ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 108

บทที่ 108 ผู้สืบสวนหลัก
เดาได้เลยว่าสวี่หลิงเยวี่ยเป็นคนประเภทคิดมากเกินไป และยังมีนิสัยค่อนข้างเก็บกด นางกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ในใจอยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่กลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ในที่สุดก็วางหินก้อนใหญ่ในใจลงได้ จึงร้องไห้เป็นเผาเต่า หยาดน้ำตาไหลกลิ้ง

จนกระทั่งสาวใช้เดินออกมาจากประตู มองเห็นสองพี่น้องกอดกันกลมก็ตะโกนร้องอย่างดีใจ “คุณชายใหญ่ออกจากคุกแล้วหรือ”

ตอนนี้เองสวี่หลิงเยวี่ยถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นสตรีวัยกำดัดที่ยังไม่ออกเรือน จึงผละจากอ้อมกอดของพี่ใหญ่ ทางหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ทางหนึ่งก้มหน้าตัวตรง ใบหน้าแดงก่ำราวกับถูกเผา

สวี่ชีอันจูงมือน้องสาวเข้าไปในห้อง สาวใช้ชงชาให้เขา แล้วยืนอยู่อีกด้านอย่างสงบเสงี่ยมฟังคุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่พูดคุยกัน

“เจ้าไปบอกคนรับใช้ให้ต้มน้ำร้อนเอาไว้ ข้าจะอาบน้ำ” สวี่ชีอันเอ่ยสั่ง

สาวใช้ออกไปแพร่คำสั่ง ใครจะรู้ว่าพอพวกคนรับใช้ได้ยินต่างพากันหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ แต่ละคนส่ายหน้าปฏิเสธ

สาวใช้กลับไปบอกคุณชายใหญ่สวี่อย่างน้อยใจยิ่ง คุณชายใหญ่สวี่ก็โมโหมากเช่นกัน ในใจคิดว่าเจ้าพวกคนรับใช้ช่างเอาใหญ่แล้ว หรือว่าคุณชายใหญ่สวี่จะอย่างข้ายกดาบไม่ขึ้นหรือ

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยไปต้มน้ำให้ที” สวี่ชีอันกล่าว

สาวใช้ยิ่งน้อยอกน้อยใจเข้าไปใหญ่ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ มุ่ยปากจากไป

สวี่ชีอันหันมามองและเอ่ยยิ้มๆ กับสวี่หลิงเยวี่ย “ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้าทำดีชดเชย ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”

สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้า ใบหน้ารูปเมล็ดแตงงามประณีตซีดเซียวเล็กน้อย “พี่ใหญ่ลงไม้ลงมือกับสหายร่วมงานได้อย่างไรเจ้าคะ”

สวี่ชีอันจึงเล่าออกไปคร่าวๆ รอบหนึ่ง สวี่หลิงเยวี่ยฟังแล้วก็โมโหหนัก กำหมัดงามแน่น “พี่ใหญ่ทำเรื่องให้น้องสาววางใจได้เสมอเลยเจ้าค่ะ”

นางแย้มยิ้มเพริศแพร้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

ความงามวิจิตรชวนหวั่นไหวในพริบตาทำให้สวี่ชีอันอดใจบีบแก้มนางไม่ไหว

สวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าลงอย่างเขินอาย

หลังจากอาบน้ำและสวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสร็จแล้ว สวี่ชีอันกับสวี่หลิงอินก็นั่งเคียงกันอยู่ใต้ชายคา ในมือของทั้งคู่ล้วนถือบะหมี่หมูเส้นใส่ไข่ชามใหญ่คนละชาม

ภาพนี้กลมเกลียวอบอุ่นยิ่ง

สวี่ชีอันกล่าว “หลิงอิน พี่ใหญ่แลกเนื้อกับไข่ของเจ้าดีหรือไม่”

สวี่หลิงอินครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เอา ท่านแม่บอกว่าคราวก่อนพี่ใหญ่หลอกเอาซาลาเปาของข้า”

“แล้วเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่หลอกเจ้าหรือไม่ล่ะ”

นางเอียงหน้า ครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ลืมแล้วเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันบอก “ฉะนั้นแล้วพี่ใหญ่จะไปหลอกเจ้าได้อย่างไร พี่ใหญ่ไม่มีทางหลอกกินไข่ไก่ของเจ้าหรอก พี่ใหญ่ก็แค่…”

เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นสวี่หลิงอินก้มหน้าไปยังบะหมี่ไข่แล้ว “ถุยๆ” สองครั้ง

สวี่ชีอันหน้าเมื่อย

สวี่หลิงอินบอก “พี่รองสอนข้ามา”

…ปัญญาชนล้วนไม่ใช่คนดีจริงๆ! สวี่ชีอันก้มหน้ากินข้าว ไม่สนใจไข่ไก่ของน้องสาว

แต่เขามันจิตใจชั่วร้าย จึงกล่าวข่มขู่ว่า “หลิงอิน บะหมี่นี้กินไม่ได้ มันมีพิษนะ”

“หือ” สวี่หลิงอินเบิกตาโต มองดูชามที่วางอยู่บนตัก แล้วมองดูพี่ใหญ่ ประหลาดใจสงสัย

สวี่ชีอันอธิบายให้นางฟังอย่างอดทนถึงเกร็ดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ “แต่ก่อนตอนเจ้าหกล้มหนังถลอก พ่อของเจ้าใช้น้ำลายเช็ดบาดแผลของเจ้าใช่หรือไม่”

สวี่หลิงอินพยักหน้า

สวี่ชีอันกล่าว “นั่นเป็นเพราะว่าน้ำลายสามารถ…อืม สามารถฆ่าสิ่งสกปรกได้ ดังนั้นจึงเดาได้เลยว่า ทันทีที่น้ำลายออกจากปาก มันก็จะมีพิษ และเดาได้อีกว่า บะหมี่ไข่ของเจ้าก็มีพิษ กินไม่ได้”

เขาพูดจบก็มองเห็นใบหน้าน้อยๆ ของสวี่หลิงอินเริ่มซีดขาวทีละนิด

“แล้วข้าจะตายหรือไม่” สวี่หลิงอินเบะปาก ร้องไห้น้ำตาไหลพลางเอ่ยถาม

“ไม่ตายหรอก แต่จะปวดท้องไปหลายวัน” สวี่ชีอันบอก

สวี่หลิงอินพยักหน้า แล้วกินบะหมี่ต่ออย่างสบายใจ

สวี่ชีอัน “???”

กินบะหมี่เขาเสร็จก็มาที่เรือนของคุณชายรองสวี่ เขาพบกระจกหยกใบเล็กของตนอยู่ในห้องหนังสือ สวี่ชีอันเก็บมันเข้าไปในอก บังเอิญพบกระดาษสองสามแผ่นที่คุณชายรองวางไว้ที่มุมโต๊ะโดยมีที่ทับกระดาษทับเอาไว้

บนกระดาษนั้นเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เสียถี่ยิบ เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ของสวี่ชีอัน และประเมินว่าสำนักโหราจารย์กับสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ช่วยได้หรือไม่

คงจะเป็นยามดึกดื่นค่ำคืนแล้วมานั่งครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในห้องหนังสือ พร้อมเขียนความคิดลงไปตามแต่ใจ

น้องชายคนเล็กยังเป็นคนมีความสามารถมากๆ…สวี่ชีอันยิ้มแย้มแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ

เขาขี่ม้ารีบเร่งกลับไปยังหน่วยงาน เข้าพบเว่ยเยวียนโดยตรง

เว่ยเยวียนรออยู่นานแล้ว เขาชี้ไปที่ตำแหน่งข้างกายหยางเยี่ยนแล้วเอ่ยอย่างอบอุ่น “นั่งสิ”

หยางเยี่ยนส่งสำนวนความชุดหนึ่งมาให้โดยที่สีหน้าไร้ความรู้สึก

เว่ยเยวียนกล่าว “คดีนี้ข้าให้โถงจินอวี้ โถงชุนเฟิง และโถงเจิ้นเสียทั้งสามโถงร่วมมือกันทำคดี ผู้สืบสวนหลักคือเจ้า”

สวี่ชีอันตกตะลึง

เว่ยเยวียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งมาเป็นการส่วนพระองค์”

เมื่อสบตากัน สวี่ชีอันก็พลันเข้าใจ เว่ยเยวียนคิดจะเลื่อนขั้นเขาผ่านเรื่องนี้…แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบสวนหลักโดยตรง ไม่ใช่ให้ร่วมทำคดีด้วย

สวี่ชีอันเปิดสำนวนความดู อ่านอย่างละเอียดจบแล้วก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ใต้ทะเลสาบซังผอผนึกอะไรบางอย่างไว้ใช่หรือไม่ขอรับ”

แววตาของเว่ยเยวียนส่องประกายแปลกประหลาด

ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มาทั้งปีของหยางเยี่ยนก็เผยสีหน้าตกใจเช่นเดียวกัน

ความจริงที่ว่าใต้ซังผอผนึกของบางอย่างไว้นั้นเป็นเรื่องที่เว่ยเยวียนเพิ่งจะบอกเขาเมื่อเช้าวันนี้เอง ส่วนหนานกงเชี่ยนโหรวนั้น เขาอิงจากเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่ซังผอเมื่อคืนและคิดโยงไปถึงตอนที่พ่อบุญธรรมไปค้นข้อมูลและสำนวนความในคลังเอกสารวันนั้น จึงเริ่มคาดเดาได้รางๆ แต่ไม่กล้ายืนยัน

จนกระทั่งเช้าวันนี้พ่อบุญธรรมจึงบอกความจริงกับพวกเขาอย่างนิ่งสงบ

แต่ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนี้กลับบอกมาว่าใต้ซังผอผนึกของบางอย่างเอาไว้โดยตรง

เว่ยเยวียนเก็บสีหน้าเหนือความคาดหมายไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ “บอกข้อสันนิษฐานของเจ้ามาสิ”

สวี่ชีอันสวมท่าทางรับผิดชอบ แทบอยากจะแสดงความเป็นตัวเองออกมาต่อหน้าเว่ยเยวียนให้ได้ เขากล่าวว่า “แม้ว่าซังผอจะเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งต้าฟ่งของพวกเรา แต่สำหรับคนนอกแล้ว สิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวคงจะเป็นกระบี่เทพคุ้มเมือง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง