ใต้ทะเลมีดินตะกอนสะสมอยู่ โดยยึดฐานของศาลาหินอ่อนสีขาวสูงเป็นศูนย์กลาง เสาหินจัดเรียงตามแบบแผนอันเป็นเอกลักษณ์ คุ้มกันศาลาสูงไว้ตรงกลาง
‘นี่ดูเหมือนจะเป็นค่ายกลบางอย่าง’ สวี่ชีอันคาดเดาในใจ
ในเมืองหลวงต้าฟ่ง มีเพียงโหรของสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่สามารถจัดค่ายกลได้ กล่าวอีกนัยคือสมัยนั้นสำนักโหราจารย์ก็มีส่วนร่วมในการสร้างวัดหย่งเจิ้นซานเหอเช่นกัน
จากตรงนี้อนุมานได้ว่า นอกจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่รู้ความลับของซังผอแล้ว ยังมีชายชราสกปรกที่เป็นโหราจารย์คนนั้นอีก… ดังนั้น ท่านโหราจารย์ล้มป่วยจริงหรือ หรือเป็นเพราะวัดหย่งเจิ้นซานเหอล่มสลาย
ฉึบ… ที่นี่เก็บซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่
คนร้ายที่คิดกบฏอำนาจลับของซังผอและทำลายวัดหย่งเจิ้นซานเหอต้องเป็นระดับราชาอย่างแน่นอน… ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ อย่างข้ามีส่วนร่วมกับเรื่องเหล่านี้ รู้สึกว่าข้าคงจะถูกเทพเซียนโจมตีและโดนลูกหลงได้ตลอดเวลา…
แม้ว่าข้าจะค้นหาความจริงได้ ราชวงศ์จะยอมข้าหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของสวี่ชีอันก็รู้สึกหนักอึ้ง
‘เว่ยเยวียนชี้หนทางให้ข้าแล้ว เมื่อเจอปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้ก็แจ้งที่ทำการปกครอง แจ้งฆ้องทองคำหยาง…คำใบ้นี้ชัดเจนพอแล้ว ข้าเป็นเพียงเบี้ยที่ใช้สำรวจเส้นทาง สุนัขล่าสัตว์ที่รับผิดชอบตามรอย หากไม่ไหวจริงๆ แย่ที่สุดข้าก็แกล้งตายและหนีไปจากเมืองหลวง’
ขณะที่ความคิดแวบขึ้นมา เขาก็ถูแขนขา และพิงเสาหินที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุด
พื้นผิวของเสาหินแกะสลักเป็นตัวอักษรลูกอ๊อดที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาด
สวี่ชีอันมองออกคร่าวๆ ว่านี่เป็นตัวอักษรบางอย่าง เนื่องจากระดับการศึกษาที่จำกัด จึงไม่อาจตีความได้ เขาจดจำตัวอักษรสองสามตัวได้อย่างแน่นหนา
หลังจากตรวจสอบเสาหินอีกสองสามต้น และพบว่ามีตัวอักษรแบบเดียวกัน โรคกลัวใต้ท้องทะเลก็กระตุ้นให้สวี่ชีอันออกจากก้นทะเลสาบอันมืดมิด
ตัวอยู่ใต้น้ำอันเงียบสงบและลึก เขามักจะนึกภาพว่าด้านหลังเขามีดวงตาอันเย็นยะเยือกคู่หนึ่งจ้องเขาอยู่ หรือด้านหน้าในความมืดมีเงาขนาดใหญ่ปรากฏอยู่
สวี่ชีอันขึ้นจากน้ำ กลับไปที่เรือลำเล็ก และสอดดาบยาวสีดำที่คาบไว้ในปากเข้าไปในฝัก โคจรปราณระเหยน้ำในทะเลสาบจนเป็นไอ
ไอน้ำลอยขึ้นมา
หลี่อวี้ชุนมองเขาอย่างแปลกใจ เด็กคนนี้เลื่อนขั้นเป็นระดับหลอมปราณด้วยน้ำมือของเขา พลังปราณของเขาหนาแน่นเช่นนี้นานแค่ไหนแล้ว
“พลังปราณของเจ้าไม่เหมือนระดับหลอมปราณหน้าใหม่เลย” หลี่อวี้ชุนพูดอย่างงุนงง
“ข้าเพียงแค่นั่งสมาธิสองชั่วยามทุกวันเท่านั้นเอง” สวี่ชีอันทำสีหน้าไร้เดียงสา
“…”พี่ชุนโบกมือ ไม่อยากคุยหัวข้อนี้มากนัก เขามองฆ้องเงินหยาง และพูดว่า “คนสกุลหยางไม่ยอมรับเจ้า เมื่อสักครู่นี้เขาขึ้นมาวิเคราะห์สถานการณ์ใต้น้ำกับพวกเรา ถือว่าได้กำไรนิดหน่อย นอกจากนี้ยังพูดว่า หากการวิเคราะห์ของเจ้าเหมือนกับเขา เขาก็พอใจ”
“ทุกคนล้วนเป็นสมาชิกในทีม ไม่จำเป็นต้องปิดบัง”
หยางเฟิงที่ผอมสูงยิ้ม และไม่ได้โต้ตอบ
สวี่ชีอันมองหมิ่นซานผู้มีหนวดเครา คนคนนี้ไม่พูดไม่จา แต่จ้องสวี่ชีอัน และรอให้เขาพูด
สวี่ชีอันกลอกตา “จากการแตกหักของแท่นสูงอนุมานได้ว่าจุดระเบิดอยู่ในวัด ไม่ใช่ใต้น้ำ นอกจากนี้ ดินปืนกว่าครึ่งยังถูกซ่อนอยู่ภายในวัดหลังพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษอีก ซึ่งห่างจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสิ้นสุดไม่เกินหนึ่งชั่วยาม หากซ่อนไว้ในวัดล่วงหน้า กลิ่นดินปืนจะรุนแรง เมื่อฝ่าบาทเข้าไปภายในวัดจะได้กลิ่นอย่างแน่นอน มีเพียงหลังจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสิ้นสุดเท่านั้นถึงจะมีโอกาส ไปจับกุมขุนนางชั้นผู้น้อย เจ้าพนักงานศาลต้าหลี่กับเจ้าพนักงานกระทรวงพิธีกรรมที่รับผิดชอบปิดท้ายทั้งหมดมาสอบปากคำทีละคน เรื่องนี้ฆ้องเงินหยางเจ้าไปทำ นอกจากนั้น แจ้งที่ทำการปกครอง และทูลฝ่าบาทให้ชุดขาวของสำนักโหราจารย์สองสามคนมาร่วมมือกันจัดการคดี หัวหน้าท่านไปทำ อืม ข้าอยากให้แม่นางไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์มาช่วยข้า”
“ฆ้องเงินหมิ่น เจ้าตามข้าไปที่กรมโยธา ข้าต้องการบันทึกการเข้าออกของโรงงานดินปืน ดินปืนมากขนาดนี้ไม่อาจลักลอบขนออกไปได้”
เขานิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสริม “แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราต้องดูโครงกระดูกของทหารที่สังเวยชีวิตก่อน”
ฆ้องเงินสามคนมองหน้ากัน และพบว่างน้องเล็กคนนี้ทำงานสมเหตุสมผลมาก จัดแจงงานอย่างมีระเบียบ ความคิดชัดเจน ตรรกะละเอียดรอบคอบ ฆ้องเงินสองคนหยางเฟิงกับหมิ่นซานขจัดความดูถูกกับความไม่ไว้วางใจที่มีต่อเขาออกไป
ถามใจตัวเองดู หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา คาดว่าคงบอกทิศทางที่ชัดเจนเช่นนี้ไม่ได้เร็วขนาดนี้ ต้องครุ่นคิดนานเพียงใด ถึงจัดระเบียบความคิดอย่างชัดเจนได้
ศพถูกรวบรวมไว้ในค่ายทหาร ทหารรักษาวังนำพวกเขามาด้านนอกค่าย และเลิกม่านขึ้น ด้านในเป็นศพของผู้ตายที่ใช้ผ้าดิบคลุมไว้
ในโจมขนาดใหญ่สองโจมใกล้ๆ กันก็มีศพแบบเดียวกัน ทหารที่ลาดตระเวนรอบๆ ซังผอครั้งนี้ ทั้งหมดสามร้อยสิบสองคน เสียชีวิตทั้งหมด
สวี่ชีอันยกผ้าดิบขึ้น และพินิจสภาพอันน่าเวทนาของศพแต่ละศพ
“เจ้ายังจะชันสูตรศพอีกหรือ” หยางเฟิงเห็นว่าสีหน้าของเขาจริงจังขึ้นเรื่อยๆ จึงอดถามไม่ได้ “พบอะไรแล้วหรือ”
“พบเรื่องใหญ่”
“ว่ามา” ฆ้องเงินสามคนตื่นตะลึง แม้แต่หัวหน้าทหารรักษาวังที่นำทางมาก็มองมาเช่นกัน
สวี่ชีอันพูดช้าๆ “พบว่าตัวข้าเป็นเพียงฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ เมื่อเจอกับการต่อสู้ คงต้องให้ใต้เท้าทั้งสามทำงานอย่างหนัก”
ทหารทุกคนตายสภาพเดียวกันเป๊ะ ล้วนถูกปีศาจบางอย่างดูดเลือดไป บนร่างไม่มีบาดแผลอื่น
วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ระดับหลอมปราณจะรับมือได้
ถึงเวลานั้นเมื่อเจอคนร้ายจริงๆ สวี่ชีอันก็คงทำได้เพียงสะบัดมือ ‘รบให้ข้า! ข้าจะอยู่ข้างหลัง’
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง