ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 106

จักรพรรดิหยวนจิ่งสะดุ้งตื่นกลางนิทรา ตำหนักใหญ่กว้างขวางเงียบงันไร้เสียง ขันทีใหญ่นอนพาดครึ่งตัวอยู่บนโต๊ะเล็ก

ในตำหนักบรรทมไม่มีนางสนมคอยปรนนิบัติ และไม่มีนางข้าหลวงเช่นกัน จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงงดเว้นเพื่อฝึกเต๋ามายี่สิบกว่าปีแล้ว ตำหนักบรรทมขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จึงกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับเหล่าสนมในวัง

ส่วนเรื่องการฝึกเต๋าของจักรพรรดิหยวนจิ่งนั้น สามารถสรุปความรู้สึกของเหล่าพระสนมได้ในประโยคเดียวว่า

‘บัณฑิตแขวนตะเกียงร่ำเรียนคร่ำเคร่ง…เดี๋ยวก็ตับแตก[1]จนได้’

ย่อมเป็นเสียงพร่ำบ่นร้องทุกข์ เพียงแต่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่เคยสนใจความเห็นของเหล่านางสนมกำนัล ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิผู้มีทายาทมากมายหลายคน สนมกำนัลนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ตั้งนานแล้ว

ถ้าเขาฝึกเต๋าสักยี่สิบปีก่อน จะต้องถูกพวกขุนนางใหญ่ตักเตือนจนตายแล้วแน่ๆ

ไฝ่าบาททรงตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีใหญ่หลับไม่ลึก เขาตื่นขึ้นทันทีแล้วรีบเข้ามาอยู่ข้างเตียงมังกร

“นี่ชั่วยามใดแล้ว” จักรพรรดิหยวนจิ่งบีบนวดหว่างคิ้ว

“ยามอิ๋น หนึ่งเค่อพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีใหญ่กล่าวพร้อมหันหลังยกปั้นชาที่วางอยู่บนเตาเล็ก แล้วรินชาอุ่นแก้วหนึ่งให้กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง

เขาปรนนิบัติองค์จักรพรรดิมานานหลายปีขนาดนี้ เรื่องเล็กน้อยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม

จักรพรรดิหยวนจิ่งดื่มชาแล้วพ่นลมหายใจช้าๆ “หลังจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ เคลื่อนขบวนไปอารามรัตนะ ข้าจะฝึกเต๋าให้ใจสงบกับท่านราชครู”

สองนายบ่าวเพิ่งจะเดินออกจากตำหนักพระบรรทม ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ดังแผ่ไปทั่วทุกมุมในเขตพระราชฐาน

พระราชวังตกอยู่สภาวะพร้อมรบ

จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว มองเห็นทหารรักษาวังกองหนึ่งวิ่งห้อเข้ามา สีหน้าตื่นตกใจ

ทหารรักษาวังผู้เป็นหัวหน้ากล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท ซังผอระเบิดขึ้น วัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย ทหารรักษาวังสามร้อยนายที่ประจำอยู่เสียชีวิต ไม่มีใครรอดกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่

ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็กล่าวเสียงขรึม “แจ้งเว่ยเยวียนให้รีบพาคนเข้ามาในวังทันที แจ้งท่านราชครูให้มาพบข้าที่นี่ แจ้งท่านโหราจารย์…ว่าวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลายแล้ว”

คืนนี้ โหรของสำนักโหราจารย์สะดุ้งตื่นขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ตื่นตระหนกราวกับเป็นวันสิ้นโลก

ผู้ที่เร่งมาถึงก่อนก็คือราชครูหญิง นางเหยียบกระบี่เจ็ดดาราเคลื่อนผ่านฟ้าเข้ามา

ศีรษะสวมมงกุฎดอกบัว กายสวมชุดคลุมไท่จี๋เต๋า แขนเสื้อกว้างพลิ้วไสว กลิ่นอายเซียนเหนือฝุ่นธุลีพุ่งจากข้างหน้า

นางเป็นสตรีที่ดูอายุไม่ออกคนหนึ่ง ใบหน้างามเลิศล้ำ บุคลิกเหนือฝุ่นละออง ทั้งมีผิวอ่อนนุ่มแบบหญิงสาวแรกรุ่น และมีจริตงดงามแบบสตรีวัยผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีความทรงสง่าแบบผู้หลุดพ้นจากโลกแห่งฝุ่นธุลีแดง

ความงามของนางราวกับภูเขาหนักนับพัน หิมะหนักนับหมื่น มองได้แต่ไม่อาจเอื้อม

“ท่านราชครู…” จักรพรรดิหยวนจิ่งอ้าปากถอนหายใจ “ของที่อยู่ใต้ทะเลสาบซังผอออกมาแล้ว”

ราชครูหญิงพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงลอยล่องแจ่มชัด “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”

เว่ยเยวียนมาถึงต่อจากนั้น เขาพาฆ้องทองคำสองคนที่ประจำอยู่ในหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลมา รวมถึงลูกบุญธรรมทั้งสอง ทั้งหมดเป็นทหารระดับสูงสี่คน

บวกกับยอดฝีมือภายในวัง ทหารผู้มีพลังต่อสู้เทียมฟ้ากลุ่มหนึ่งและผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ก็ตามเสด็จจักรพรรดิหยวนจิ่งไปยังซังผอ

ชายฝั่งทะเลสาบซังผอมีทหารรักษาวังพันกว่าคนรวมตัวอยู่ ที่มือถือคบเพลิง ทหารระดับสูงผู้รับใช้กองทัพต่างรอคอยจักรพรรดิหยวนจิ่งอยู่

วัดหย่งเจิ้นซานเหอไม่มีแล้ว แท่นสูงพังลงมาครึ่งหนึ่ง ผิวน้ำมีคานไม้หักๆ ลอยอยู่

เมื่อมองเห็นภาพนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็คิ้วกระตุกหนัก เขาตะโกนลั่น “กระบี่เทพล่ะ”

หัวหน้าทหารรักษาวังคนหนึ่งประสานมือกล่าว “ส่งคนไปงมหาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งสูดหายใจลึก เดินมาอยู่ข้างชายฝั่ง ยื่นมือออกแล้วงอนิ้วทั้งห้า

แสงสีเหลืองใสกระจ่างเส้นหนึ่งส่องสว่างขึ้นมาจากใต้น้ำ กระบี่ทองแดงยาวสามฉื่อด้ามหนึ่งทะลุผิวน้ำขึ้นมา แล้วลอยเข้าสู่มือของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้แน่ใจแล้วว่ากระบี่เทพไม่เสียหายก็โล่งอก

ราชครูผู้งดงามเท้าเหยียบกระบี่เจ็ดดาราลอยอยู่เหนือฝุ่นละอองบินวนเหนือทะเลสาบซังผอหนึ่งรอบ นางตัวแข็งอยู่กลางอากาศแล้วเอ่ยว่า

“ฝ่าบาท ซังผอผิดปกติเพคะ”

ผิดปกติ…ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งมืดครึ้มไปมาก

เว่ยเยวียนหันหน้าไปถามเหล่าแม่ทัพของทหารรักษาวัง “ศพของทหารที่ตายอยู่ที่ใด”

ศพสิบกว่าร่างถูกยกเข้ามา ล้วนตายในสภาพเดียวกัน เลือดเนื้อแห้งเหี่ยว เหมือนกับศพแห้งที่ผุกร่อนมาหลายสิบปี

“สภาพของทหารที่เหลือก็เหมือนกับพวกเขาขอรับ” แม่ทัพคนหนึ่งรายงานจบแล้วเหลือบมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท…พวกกระหม่อมไม่เห็นว่ามีศัตรูแกร่งคนใดบุกเข้ามาเลยพ่ะย่ะค่ะ…”

เหล่าแม่ทัพทหารรักษาวังล้วนกระจ่างแจ้งในใจดี สาเหตุที่แท้จริงของความแปลกประหลาดนี้อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องในงานพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษวันก่อน

พวกเขายังมีการคาดเดาที่น่าอกสั่นขวัญหายยิ่งกว่าก็คือ สาเหตุที่ซังผอระเบิดและสาเหตุที่ทหารลาดตระเวนเสียชีวิตกะทันหันนี้ เกรงว่าจะไม่ได้มีศัตรูแกร่งที่ไหนบุก แต่เป็นเพราะในทะเลสาบซังผอแอบซ่อนความลับอะไรเอาไว้ต่างหาก

แม้ว่าในใจของเหล่าแม่ทัพนายพลจะมีการคาดเดานี้อยู่ แต่ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ รู้ดีว่าคำไหนควรพูด คำไหนไม่ควรพูด

สายตาจักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดมองศพอย่างเฉียบคม แล้วหันไปมองหน้าของเว่ยเยวียน “เว่ยเยวียน ตามข้ามาที่ห้องทรงพระอักษร”

ผ้าม่านห้อยลงต่ำ ในตำหนักบรรทมเผาธูปไม้จันทน์

องค์หญิงใหญ่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงระฆัง พริบตาที่ลืมตาตื่นกลับไม่ได้รีบร้อนสวมเสื้อผ้า แต่ชักกระบี่ยาวที่แขวนอยู่ที่หัวเตียงออกมา ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง นางที่สวมเพียงชุดตัวในสีขาวจนเผยเค้าโครงเรือนร่างงามประณีตนูนเด่นก็พุ่งไปในห้องโถง

คนงามเย็นชาร่างสูงโปร่งถือกระบี่ยาวส่องประกายเย็นวาบด้ามหนึ่ง ผมเส้นไหมสีครามแผ่กระจายราวกับน้ำตก ดูระเกะระกะเกียจคร้านเล็กน้อย

ชุดชั้นในรัดรูปสีขาวทำให้เห็นเรือนกายที่มีสัดส่วนดีเยี่ยม ไม่ใช่หญิงสาวประเภทบอบบางจนลมพัดปลิว ทั่วร่างเผยให้เห็นความเซ็กซี่ของสาวสวยในฟิตเนส ถ้าสวี่ชีอันอยู่ที่นี่จะต้องถอนหายใจออกมาว่า ‘ผู้หญิงคนนี้คู่แท้ของข้าเลย’

“ฝ่าบาท…”

สาวใช้ที่ห้องข้างก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน นางตะลีตะลานวิ่งเข้ามาแล้วคว้าชุดสตรีฝ่ายในขององค์หญิงใหญ่

“เปลี่ยนเป็นชุดจิ้นจวง” พระขนงงามล้ำขององค์หญิงใหญ่เผยความน่าเกรงขามออกมา

เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดจิ้นจวงที่สะดวกและเผยรูปร่างชัดเจนยิ่งกว่า เอวด้านซ้ายมีหน้าไม้ทหาร เอวด้านขวามีปืนไฟกระบอกหนึ่ง มือถือกระบี่ยาว จากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็นำทหารรักษาพระองค์เร่งไปยังตำหนักบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง