จนกระทั่งสาวใช้เดินออกมาจากประตู มองเห็นสองพี่น้องกอดกันกลมก็ตะโกนร้องอย่างดีใจ “คุณชายใหญ่ออกจากคุกแล้วหรือ”
ตอนนี้เองสวี่หลิงเยวี่ยถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นสตรีวัยกำดัดที่ยังไม่ออกเรือน จึงผละจากอ้อมกอดของพี่ใหญ่ ทางหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ทางหนึ่งก้มหน้าตัวตรง ใบหน้าแดงก่ำราวกับถูกเผา
สวี่ชีอันจูงมือน้องสาวเข้าไปในห้อง สาวใช้ชงชาให้เขา แล้วยืนอยู่อีกด้านอย่างสงบเสงี่ยมฟังคุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่พูดคุยกัน
“เจ้าไปบอกคนรับใช้ให้ต้มน้ำร้อนเอาไว้ ข้าจะอาบน้ำ” สวี่ชีอันเอ่ยสั่ง
สาวใช้ออกไปแพร่คำสั่ง ใครจะรู้ว่าพอพวกคนรับใช้ได้ยินต่างพากันหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ แต่ละคนส่ายหน้าปฏิเสธ
สาวใช้กลับไปบอกคุณชายใหญ่สวี่อย่างน้อยใจยิ่ง คุณชายใหญ่สวี่ก็โมโหมากเช่นกัน ในใจคิดว่าเจ้าพวกคนรับใช้ช่างเอาใหญ่แล้ว หรือว่าคุณชายใหญ่สวี่จะอย่างข้ายกดาบไม่ขึ้นหรือ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยไปต้มน้ำให้ที” สวี่ชีอันกล่าว
สาวใช้ยิ่งน้อยอกน้อยใจเข้าไปใหญ่ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ มุ่ยปากจากไป
สวี่ชีอันหันมามองและเอ่ยยิ้มๆ กับสวี่หลิงเยวี่ย “ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้าทำดีชดเชย ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้า ใบหน้ารูปเมล็ดแตงงามประณีตซีดเซียวเล็กน้อย “พี่ใหญ่ลงไม้ลงมือกับสหายร่วมงานได้อย่างไรเจ้าคะ”
สวี่ชีอันจึงเล่าออกไปคร่าวๆ รอบหนึ่ง สวี่หลิงเยวี่ยฟังแล้วก็โมโหหนัก กำหมัดงามแน่น “พี่ใหญ่ทำเรื่องให้น้องสาววางใจได้เสมอเลยเจ้าค่ะ”
นางแย้มยิ้มเพริศแพร้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ความงามวิจิตรชวนหวั่นไหวในพริบตาทำให้สวี่ชีอันอดใจบีบแก้มนางไม่ไหว
สวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
หลังจากอาบน้ำและสวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสร็จแล้ว สวี่ชีอันกับสวี่หลิงอินก็นั่งเคียงกันอยู่ใต้ชายคา ในมือของทั้งคู่ล้วนถือบะหมี่หมูเส้นใส่ไข่ชามใหญ่คนละชาม
ภาพนี้กลมเกลียวอบอุ่นยิ่ง
สวี่ชีอันกล่าว “หลิงอิน พี่ใหญ่แลกเนื้อกับไข่ของเจ้าดีหรือไม่”
สวี่หลิงอินครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เอา ท่านแม่บอกว่าคราวก่อนพี่ใหญ่หลอกเอาซาลาเปาของข้า”
“แล้วเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่หลอกเจ้าหรือไม่ล่ะ”
นางเอียงหน้า ครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ลืมแล้วเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันบอก “ฉะนั้นแล้วพี่ใหญ่จะไปหลอกเจ้าได้อย่างไร พี่ใหญ่ไม่มีทางหลอกกินไข่ไก่ของเจ้าหรอก พี่ใหญ่ก็แค่…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นสวี่หลิงอินก้มหน้าไปยังบะหมี่ไข่แล้ว “ถุยๆ” สองครั้ง
สวี่ชีอันหน้าเมื่อย
สวี่หลิงอินบอก “พี่รองสอนข้ามา”
…ปัญญาชนล้วนไม่ใช่คนดีจริงๆ! สวี่ชีอันก้มหน้ากินข้าว ไม่สนใจไข่ไก่ของน้องสาว
แต่เขามันจิตใจชั่วร้าย จึงกล่าวข่มขู่ว่า “หลิงอิน บะหมี่นี้กินไม่ได้ มันมีพิษนะ”
“หือ” สวี่หลิงอินเบิกตาโต มองดูชามที่วางอยู่บนตัก แล้วมองดูพี่ใหญ่ ประหลาดใจสงสัย
สวี่ชีอันอธิบายให้นางฟังอย่างอดทนถึงเกร็ดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ “แต่ก่อนตอนเจ้าหกล้มหนังถลอก พ่อของเจ้าใช้น้ำลายเช็ดบาดแผลของเจ้าใช่หรือไม่”
สวี่หลิงอินพยักหน้า
สวี่ชีอันกล่าว “นั่นเป็นเพราะว่าน้ำลายสามารถ…อืม สามารถฆ่าสิ่งสกปรกได้ ดังนั้นจึงเดาได้เลยว่า ทันทีที่น้ำลายออกจากปาก มันก็จะมีพิษ และเดาได้อีกว่า บะหมี่ไข่ของเจ้าก็มีพิษ กินไม่ได้”
เขาพูดจบก็มองเห็นใบหน้าน้อยๆ ของสวี่หลิงอินเริ่มซีดขาวทีละนิด
“แล้วข้าจะตายหรือไม่” สวี่หลิงอินเบะปาก ร้องไห้น้ำตาไหลพลางเอ่ยถาม
“ไม่ตายหรอก แต่จะปวดท้องไปหลายวัน” สวี่ชีอันบอก
สวี่หลิงอินพยักหน้า แล้วกินบะหมี่ต่ออย่างสบายใจ
สวี่ชีอัน “???”
…
กินบะหมี่เขาเสร็จก็มาที่เรือนของคุณชายรองสวี่ เขาพบกระจกหยกใบเล็กของตนอยู่ในห้องหนังสือ สวี่ชีอันเก็บมันเข้าไปในอก บังเอิญพบกระดาษสองสามแผ่นที่คุณชายรองวางไว้ที่มุมโต๊ะโดยมีที่ทับกระดาษทับเอาไว้
บนกระดาษนั้นเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เสียถี่ยิบ เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ของสวี่ชีอัน และประเมินว่าสำนักโหราจารย์กับสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ช่วยได้หรือไม่
คงจะเป็นยามดึกดื่นค่ำคืนแล้วมานั่งครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในห้องหนังสือ พร้อมเขียนความคิดลงไปตามแต่ใจ
น้องชายคนเล็กยังเป็นคนมีความสามารถมากๆ…สวี่ชีอันยิ้มแย้มแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ
เขาขี่ม้ารีบเร่งกลับไปยังหน่วยงาน เข้าพบเว่ยเยวียนโดยตรง
เว่ยเยวียนรออยู่นานแล้ว เขาชี้ไปที่ตำแหน่งข้างกายหยางเยี่ยนแล้วเอ่ยอย่างอบอุ่น “นั่งสิ”
หยางเยี่ยนส่งสำนวนความชุดหนึ่งมาให้โดยที่สีหน้าไร้ความรู้สึก
เว่ยเยวียนกล่าว “คดีนี้ข้าให้โถงจินอวี้ โถงชุนเฟิง และโถงเจิ้นเสียทั้งสามโถงร่วมมือกันทำคดี ผู้สืบสวนหลักคือเจ้า”
สวี่ชีอันตกตะลึง
เว่ยเยวียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งมาเป็นการส่วนพระองค์”
เมื่อสบตากัน สวี่ชีอันก็พลันเข้าใจ เว่ยเยวียนคิดจะเลื่อนขั้นเขาผ่านเรื่องนี้…แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบสวนหลักโดยตรง ไม่ใช่ให้ร่วมทำคดีด้วย
สวี่ชีอันเปิดสำนวนความดู อ่านอย่างละเอียดจบแล้วก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ใต้ทะเลสาบซังผอผนึกอะไรบางอย่างไว้ใช่หรือไม่ขอรับ”
แววตาของเว่ยเยวียนส่องประกายแปลกประหลาด
ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มาทั้งปีของหยางเยี่ยนก็เผยสีหน้าตกใจเช่นเดียวกัน
ความจริงที่ว่าใต้ซังผอผนึกของบางอย่างไว้นั้นเป็นเรื่องที่เว่ยเยวียนเพิ่งจะบอกเขาเมื่อเช้าวันนี้เอง ส่วนหนานกงเชี่ยนโหรวนั้น เขาอิงจากเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่ซังผอเมื่อคืนและคิดโยงไปถึงตอนที่พ่อบุญธรรมไปค้นข้อมูลและสำนวนความในคลังเอกสารวันนั้น จึงเริ่มคาดเดาได้รางๆ แต่ไม่กล้ายืนยัน
จนกระทั่งเช้าวันนี้พ่อบุญธรรมจึงบอกความจริงกับพวกเขาอย่างนิ่งสงบ
แต่ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนี้กลับบอกมาว่าใต้ซังผอผนึกของบางอย่างเอาไว้โดยตรง
เว่ยเยวียนเก็บสีหน้าเหนือความคาดหมายไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ “บอกข้อสันนิษฐานของเจ้ามาสิ”
สวี่ชีอันสวมท่าทางรับผิดชอบ แทบอยากจะแสดงความเป็นตัวเองออกมาต่อหน้าเว่ยเยวียนให้ได้ เขากล่าวว่า “แม้ว่าซังผอจะเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งต้าฟ่งของพวกเรา แต่สำหรับคนนอกแล้ว สิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวคงจะเป็นกระบี่เทพคุ้มเมือง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง