คุณหยุดพูดเลยนะ ถ้าคุณปู่ได้ยินว่าคุณแช่งเขาแบบนี้ เขาต้องโกรธจนเตะคุณแน่”
“เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา”
สีหน้าของอวี้หนานเฉิงสงบนิ่ง
“ช่างเถอะ ถามคุณไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”
เซิ่งอันหรานรู้สึกทำอะไรไม่ถูก อวี้หนานเฉิงเป็นใครกัน ? เขาเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาไม่เหมือนกับเกาจ้านที่ชีวิตดูวุ่นวาย แล้วตัวเองจะถามคำถามนี้ไปทำไมกัน ?
“เมื่อครู่คุณอยากพูดอะไรกับผม ?”
อวี้หนานเฉิงเร่งความเร็วรถ ตอนนี้ยังอยู่ห่างจากคอนโดเซิ่งอันหรานอยู่มาก
เมื่อเห็นเข็มความเร็วเพิ่มขึ้น เซิ่งอันหรานก็ขมวดคิ้ว
“ไม่มีอะไร มันไม่สำคัญหรอก ถึงบ้านแล้วค่อยพูดนะ”
ดวงตาของอวี้หนานเฉิงดูซับซ้อนแล้วจางหายไป
อันที่จริงในตอนที่เซิ่งอันหรานพูดว่ามีเรื่องจะสารภาพ เขาคิดไปถึงชายที่ชื่อกู้เจ๋อทันที
ถ้าหากทุกอย่างสามารถสารภาพออกมาจากปากของเซิ่งอันหรานได้ ถ้างั้นปัญหาระหว่างสองคนนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็มาจอดอยู่ที่หน้าประตูคอนโด อวี้หนานเฉิงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
เซิ่งอันหรานนอนพิงเบาะข้างคนขับ โดยไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
——
อวี้หนานเฉิงเลื่อนตารางงานของตัวเองออกไปหนึ่งสัปดาห์ เขาดูแลเซิ่งอันหรานตลอดทั้งวันยี่สิบสี่ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันที่สาม เซิ่งอันหรานก็รู้สึกเสียใจกับคำขอร้องของตัวเอง
เพราะอวี้หนานเฉิงเป็นคนที่น่าเบื่อจริงๆ ทุกวันนอกจากจะอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านแล้ว เขาก็พาเธอไปบ้านเก่าไปเยี่ยมเด็กทั้งสองคน เขาไม่ยอมให้เธอลงไปเดินเล่นชุมชนข้างล่างเลยด้วยซ้ำ
“คุณลงไปเดินเล่นข้างล่างไหม ? อยู่ในบ้านกับฉันทุกวันไม่เบื่อเหรอ ?”
เซิ่งอันหรานมองไปยังร่างที่อยู่บนโซฟา ด้วยน้ำเสียงที่ทำอะไรไม่ถูก
“ผมไปคนเดียว ?” อวี้หนานเฉิงเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองดูเธอ
“มิฉะนั้นล่ะ ? ”เซิ่งอันหรานชี้ไปที่ขาของตัวเอง “คุณคงไม่ได้คิดว่าขาที่หักของฉันนี้แล้วยังจะไปที่ไหนกับคุณได้อีกเหรอ ? ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วยนะ”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”
เสียงปิดหนังสือดัง ปึก มองดูแล้วหนังสือเล่มนั้นน่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับกฎหมาย
สิบนาทีต่อมา โจวฟังผู้ช่วยของอวี้หนานเฉิงก็มา หลังจากยืนยันว่าอวี้หนานเฉิงจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการครั้งนี้จริงๆ เขายังเอารถวีลแชร์คันใหม่มาให้อีก
“เดิมทีเตรียมไว้ให้คุณปู่ แต่ตอนนี้ได้เอามาใช้ก่อนแล้ว”
เมื่อได้ยินอวี้หนานเฉิงพูดออกมาแบบนี้ เซิ่งอันหรานก็แทบจะพ่นน้ำออกมา
ด้วยแบบนี้ เซิ่งอันหรานจึงถูกอวี้หนานเฉิงเข็นออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจ
ตอนนี้เป็นเดือนกันยายน และฝนก็เพิ่งตกลงมา เมื่อลมพัดมา จึงรู้สึกหนาวหน่อยๆ
อวี้หนานเฉิงวางผ้าห่มบนขาของเซิ่งอันหรานไว้ ในลิฟต์เซิ่งอันหรานอดไม่ได้ที่จะมองกระจก และรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนพิการเลย
และความคิดนี้ ได้ถูกยืนยันโดยคุณป้าที่ผลัดกันมาดูแลชุมชนที่นี่
“เอ๊ะ นี่ไม่ใช่คุณเซิ่งที่อยู่ชั้นยี่สิบสองเหรอ ? ขาเป็นอะไร ? ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน