ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 106

จักรพรรดิหยวนจิ่งสะดุ้งตื่นกลางนิทรา ตำหนักใหญ่กว้างขวางเงียบงันไร้เสียง ขันทีใหญ่นอนพาดครึ่งตัวอยู่บนโต๊ะเล็ก

ในตำหนักบรรทมไม่มีนางสนมคอยปรนนิบัติ และไม่มีนางข้าหลวงเช่นกัน จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงงดเว้นเพื่อฝึกเต๋ามายี่สิบกว่าปีแล้ว ตำหนักบรรทมขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จึงกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับเหล่าสนมในวัง

ส่วนเรื่องการฝึกเต๋าของจักรพรรดิหยวนจิ่งนั้น สามารถสรุปความรู้สึกของเหล่าพระสนมได้ในประโยคเดียวว่า

‘บัณฑิตแขวนตะเกียงร่ำเรียนคร่ำเคร่ง…เดี๋ยวก็ตับแตก[1]จนได้’

ย่อมเป็นเสียงพร่ำบ่นร้องทุกข์ เพียงแต่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่เคยสนใจความเห็นของเหล่านางสนมกำนัล ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิผู้มีทายาทมากมายหลายคน สนมกำนัลนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ตั้งนานแล้ว

ถ้าเขาฝึกเต๋าสักยี่สิบปีก่อน จะต้องถูกพวกขุนนางใหญ่ตักเตือนจนตายแล้วแน่ๆ

ไฝ่าบาททรงตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีใหญ่หลับไม่ลึก เขาตื่นขึ้นทันทีแล้วรีบเข้ามาอยู่ข้างเตียงมังกร

“นี่ชั่วยามใดแล้ว” จักรพรรดิหยวนจิ่งบีบนวดหว่างคิ้ว

“ยามอิ๋น หนึ่งเค่อพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีใหญ่กล่าวพร้อมหันหลังยกปั้นชาที่วางอยู่บนเตาเล็ก แล้วรินชาอุ่นแก้วหนึ่งให้กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง

เขาปรนนิบัติองค์จักรพรรดิมานานหลายปีขนาดนี้ เรื่องเล็กน้อยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม

จักรพรรดิหยวนจิ่งดื่มชาแล้วพ่นลมหายใจช้าๆ “หลังจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ เคลื่อนขบวนไปอารามรัตนะ ข้าจะฝึกเต๋าให้ใจสงบกับท่านราชครู”

สองนายบ่าวเพิ่งจะเดินออกจากตำหนักพระบรรทม ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ดังแผ่ไปทั่วทุกมุมในเขตพระราชฐาน

พระราชวังตกอยู่สภาวะพร้อมรบ

จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว มองเห็นทหารรักษาวังกองหนึ่งวิ่งห้อเข้ามา สีหน้าตื่นตกใจ

ทหารรักษาวังผู้เป็นหัวหน้ากล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท ซังผอระเบิดขึ้น วัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย ทหารรักษาวังสามร้อยนายที่ประจำอยู่เสียชีวิต ไม่มีใครรอดกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่

ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็กล่าวเสียงขรึม “แจ้งเว่ยเยวียนให้รีบพาคนเข้ามาในวังทันที แจ้งท่านราชครูให้มาพบข้าที่นี่ แจ้งท่านโหราจารย์…ว่าวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลายแล้ว”

คืนนี้ โหรของสำนักโหราจารย์สะดุ้งตื่นขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ตื่นตระหนกราวกับเป็นวันสิ้นโลก

ผู้ที่เร่งมาถึงก่อนก็คือราชครูหญิง นางเหยียบกระบี่เจ็ดดาราเคลื่อนผ่านฟ้าเข้ามา

ศีรษะสวมมงกุฎดอกบัว กายสวมชุดคลุมไท่จี๋เต๋า แขนเสื้อกว้างพลิ้วไสว กลิ่นอายเซียนเหนือฝุ่นธุลีพุ่งจากข้างหน้า

นางเป็นสตรีที่ดูอายุไม่ออกคนหนึ่ง ใบหน้างามเลิศล้ำ บุคลิกเหนือฝุ่นละออง ทั้งมีผิวอ่อนนุ่มแบบหญิงสาวแรกรุ่น และมีจริตงดงามแบบสตรีวัยผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีความทรงสง่าแบบผู้หลุดพ้นจากโลกแห่งฝุ่นธุลีแดง

ความงามของนางราวกับภูเขาหนักนับพัน หิมะหนักนับหมื่น มองได้แต่ไม่อาจเอื้อม

“ท่านราชครู…” จักรพรรดิหยวนจิ่งอ้าปากถอนหายใจ “ของที่อยู่ใต้ทะเลสาบซังผอออกมาแล้ว”

ราชครูหญิงพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงลอยล่องแจ่มชัด “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”

เว่ยเยวียนมาถึงต่อจากนั้น เขาพาฆ้องทองคำสองคนที่ประจำอยู่ในหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลมา รวมถึงลูกบุญธรรมทั้งสอง ทั้งหมดเป็นทหารระดับสูงสี่คน

บวกกับยอดฝีมือภายในวัง ทหารผู้มีพลังต่อสู้เทียมฟ้ากลุ่มหนึ่งและผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ก็ตามเสด็จจักรพรรดิหยวนจิ่งไปยังซังผอ

ชายฝั่งทะเลสาบซังผอมีทหารรักษาวังพันกว่าคนรวมตัวอยู่ ที่มือถือคบเพลิง ทหารระดับสูงผู้รับใช้กองทัพต่างรอคอยจักรพรรดิหยวนจิ่งอยู่

วัดหย่งเจิ้นซานเหอไม่มีแล้ว แท่นสูงพังลงมาครึ่งหนึ่ง ผิวน้ำมีคานไม้หักๆ ลอยอยู่

เมื่อมองเห็นภาพนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็คิ้วกระตุกหนัก เขาตะโกนลั่น “กระบี่เทพล่ะ”

หัวหน้าทหารรักษาวังคนหนึ่งประสานมือกล่าว “ส่งคนไปงมหาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งสูดหายใจลึก เดินมาอยู่ข้างชายฝั่ง ยื่นมือออกแล้วงอนิ้วทั้งห้า

แสงสีเหลืองใสกระจ่างเส้นหนึ่งส่องสว่างขึ้นมาจากใต้น้ำ กระบี่ทองแดงยาวสามฉื่อด้ามหนึ่งทะลุผิวน้ำขึ้นมา แล้วลอยเข้าสู่มือของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้แน่ใจแล้วว่ากระบี่เทพไม่เสียหายก็โล่งอก

ราชครูผู้งดงามเท้าเหยียบกระบี่เจ็ดดาราลอยอยู่เหนือฝุ่นละอองบินวนเหนือทะเลสาบซังผอหนึ่งรอบ นางตัวแข็งอยู่กลางอากาศแล้วเอ่ยว่า

“ฝ่าบาท ซังผอผิดปกติเพคะ”

ผิดปกติ…ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งมืดครึ้มไปมาก

เว่ยเยวียนหันหน้าไปถามเหล่าแม่ทัพของทหารรักษาวัง “ศพของทหารที่ตายอยู่ที่ใด”

ศพสิบกว่าร่างถูกยกเข้ามา ล้วนตายในสภาพเดียวกัน เลือดเนื้อแห้งเหี่ยว เหมือนกับศพแห้งที่ผุกร่อนมาหลายสิบปี

“สภาพของทหารที่เหลือก็เหมือนกับพวกเขาขอรับ” แม่ทัพคนหนึ่งรายงานจบแล้วเหลือบมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท…พวกกระหม่อมไม่เห็นว่ามีศัตรูแกร่งคนใดบุกเข้ามาเลยพ่ะย่ะค่ะ…”

เหล่าแม่ทัพทหารรักษาวังล้วนกระจ่างแจ้งในใจดี สาเหตุที่แท้จริงของความแปลกประหลาดนี้อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องในงานพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษวันก่อน

พวกเขายังมีการคาดเดาที่น่าอกสั่นขวัญหายยิ่งกว่าก็คือ สาเหตุที่ซังผอระเบิดและสาเหตุที่ทหารลาดตระเวนเสียชีวิตกะทันหันนี้ เกรงว่าจะไม่ได้มีศัตรูแกร่งที่ไหนบุก แต่เป็นเพราะในทะเลสาบซังผอแอบซ่อนความลับอะไรเอาไว้ต่างหาก

แม้ว่าในใจของเหล่าแม่ทัพนายพลจะมีการคาดเดานี้อยู่ แต่ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ รู้ดีว่าคำไหนควรพูด คำไหนไม่ควรพูด

สายตาจักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดมองศพอย่างเฉียบคม แล้วหันไปมองหน้าของเว่ยเยวียน “เว่ยเยวียน ตามข้ามาที่ห้องทรงพระอักษร”

ผ้าม่านห้อยลงต่ำ ในตำหนักบรรทมเผาธูปไม้จันทน์

องค์หญิงใหญ่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงระฆัง พริบตาที่ลืมตาตื่นกลับไม่ได้รีบร้อนสวมเสื้อผ้า แต่ชักกระบี่ยาวที่แขวนอยู่ที่หัวเตียงออกมา ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง นางที่สวมเพียงชุดตัวในสีขาวจนเผยเค้าโครงเรือนร่างงามประณีตนูนเด่นก็พุ่งไปในห้องโถง

คนงามเย็นชาร่างสูงโปร่งถือกระบี่ยาวส่องประกายเย็นวาบด้ามหนึ่ง ผมเส้นไหมสีครามแผ่กระจายราวกับน้ำตก ดูระเกะระกะเกียจคร้านเล็กน้อย

ชุดชั้นในรัดรูปสีขาวทำให้เห็นเรือนกายที่มีสัดส่วนดีเยี่ยม ไม่ใช่หญิงสาวประเภทบอบบางจนลมพัดปลิว ทั่วร่างเผยให้เห็นความเซ็กซี่ของสาวสวยในฟิตเนส ถ้าสวี่ชีอันอยู่ที่นี่จะต้องถอนหายใจออกมาว่า ‘ผู้หญิงคนนี้คู่แท้ของข้าเลย’

“ฝ่าบาท…”

สาวใช้ที่ห้องข้างก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน นางตะลีตะลานวิ่งเข้ามาแล้วคว้าชุดสตรีฝ่ายในขององค์หญิงใหญ่

“เปลี่ยนเป็นชุดจิ้นจวง” พระขนงงามล้ำขององค์หญิงใหญ่เผยความน่าเกรงขามออกมา

เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดจิ้นจวงที่สะดวกและเผยรูปร่างชัดเจนยิ่งกว่า เอวด้านซ้ายมีหน้าไม้ทหาร เอวด้านขวามีปืนไฟกระบอกหนึ่ง มือถือกระบี่ยาว จากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็นำทหารรักษาพระองค์เร่งไปยังตำหนักบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างรวดเร็ว

องค์หญิงใหญ่ถูกทหารรักษาวังผู้คุ้มกันตำหนักบรรทมขององค์จักรพรรดิขวางเอาไว้ ยิ่งเป็นช่วงเวลาเช่นนี้ องค์ชายองค์หญิงก็ยิ่งไม่อาจเข้าใกล้จักรพรรดิได้

ใครจะรู้ล่ะว่าเป็นองค์ชายคนใดกำลังวางแผนยึดวังหรือไม่

องค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้แข็งขืน สายตากวาดมองเหล่าทหารรักษาวัง มองเห็นเงาร่างคุ้นเคยอยู่สองสามร่าง เป็นคนของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับทหารระดับสูงในทัพต่างๆ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่…ถ้าหากไม่ได้มีศัตรูแข็งแกร่งมาก่อเหตุ ทหารรักษาวังในวังก็ไม่มีทางตีระฆังแจ้งเตือนหรอก…แต่ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งจากอาณาจักรศัตรูบุกเข้ามา ก็เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เงียบสงบเกินไปแล้ว อีกอย่าง คนจากสำนักโหราจารย์ก็ยังไม่มา…

องค์หญิงใหญ่กำกระบี่ ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ

ตอนนี้เอง องค์รัชทายาทตำหนักบูรพาและองค์ชายองค์หญิงอีกหลายคนก็พาคนรีบเร่งเข้ามา

“ฮว๋ายชิ่ง!” องค์รัชทายาทสวมชุดทหาร สีหน้าเคร่งเครียด

“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่รู้แน่ชัด” องค์หญิงใหญ่เอ่ยด้วยคำพูดกระชับครอบคลุม

องค์หญิงรองผู้มีนัยน์ตาดอกท้อพระขนงโก่งเห็นองค์หญิงใหญ่สวมชุดจิ้นจวงทั้งตัว ความเย็นชาที่หว่างคิ้วลดลง ความดุดันเพิ่มขึ้น เหมือนกับว่าหากพูดไม่เข้าหูก็จะลงมือตีคนอย่างไรอย่างนั้น นางจึงเผยอปากสีอิงเถา[2]น้อยๆ สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ

วันนี้เกิดเรื่องใหญ่ ขี้เกียจจะปะทะฝีปากของฮว๋ายชิ่งแล้ว

ผ่านไปหนึ่งเค่อ ประตูห้องทรงพระอักษรก็เปิดออก ขุนนางในชุดครามเดินออกมา

“เว่ยกง…” ความสัมพันธ์ขององค์หญิงใหญ่และเว่ยเยวียนสนิทสนมที่สุด พอจะนับได้ว่าเป็นกึ่งลูกศิษย์ของเว่ยเยวียน

เว่ยเยวียนถอนหายใจ ไวัดหย่งเจิ้นซานเหอพังทลายลง เป็นฝีมือของหัวขโมย แต่ไร้ร่องรอยไปนานแล้ว”

เหล่าองค์ชายองค์หญิงตกตะลึงขึ้นมา องค์รัชทายาทตำหนักบูรพาหรี่ตาลง สะกดอารมณ์ภายในใจไว้แล้วก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว “เกี่ยวข้องกับพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษวันนั้นหรือไม่”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า เหลือบมององค์หญิงใหญ่ “ฝ่าบาทสั่งให้กระหม่อมสืบหาความจริงออกมาภายในครึ่งเดือนแล้วจับคนร้ายให้ได้ กระหม่อมกล่าวกับฝ่าบาทตามตรง คดีนี้จัดการได้ไม่ง่ายเลย…”

เขาส่ายหน้า เดินจากไป

ดวงตาขององค์หญิงใหญ่เป็นประกาย

ประตูห้องทรงพระอักษรเปิดออกอีกครั้ง ขันทีใหญ่สวมหมวกอูซา[3]สูงและชุดคลุมหมางเผา[4]สีอูฐก็เดินออกมา

“ฝ่าบาท ฮ่องเต้ทรงรับสั่งเชิญพ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทตำหนักบูรพาเดินนำองค์ชายองค์หญิงที่รีบมาดูสถานการณ์ทั้งหมดแปดพระองค์เข้าไปในห้องทรงพระอักษรด้วยกัน

โต๊ะหนังสือที่องค์จักรพรรดิทรงใช้ตั้งอยู่ที่โถงหน้าว่างเปล่าไร้ผู้คน ขันทีใหญ่นำพวกเขาเข้าไปในโถงด้านใน เห็นเพียงผ้าม่านห้อยลงมา จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งสมาธิอยู่ ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาก็คือราชครูหญิงดวงหน้างดงามโดดเด่น

ทั้งคู่ห่างกันไม่ใกล้ไม่ไกล รักษาระยะห่างตามหลักการของสหายเต๋า

หลายปีมานี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งฝึกบำเพ็ญเต๋าตามราชครูหญิงผู้นี้ ได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ตอนนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งเบื่อหน่วยงานราชการ ผมหงอกขาวก่อนวัยอันควร เพิ่งวัยสามสิบต้นๆ แต่จอนผมเป็นสีขาวยวงแล้ว

เมื่อฝึกบำเพ็ญเต๋ากับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ผู้นี้ได้ยี่สิบปี ทั้งศีรษะกลับเป็นผมดำ เลือดลมและร่างกายดีขึ้นอย่างยิ่ง

รัชทายาทแทบจะอดใจพาคนถ่อยมาสาปแช่งนางแบบส่วนตัวไม่ได้

ความรู้สึกขององค์ชายองค์อื่นๆ ที่มีต่อนักพรตหญิงผู้นี้ ครึ่งหนึ่งคือชื่นชมอยากได้ ครึ่งหนึ่งคือเกรงกลัวและเกลียดชัง

“ท่านราชครู ข้ายังรู้สึกไม่สบายใจ” จักรพรรดิหยวนจิ่งหลุดออกจากการทำสมาธิ ลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจกล่าว

“ฝ่าบาทเป็นโรคใจ ต้องใช้ยารักษาโรคใจเพคะ” ราชครูหญิงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงมีความไพเราะและให้ความรู้สึกแบบสตรีวัยผู้ใหญ่

“ข้ามีโรคทางใจจริงๆ นั่นแหละ…” จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องมองใบหน้างามล้ำของนักพรตหญิงเอ่ยกล่าวยิ้มๆ “ข้ารอให้ราชครูบำเพ็ญคู่กับข้ามาโดยตลอด”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเหล่าองค์ชายองค์หญิงก็ประหลาดใจไปชั่วขณะ

มีเพียงองค์หญิงใหญ่และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ความคิดในใจล้ำลึกยิ่งนัก

สิบปีก่อน จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เคยเสนอเรื่องบำเพ็ญคู่กับราชครูมาแล้ว ราชครูไม่ได้ตอบรับ จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงจึงออกพระราชโองการ ต้องการแต่งตั้งนางเป็นพระสนมเซียน

ราชครูก็ยังไม่ตอบรับ จักรพรรดิหยวนจิ่งยังต้องอาศัยคนเขาเพื่อบำเพ็ญตนเป็นเซียน จึงทำได้เพียงยอมแพ้

คนนอกเพียงคิดว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นที่ละโมบอยากได้ราชครู บางทีอาจจะมีเหตุผลเรื่องนี้อยู่จริงๆ แต่ไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างแน่นอน เหล่าองค์ชายองค์หญิงเข้าใจนิสัยของเสด็จพ่อของตนดีที่สุด

วังหลังมีสาวงามสามพันคน ผู้หญิงแบบไหนที่เขาไม่มีบ้างล่ะ

พระชายาที่ถูกขนานนามว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงผู้นั้น ปีนั้นก็เป็นสนมในวัง แต่ตอนนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงงดเว้นเพื่อฝึกบำเพ็ญเต๋าแล้ว และฝืนไม่แตะต้องแม้แต่ปลายนิ้วมือของนาง

สิ่งที่เสด็จพ่อใฝ่ฝันหาก็คืออายุยืนยาว

เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่สน เขาเลิกผ้าม่านขึ้น เดินนำลูกๆ ทั้งคณะมายังโถงด้านหน้า เขานั่งอยู่บนโต๊ะสูง กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”

ในฐานะที่องค์รัชทายาทเป็นบุตรชายคนโต ผู้นำของเหล่าองค์ชายองค์หญิง เขาเข้ามาคำนับแล้วกล่าว “เสด็จพ่อ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความแปลกประหลาดในพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วมุ่น ไม่อยากอธิบาย

องค์รัชทายาทลอบส่งสายตาให้องค์หญิงรอง องค์หญิงหลินอันผู้สวมชุดฝ่ายในหรูหรางดงามและมีรูปลักษณ์เปี่ยมเสน่ห์ก็แย้มยิ้ม รับแก้วชามาจากมือจากขันทีใหญ่แล้วค้อมเอวเดินมาอยู่ข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่ง กล่าวอย่างออดอ้อนว่า

“เสด็จพ่อ ซังผอคือสถานที่ต้องห้ามซึ่งเป็นของราชวงศ์ ขโมยที่ไหนจะลอบเข้าไปในซังผอได้เล่าเพคะ ทั้งยังทำลายวัดของจักรพรรดิบรรพบุรุษอีก เช่นนั้นจะลอบเข้ามาในตำหนักของหลินอันได้หรือไม่เพคะ”

ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์งามแฉล้มขมวดคิ้วแน่น ท่าทางหวาดกลัวน่าสงสาร

องค์หญิงรองเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด เพราะสามารถทำตัวออดอ้อนได้ รู้วิธีทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งรักใคร่

จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นคนแข็งกร้าว ชอบการควบคุม เขาจะชอบองค์หญิงใหญ่ผู้เป็นอัจฉริยะมากสามารถแต่นิสัยโอหังเอาแต่ใจหรือไม่ไม่รู้ แต่จะต้องชอบคนอ่อนแอไร้พิษภัย อาศัยพึ่งพาตน และทำตัวออดอ้อนได้เช่นองค์หญิงรองอย่างแน่นอน

องค์จักรพรรดิผู้มีศีรษะสีดำราวกับอยู่ในวัยฉกรรจ์ตบมืออ่อนนุ่มขององค์หญิงรองแล้วเอ่ยปลอบ “ไร้สาระ พระราชวังเป็นสถานที่ต้องห้าม ใช่ที่ที่ขโมยที่ไหนบอกว่าจะมาก็มาจะไปก็ไปหรือไง”

รัชทายาทเปิดเรื่อง องค์หญิงรองช่วยโจมตี องค์หญิงใหญ่ก้าวออกมาแล้วกล่าวพร้อมคำนับ “เมื่อครู่ได้พบกับเว่ยกง เขาแสดงถึงความยากลำบากให้หม่อมฉันเห็นได้รางๆ คาดว่าอยากให้หม่อมฉันช่วยอ้อนวอนขอให้เลื่อนเวลาสืบสวนไปอีกหลายวัน”

จักรพรรดิหยวนจิ่งได้ยินเช่นนี้ก็ร้องฮึออกมา

องค์หญิงใหญ่เอ่ยต่อ “เสด็จพ่อ หม่อมฉันรู้จักยอดฝีมือเรื่องไขคดีอยู่ผู้หนึ่งพอดี ถ้าหากเขาสามารถเข้ามาทำคดีนี้ได้ ภายในครึ่งเดือน จะต้องสืบหาความจริงได้แน่เพคะ”

…………………………

[1] ตับแตก หมายถึงผู้ที่โหมทำงานหรืออ่านตำราดึกดื่นจนป่วยไข้ไม่สบาย

[2] อิงเถา หมายถึง เชอร์รี่

[3] หมวกอูซา หมายถึง หมวกชนิดหนึ่งของขุนนางในสมัยโบราณ มีปีกสองด้าน

[4] ชุดคลุมหมางเผา หมายถึง ชุดคลุมทั้งตัว ผ้านุ่งยาว แขนสอบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง