“หนิงเยี่ยน หนิงเยี่ยนเจ้าไม่ต้องตายแล้ว!” พอผู้คุมหยิบกุญแจเปิดประตูแล้ว ซ่งถิงเฟิงก็กล่าวพลางหัวเราะร่า
“ฝ่าบาทอนุญาตให้เจ้าใช้ผลงานชดเชย ทำความดีล้างความผิด”
ฝ่าบาทเหรอ?
สวี่ชีอันชะงักนิ่ง ความคิดแรกคือ ‘ฉิบหาย หมายเลขหนึ่งคือฝ่าบาทหรือนี่!’
จากนั้นเขาก็ปฏิเสธการคาดเดาของตัวเอง ยกมือเช็ดบ่าของซ่งถิงเฟิงอย่างสงบแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เกิดอะไรขึ้น”
ซ่งถิงเฟิงกำลังกระตือรือร้นที่จะแบ่งปันความยินดี เขาจึงไม่ได้สังเกตว่าตนถูกลอบคิดบัญชีอยู่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สวี่ชีอันฟังอย่างละเอียด
ซังผอระเบิด…วัดหย่งเจิ้นซานเหอพังทลาย…นัยน์ตาของสวี่ชีอันหดเกร็ง ทันใดนั้นก็นึกไปถึงเสียงขอความช่วยเหลือแปลกประหลาดที่ตนได้ยินตอนที่บวงสรวงบรรพบุรุษ
ก็หมายความว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ไม่ผิด
เสียงขอความช่วยเหลือนั่นไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขา เขาเพียงแค่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือเพราะความพิเศษบางอย่างเท่านั้น
เช่นนั้น เสียงขอความช่วยเหลือที่ดังมาจากในซังผอนั้น ดังให้ใครได้ยิน
“กระบี่เทพที่ประดิษฐานอยู่ในวัดล่ะ” สวี่ชีอันนิ่งคิดอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ยถาม
ซ่งถิงเฟิงส่ายหน้า แสดงออกว่าตนรู้ไม่เยอะ แล้วเอ่ยขึ้นอีก “เพราะเรื่องของเจ้า หัวหน้าจึงถูกไล่ออก หลังจากเจ้าถูกส่งมาที่คุกแล้ว เขาก็วิ่งไปที่หอเฮ่าชี่ ก่นด่าหน่วยงาน ตบหน้าเว่ยกงในที่สาธารณะ…”
นี่เป็นเรื่องที่พี่ชุนสามารถทำออกมาได้จริงๆ…ในใจสวี่ชีอันรู้สึกซาบซึ้ง
เขารับเครื่องแบบ ป้ายห้อยเอวและดาบพกมาจากผู้คุม จากนั้นสวี่ชีอันที่ได้รับแจ้งว่ากระจกหยกใบเล็กถูกญาติผู้น้องนำไปแล้วก็โล่งอก
ตามที่คาดไว้ เว่ยเยวียนไม่ได้คิดจะฆ่าเขา แม้จะไม่มีการอภัยโทษของฝ่าบาท พ่อเว่ยก็คิดจะช่วยเขาอย่างถูกทำนองคลองธรรมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เมื่อออกจากคุก ทั้งคู่ก็เดินออกจากหน่วยงานราชการ เมื่อใกล้ถึงประตูใหญ่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตีฆ้องดังขึ้นมา
หลี่อวี้ชุนถูกฆ้องทองแดงสองสามคนคุ้มกันมายังหน่วยงานราชการ ฆ้องทองแดงที่นำหน้าตีฆ้องพลางตะโกนลั่นเสียงดังว่า
“หลี่อวี้ชุนคืนสู่ตำแหน่ง…”
เจ้าพนักงานและพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพากันออกมาดูแล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่หลี่อวี้ชุน
พี่ชุนหูแดงหน้าแดง ก้มหน้าเดินเร็วๆ
ไม่ไกลนัก พี่น้องตัวน้อยทั้งสามมองหน้ากัน สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นก่อน “หัวหน้าคืนสู่ตำแหน่ง เป็นเรื่องน่ายินดี พวกเราอย่าไปรบกวนเลย”
ขาดคนผู้นี้ไปไม่ได้เลยจริงๆ…ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวพยักหน้า ทั้งสามความคิดเป็นเอกฉันท์
พี่ชุนกำลังถูกเว่ยเยวียนเล่นงานอยู่น่ะสิ เมื่อวานเจ้าตบหน้าเขากลางฝูงชน วันนี้เขาก็ตบหน้าเจ้ากลับด้วยการตีฆ้องร้องป่าว…สวี่ชีอันลอบตัดสินใจว่าต่อไปห้ามขัดใจเว่ยเยวียนง่ายๆ
สวี่ชีอันมีกลิ่นเหม็นสาบทั่วตัวและรีบร้อนจะกลับบ้านไปบอกข่าวดี จึงไม่ได้รั้งอยู่ที่หน่วยงานต่อ เขาขึ้นขี่แม่ม้าตัวน้อยที่รักของเขาแล้วรีบกลับบ้านอย่างกระตือรือร้น
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม เขาก็กลับมายังจวนตระกูลสวี่
เหล่าจางคนเฝ้าประตูเกือบจะร้องไห้เพราะความดีใจ สวี่ชีอันโยนเชือกม้าให้เขาแล้วเข้าไปในบ้าน คิดจะบอกข่าวดีกับคนในบ้านก่อน
เวลานี้ ในบ้านคงกินข้าวเช้ากันไปแล้ว อารองไปทำงานแล้ว เหลือแค่สวี่ซินเหนียนที่อยู่บ้านคนเดียว เขากำลังพูดคุยกับมารดาอยู่ที่โถงด้านหลัง
เมื่อเห็นสวี่ชีอันกลับมาแล้ว ดวงตาคู่งามของอาสะใภ้ก็เปล่งประกาย สะกดกลั้นความดีใจเอาไว้ทันทีแล้วแสดงท่าทางรังเกียจตามความเคยชินให้กับหลานชายแทน
สวี่ซินเหนียนเอ่ยอย่างดีใจ “องค์หญิงใหญ่ลงมือเร็วเช่นนี้เลยหรือ”
สวี่ชีอันตกตะลึง ทันใดนั้นลำดับความคิดได้ มิน่าจักรพรรดิหยวนจิ่งถึงรู้จักคนตัวเล็กๆ อย่างเขาซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
ที่แท้ก็เป็นองค์หญิงใหญ่ที่แนะนำตนต่อหน้าจักรพรรดิหยวนจิ่ง…อืม ก็ต้องไม่ตัดเรื่องที่เว่ยเยวียนคว้าโอกาสนี้มาให้เขา สร้างโอกาสใช้ความดีชดเชยความผิดให้กับเขาด้วย
“อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเร็วเกินไป มีเรื่องแล้ว…” สวี่ชีอันเหลือบมองอาสะใภ้แล้วนิ่งเงียบ “พวกเราค่อยกลับมาคุย…อ๊ะ สองวันนี้ทำให้อาสะใภ้ใจเสียแล้ว ละอายใจนัก ได้ยินฉือจิ้วบอกว่าอาสะใภ้นอนไม่หลับทั้งคืนก็เพราะข้านี่”
อาสะใภ้ได้ยินแล้วก็เดือดดาล ตวัดตาไปมองลูกชายที่ไม่รู้จักปิดปากด้วยท่าทางแข็งกร้าว แล้วเชิดคางแหลมขาวราวหิมะขึ้น “ฮึ~”
สวี่ซินเหนียนกล่าวต่อ “เมื่อวานท่านพ่อไปที่สำนักโหราจารย์ คิดจะขอร้องพวกโหรชุดขาว แต่กลับได้ยินข่าวร้ายมา”
เขาลังเลครู่หนึ่ง “ท่านโหราจารย์ป่วย”
“อะไรนะ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างสงสัย “ท่านโหราจารย์ป่วยหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง