“ไม่ ไม่มีอะไร” ดวงตาของซูป๋ายสั่นเล็กน้อยพลางกล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “ฉันกลัวเอง ฉันก็เลยยืนไม่มั่นคงและล้มลงไปเอง อันที่จริง...อันที่จริงไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเซิ่งเลยค่ะ”
อวี้หนานเฉิงมองไปยังซูป๋ายด้วยสีหน้าน่าเกลียด
“ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่าเรื่องการเจอกับจิ่งซีเป็นเรื่องของเซิ่งอันหราน แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
เหตุการณ์ที่ซูป๋ายปรากฏตัวในงานเลี้ยงวันเกิด เป็นเรื่องที่อวี้หนานเฉิงไม่เคยคาดคิด แต่สายตาของชายชราในงานเลี้ยงและคำพูดที่เขาพูดกับเซิ่งอันหราน ทำให้เดาออกว่าชายชราคงจะรู้อะไรบางอย่าง
“คุณท่านตระกูลอวี้เป็นึนให้ฉันมา” ซูป๋ายอธิบายอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้มาเองนะ ชายชราเป็นคนจัดการทุกอย่างบอกว่าฉันสามารถยืนมองจิ่งซีจากที่ไกลๆ ได้”
“ต่อไปคุณจะไม่ได้เจออีกแล้ว”
หลังจากพูดจบ อวี้หนานเฉิงก็ทิ้งซูป๋ายไว้ในห้องน้ำเพียงลำพัง
เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องที่ซูป๋ายเป็นเด็กตั้งครรภ์แทนในปีนั้น เป็นเพราะเขาทำให้ชีวิตของเธอต้องยุ่งยากเพิ่มขึ้น แม้ว่าเธอจะอยากพบหน้าจิ่งซีบ้างก็ไม่เป็นอะไร แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้จัดการง่ายๆ อย่างที่คิดไว้เสียแล้ว
หลังจากเขาจากไป เขาก็เรียกโจวฟางในห้องจัดเลี้ยง
"ตรวจสอบตัวตนเบื้องหลังของซูป๋ายอีกครั้ง"
“ทำไมเหรอครับ? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันให้ทำก็ไปทำเถอะ” อวี้หนานเฉิงดูเย็นชาและจ้องไปที่โจวฟาง “นายกำลังพูดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ คุณปู่รู้เรื่องซูป๋ายได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวฟางก็ตกใจและพูดอย่างกังวลว่า “คุณอวี้ คือผม…”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ไปตรวจซะ พรุ่งนี้ฉันจะต้องรู้ผลการตรวจสอบ”
"ครับ"
โจวฟางไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป และรีบเดินจากไปทันที
เพราะโจวฟางอยู่เคียงข้างเขามาหลายปีแล้ว อวี้หนานเฉิงไม่เคยสงสัยในความสามารถของเขา และเขาไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ดังนั้นเมื่อเขานำหลักฐานการตรวจพิสูจน์ DNA มารายงานว่าซูป๋ายเป็นแม่ของจิ่งซี เขาจึงเชื่ออยากง่ายดาย
ต่อมาเนื่องจากเซิ่งอันหรานได้ต่อต้านเหตุการณ์นี้อย่างมาก เขาจึงไม่แม้แต่จะติดต่อกับซูป๋ายอีก ความทรงจำเมื่อเจอเด็กสาวเมื่อ 6 ปีที่แล้วน้อยไป จึงเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันความจริง
แต่การปรากฏตัวในห้องน้ำในวันนี้ทำให้เขาสงสัยในตัวตนของซูป๋ายมากขึ้น
เซิ่งอันหรานไม่เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล เขาเชื่อมั่นในสิ่งนี้ ซูป๋ายจึงโกหก แม้ว่าการแสดงจะดีมากแต่ก็ยังมีช่องโหว่
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง อวี้หนานเฉิงก็ส่งเด็กสองคนและชายชรากลับบ้าน
พี่เลี้ยงพาเด็กสองคนเข้านอน โดยเหลืองเพียงปู่และหลานในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์เก่าของตระกูลอวี้
“ทำไมอันหรานถึงออกจากงานไปกลางคันล่ะ?” ชายชรากำลังจิบชาและถามด้วยสีหน้าสงสัย
อวี้หนานเฉิงตอบอย่างแผ่วเบาว่า "เธอรู้สึกไม่สบายน่ะครับ ผมก็เลยบอกให้เธอกลับไปพักผ่อน"
“เพราะเรื่องแม่ผู้ให้กำเนิดของจิ่งซีใช่ไหม”
ชายชราพูดอย่างตรงประเด็น "อันหรานน่ะใจแคบเกินไป แม่ผู้ให้กำเนิดของจิ่งซีแค่ต้องการพบเขา ปีหน้าหล่อนก็จะไปอังกฤษแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันยังได้ยินมาอีกว่าเธอเป็นจิตแพทย์สามารถช่วยจิ่งซีได้ "
อวี้หนานเฉิงขมวดคิ้ว “คุณปู่ ผมขอเวลาคิดเรื่องนี้อีกครั้ง ดังนั้นคุณปู่อย่าเข้ามายุ่งอีกเลยครับ”
“นายคิดว่าฉันยุ่งเกินไปงั้นเหรอ?”
“ผมไม่อยากให้จิ่งซีเจอกับซูป๋าย” เมื่อกล่าวถึงซูป๋ายคิ้วและตาของอวี้หนานเฉิงก็เย็นลงเล็กน้อย
ชายชราจ้องมองมาที่เขา
“สามีของหล่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง นั่นเป็นเพียงความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ และมันก็เป็นเรื่องโกหกที่นายทำในตอนแรก ตอนนี้นายจะกลับใจงั้นเหรอ?”
"ท่านอย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลยครับ"
อวี้หนานเฉิงมีท่าทีแน่วแน่อย่างมาก เขาทิ้งท้ายว่า "ดึกแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ คุณปู่รีบพักผ่อนนะครับ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน