คุณท่านเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจินหลิงมาครึ่งเดือนแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เคยได้พบเขาเลย จะพูดไปแล้วความจริงเธอก็พยายามหลบหน้าเขาอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้เกือบจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว พบกันทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ และไม่รู้จะพูดอะไร
ปีนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อวี้หนานเฉิงหรือเธอเป็นคนทำ มันมีส่วนทำร้ายหัวใจของชายชราไม่มากก็น้อย แต่เธอไม่เคยคิดว่า การที่คุณท่านอวี้เลือกปฏิเสธทำการผ่าตัดเกี่ยวข้องกับเธอด้วย
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ซูเหยียนขับรถไปส่งเซิ่งอันหรานกลับโรงพยาบาล
“พี่อันหราน เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ มันดูกะทันหันเกินไป หลังจากลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ฉันกลัวว่าคุณนายอวี๋อาจจะต้องการทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ ในช่วงสองวันที่ผ่านมามีข่าวลือเกี่ยวกับพี่มากมายในเซิ่งถัง ดังนั้นฉันจึงบอกเรื่องนี้กับ จิ่งซี หวังว่าพี่จะไม่โกรธนะ”
“ไม่เป็นไร ที่เธอทำก็เพราะปกป้องฉัน ”
“มันก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน”ซูเหยียนยิ้ม “ฉันเกรงว่าแม่บุญธรรมจะรู้เรื่องที่พี่ถูกทำร้ายในเซิ่งถัง ถึงตอนนั้นก็จะมาโทษฉันว่าไม่รู้จักหาโอกาสช่วยเหลือพี่”
“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เรื่องที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ต้องลำบากเธอแล้ว ขอบคุณที่เธอคอยดูแลจิ่งซีให้ ”
“ถ้าไม่ใช่แม่บุญธรรมส่งเสริมฉันจนเรียนจบมหาวิทยาลัย หลังมัธยมปลายฉันคงะใช้ชีวิตอยู่ตามชนบท บางทีเด็กประถมของเราที่นั่นก็คงเป็นแบบนั้นไปตลอดชีวิต คนต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณคน เรื่องนี้ฉันเข้าใจดี แล้วตอนนี้มันก็เป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ทุกคนล้วนมีทางเลือกเป็นของตัวเอง และทางเลือกนั้นเป็นโอกาสสำหรับฉันในตอนนั้น”
เซิ่งอันหรานนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซูเหยียน
"โอกาส?"
ซูเหยียนเป็นนักเรียนจากพื้นที่ภูเขาที่ยากจนซึ่งได้รับการส่งเสริมจากน้าสะใภ้และสามีของเธอ เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เดิมทีเธอผ่านการสอบเบื้องต้นและสัมภาษณ์การสอบเข้าระดับประเทศแล้ว เหลือเพียงขึ้นตอนการยื่นเรื่องต่อบุคลากร เพราะมีคุณอาคอยหนุนหลังอยู่ คิดว่าอนาคตของเธอใช่ช่วงครึ่งหลังของชีวิตน่าจะไปได้ราบรื่นเหมือนเรือที่แล่นไปตามสายน้ำ
แต่เธอเลือกปฏิเสธงานที่คนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝัน และส่งเรซูเม่ของตัวเองไปที่เซิ่งถังกรุป หลังจากได้รับใบตอบรับการทำงาน เธอจึงบอกเรื่องนี้กับที่บ้าน ตอนนั้นมันสายเกินที่จะเปลี่ยนใจได้แล้ว และเพราะเรื่องนี้ทำให้น้าสะใภ้โกรธเป็นอย่างมาก โทษเธอว่าเธอตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาคนอื่นก่อน
“อืม พี่อันหราน จะพูดไปแล้วมันอาจจะดูโอ้อวดเกินไป แต่ตอนนี้ฉันซื้อบ้านเองแล้วนะ คุณย่าของฉันที่บ้านเกิดต้องมารักษาตัวในโรงพยาบาล ตอนนี้ก็ไม่ต้องขอเงินจากแม่บุญธรรมแล้ว ไม่ว่าจะวันเกิดแม่บุญธรรมหรือฮวนฮวนฉันก็มีเงินซื้อของขวัญดีๆสำหรับพวกเขา ในวันเกิด ทุกคนในบริษัทต่างให้ความเคารพและเกรงใจฉัน นี่แหละคือชีวิตที่ฉันต้องการ"
เซิ่งอันหรานเข้าใจว่าเธอกำลังรีบที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่ในใจของเธอคงจะรู้สึกเสียใจต่ออาและน้าสะใภ้ไม่น้อย
“ซูเหยียน เธอเคยคิดเรื่องนี้หรือเปล่า น้าสะใภ้และคุณอาต่างปูทางให้เธอเป็นอย่างดี และพวกเขาไม่อยากให้เธอต้องมาทนทุกข์ทรมานแบบนี้ พวกเขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนเธอเป็นลูกสาวแท้ๆของพวกเขา ”
เซิ่งอันหรานเชื่อว่าจุดประสงค์ในการรับเลี้ยงซูเหยียนของคนทั้งสอง ก็เพื่อปฏิบัติต่อเธอเสมือนเป็นลูกสาวแท้ๆของตัวเอง และหวังเพียงแค่ให้ซูเหยียนปฏิบัติต่อพวกเขาเฉกเช่นเดียวกับเป็นพ่อแม่โดยกำเนิดของเธอ แต่น่าเสียดายที่มันกลับกลายเป็นผลเสีย คำพูดประโยคเดียวของน้าสะใภ้ ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะลิขิตว่าไม่ต้องการให้เธอมีบุตรในชาตินี้
ซูเหยียนจับพวงมาลัย ท่าทางของเธอดูซับซ้อน ซูเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“พี่สาว ฉันต่างจากพี่ ฉันรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่า ไม่ว่าจะยังไงฉันก็จะต้องสู้กับมันด้วยตัวเอง ต้องพึ่งสองมือของตัวเองถึงจะสามารถได้ในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไว้ สิ่งที่คนอื่นมอบให้ มันเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง "
“ดังนั้นเธอจึงปฏิบัติต่อครอบครัวน้าสะใภ้เหมือนคนนอก?” เซิ่งอันหรานรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น พี่ก็รู้ว่าฉันถูกรับมาเลี้ยงจนเติบโตมาจนถึงตอนนี้ พี่จะให้ฉันหลอกตัวเองฉันทำไม่ได้ ฉันยังมีคุณย่าที่จะต้องดูแล ฉันไม่สามารถลืมครอบครัวเดิมของฉันไปได้ แต่ฉันสัญญา ว่าฉันจะจดจำน้ำใจของครอบครัวแม่บุญธรรมที่ดีต่อฉันไปตลอดชีวิต ”
เซิ่งอันหรานจ้องที่เธอเป็นเวลานาน ราวกับว่ามีบางอย่างที่จะพูด แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะกลืนมันกลับลงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน