หลังจากรอให้คนออกไปแล้ว หยางเยี่ยนก็ขมวดคิ้วเป็นปม เขามานั่งอยู่ที่โต๊ะ รับชาที่เว่ยเยวียนส่งมา เนิ่นนานก็ไม่ดื่มสักคำ
หนานกงเชี่ยนโหรวกลอกตาแล้วเอ่ยถามแทนเขา “ท่านพ่อบุญธรรม ต้องฆ่าเจ้าเด็กนั่นจริงๆ หรือขอรับ”
หยางเยี่ยนมองไปที่เว่ยเยวียนทันที
“การลงโทษของข้ามีอะไรไม่ถูกเหรอ” เว่ยเยวียนถามกลับ
หนานกงเชี่ยนโหรวและหยางเยี่ยนส่ายหน้าพร้อมกัน คนแรกยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถูกมันก็ถูก เพียงแต่พ่อบุญธรรมทำใจฆ่าเขาลงหรือขอรับ”
เว่ยเยวียนดื่มชา เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นจอมยุทธ์โดยกำเนิด จิตวิญญาณเช่นนั้นหาได้ยากนัก”
หนึ่งดาบสามารถฟันฆ้องเงินระดับหลอมวิญญาณบาดเจ็บหนักได้ เขาเพิ่งก้าวสู่ระดับหลอมปราณได้นานแค่ไหนกัน
รอยยิ้มของเว่ยเยวียนแฝงความชื่นชม ยิ่งกว่านั้นคือพึงพอใจ
…
โถงชุนเฟิง
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวตามหลี่อวี้ชุนกลับมาอย่างทดท้อใจ ตลอดทางพี่ชุนเงียบงันเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้เขารออยู่ชั้นล่าง รอผลการตัดสิน รอจนได้ข่าวว่าอีกเจ็ดวันสวี่ชีอันจะถูกตัดเอว
หลี่อวี้ชุนพาลูกน้องสองคนกลับมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนมีซ่อนไว้แล้วแอบดื่มในหน้าที่”
เสียงของหลี่อวี้ชุนฟังอารมณ์ใดๆ ไม่ออก สงบนิ่งจนน่าตกใจ
ซ่งถิงเฟิงอ้าปาก พูดออกมาเพียงสองคำ “ขอรับ”
หลี่อวี้ชุนเป็นคนประเภทหัวโบราณย้ำคิดย้ำทำ ฆ้องทองคำที่คุ้นเคยกันจะกล่าวว่าเขาช่างยึดติดกับกฎเกณฑ์ ฆ้องทองคำที่ไม่คุ้นเคยกันจะหัวเราะเยาะว่าเขาไม่รู้จักปรับตัว
แต่ไม่ว่าจะคุ้นเคยกันหรือไม่ ก็ไม่มีใครในหน่วยงานดูถูกเขาจริงๆ กลับกัน ทุกคนล้วนชื่นชมเขาอยู่ในใจ แม้ว่าจะไม่พูดออกมาก็ตาม
ความหัวโบราณของหลี่อวี้ชุนปรากฏออกมาในทุกๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น ยามปฏิบัติหน้าที่ห้ามดื่มสุรา
ซ่งถิงเฟิงนำเหล้าที่ตนแอบเอาไว้ในห้องข้างออกมาแล้วหยิบถ้วยกระเบื้องสามชาม หนึ่งในนั้นเดิมเป็นของสวี่ชีอัน
หลี่อวี้ชุนดื่มไม่เร็ว แต่ดื่มติดต่อกันถ้วยแล้วถ้วยเล่า ระหว่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวดื่มเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
เหล้าหนึ่งขวดถูกดื่มจนหมดในเวลาไม่นาน หลี่อวี้ชุนเอ่ยพร้อมความรู้สึกมึนเมา “ข้ารู้ว่าเว่ยกงก็มีความลำบากใจของเขา สวี่ชีอันทำผิดไปจริงๆ หยามเกียรติสตรีบ้านขุนนางต้องโทษแล้วอย่างไร โทษไม่ถึงตายหรอก แต่เจ้างี่เง่านั่นเกือบฟันคนตาย ทั้งคนที่ถูกฟันยังเป็นฆ้องเงินด้วย”
หลี่อวี้ชุนเปิดใจพูดแล้วเอ่ยพล่าม “ข้าคิดว่าข้าโง่เง่าพอแล้วนะ ไม่คิดเลยว่าเจ้านี่ยังโง่เง่ายิ่งกว่าข้าอีก รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรรับเขามา วุ่นวาย เว่ยกงจะทำอะไรได้ แม้ว่าคุณสมบัติของเขา…จะดีอยู่สักหน่อย แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนทั่วทั้งหน่วยงานจับตาดูอยู่ หรือจะให้ลำเอียงอย่างโจ่งแจ้งล่ะ เช่นนั้นศักดิ์ศรีของเว่ยกงเอาไปไว้ที่ไหน การสร้างชื่อเสียงจะต้องสั่งสมนานหลายเดือนหลายปี แต่ตอนถูกทำลายกลับใช้เวลาเพียงครู่เดียว หากลำเอียงเข้าข้างสวี่ชีอัน แล้วต่อไปใครจะเชื่อฟังเว่ยกงอีก ดีล่ะ ตอนนี้คนหนึ่งถูกไล่ออก คนหนึ่งถูกตัดเอว ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม เฮอะๆๆ ในอนาคตอันยาวไกล คนในหน่วยงานก็จะเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ การตายของสวี่ชีอันก็หาใช่ความอยุติธรรม คุ้มค่าแล้ว”
หลี่อวี้ชุนยื่นชามคืนให้ซ่งถิงเฟิงแล้วก่นด่า “ชามชั้นเลวอะไรนี่ ลายครามล้วนแต่ไม่สมมาตร”
ซ่งถิงเฟิงมองอย่างละเอียด ตอนนี้เองจึงพบว่าลายครามของชามที่ตนใช้ดื่มมาครึ่งปีกว่ามันไม่สมมาตรจริงๆ
เมื่อดื่มเสร็จแล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยต่ออีก เขากับจูกว่างเสี้ยวก็กลับไปยังห้องข้างด้วยอารมณ์หดหู่ไม่พูดไม่จา
ภายในโถงชุนเฟิงอันเงียบสงบ หลี่อวี้ชุนนั่งอยู่นานแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เขาเดินไปยังมุมหนึ่ง หยิบไม้ปัดขนไก่ขึ้นมาแล้วปัดเช็ดทุกๆ ที่ที่มีฝุ่นสะสมได้ง่ายภายในห้องโถง
เขาจัดวางหนังสือ แจกันดอกไม้ และโต๊ะเก้าอี้ซ้ำๆ ทำให้พวกมันสมมาตรเป็นระเบียบ
จากนั้น เขาก็ปลดป้ายห้อยเอวและดาบพก แล้วถอดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออก
เครื่องแบบถูกพับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านบนทับด้วยดาบพกและป้ายห้อยเอว จากนั้นหลี่อวี้ชุนก็ถือพวกมันเดินออกจากโถงชุนเฟิง
เขาเดินไปยังหอเฮ่าชี่
ระหว่างทางดึงดูดความสนใจของฆ้องทองแดงได้มากมาย ต่างพากันชี้ไม้ชี้มือมาที่เขาแล้วกระซิบเสียงเบา
ในหมู่คนเหล่านี้ มีคนได้ยินเรื่องที่สวี่ชีอันฟันดาบใส่จูเฉิงจู้แล้ว และมีคนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร ต่างก็มามุงดูอย่างใคร่รู้
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ได้ยินหรือ ฆ้องเงินจูเกือบถูกฆ้องทองแดงคนหนึ่งฟันเข้าให้แล้ว คนที่ฟันเขาก็คือสวี่ชีอัน ลูกน้องของฆ้องเงินหลี่”
“แล้วฆ้องเงินหลี่คิดจะทำอะไร”
“ไม่รู้ ตามไปดูเถอะ”
สามถึงห้าคน เจ็ดถึงแปดคน…หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ตามอยู่ข้างหลังหลี่อวี้ชุนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นแล้วรวมกันกลายเป็นฝูงชนจำนวนมาก
ตลอดทางเดินมายังหอเฮ่าชี่
หลี่อวี้ชุนหยุดฝีเท้าอยู่ชั้นล่างท่ามกลางสายตาตื่นตัวระแวดระวังของทหารยาม สองมือของเขาถือเครื่องแบบ ป้ายห้อยเอว ดาบพก ไม่สนใจผู้ติดตามอยู่ข้างหลังเขา
“ผู้น้อยหลี่อวี้ชุน รับหน้าที่ในหน่วยงานราชการปีหยวนจิ่งที่ 20 ปฏิบัติตามหน้าที่และรับผิดชอบงานอย่างเต็มที่เสมอมา กำจัดขุนนางทุจริตและเจ้าหน้าที่สกปรกเป็นความเชื่อ รับใช้ประเทศเป็นเป้าหมาย” เสียงของหลี่อวี้ชุนดังกังวาน
“สิบหกปีที่ผ่านมาสุขุมรอบคอบเสมอ ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ทำผิดกฎหมาย ไม่เคยรับสินบน ไม่เคยข่มเหงคนดี เดิมคิดว่าเลือดอันเร่าร้อนเช่นนี้จะแลกมาซึ่งฟ้าใสแผ่นดินสะอาดได้ แน่นอนว่าสิบหกปีที่ผ่านมา ได้เห็นกับตาว่ามีสหายร่วมงานหลายคนข่มเหงชาวบ้าน รีดทรัพย์พ่อค้า การค้นบ้านยึดทรัพย์ทุกครั้งจะต้องมีการทุจริตเงินทองและทรัพย์สิน ล่วงประเวณีสตรีบ้านขุนนางต้องโทษ หากเรื่องเช่นนี้ยังกระทำได้ก็ไม่มีอะไรทำไม่ได้อีกแล้ว หัวใจจึงไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้แล้ว ตนไม่เที่ยงตรงแล้วจะตัดสินผู้อื่นได้อย่างไร วันนี้หลี่อวี้ชุนอดกลั้นไม่ไหว ดังนั้นจึงขอลาออกและจบหน้าที่ข้าเสีย”
เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ เขาก็โยนเครื่องแบบ ดาบพก และป้ายห้อยเอวไปบนพื้นราวกับเป็นรองเท้าท่ามกลางสายตาตกตะลึงอ้าปากค้างของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรอบๆ
หลี่อวี้ชุนผู้ตบหน้าเว่ยเยวียนท่ามกลางสายตาของทุกคนที่หอเฮ่าชี่หันกายจากไป หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหลายสิบคนไม่มีใครขัดขวาง ไม่มีใครส่งเสียง
“คือ…พวกเราต้องขวางเขาหรือไม่” มีคนเอ่ยถามเสียงเบา
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรอบๆ จ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น
…
สวี่ชีอันผู้สวมชุดนักโทษนั่งอยู่ในคุกของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล หลังพิงกำแพง สูดดมกลิ่นอับชื้นเหม็นหืนที่มีเฉพาะในคุก
“โดนจับรอบที่สามแล้ว ชาติก่อนเป็นตำรวจ ชาตินี้กลายเป็นแขกประจำห้องขัง” สวี่ชีอันหัวเราะประชดตัวเอง ทอดถอนใจในชะตาชีวิตอันไม่เที่ยง
ในห้องขังเงียบสนิทไม่มีเสียง บางครั้งก็มีเสียงด่าพ่อล่อแม่จากนักโทษห้องข้างๆ แต่โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะอยู่เงียบๆ
นักโทษที่ส่งมาขังที่นี่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักโทษประหาร หมดกำลังใจสิ้นหวังไปแล้ว ตอนแรกๆ ยังมีเสียงร้องหาความเป็นธรรมและเสียงก่นด่าอยู่ แต่หลังจากถูกผู้คุมเฝ้าคุกพาออกไปสนทนาอย่างเป็นมิตรก็เข้าใจวิธีการปฏิบัติตนแล้ว
และเข้าใจหลักการที่ว่าควรเงียบสงบเมื่ออยู่ในที่สาธารณะด้วย
ไม่มีใครอยากถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมก่อนตายหรอก
สวี่ชีอันหลับตาลง ครุ่นคิดว่าตนยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่หรือไม่
“เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักศึกษาอวิ๋นลู่อาจออกมาโวยวาย แต่พวกเขาเป็นคนตัวเปล่าไร้ตำแหน่ง ใช้เส้นขุนนางไม่ได้ และใช้หลักวัตถุเคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล”
“โหรของสำนักโหราจารย์จะต้องพยายามช่วยข้าแน่ ทว่านอกเสียจากท่านโหราจารย์จะออกหน้า ไม่อย่างนั้นก็ช่วยข้าไม่ได้หรอก และการจะให้ท่านโหราจารย์ออกหน้า สถานะของข้าก็ยังไม่พอ…สวี่ชีอันนะสวี่ชีอัน เจ้าได้ลิ้มรสความอบอุ่นของฝูเซียงก็เลยลืมเลือนความเยือกเย็นของสังคมไปแล้วหรือ ผ่านไปสองเดือนแล้วก็ยังล่อลวงฉู่ไฉ่เวยขึ้นเตียงไม่ได้ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ถูกริบไปแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าสามารถลองขอให้หมายเลขหนึ่งช่วยเหลือได้ ไม่รู้ว่าสถานะของเขา (นาง) จะเพียงพอหรือไม่…”
คิดไปคิดมาเขาก็หลับไป เมื่อตื่นขึ้นห้องขังก็ยังเงียบงันไร้เสียง นอกหน้าต่างเล็กๆ เห็นเป็นค่ำคืนมืดมิดลุ่มลึก
การนอนหลับเป็นการชดเชยพลังกายที่ขาดหายตอนเขาใช้ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ สิ่งแลกมาด้วยความหิวไส้กิ่ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง