ในกลุ่มนี้ คนที่เข้าร่วมตอนเช้าได้มีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น และขุนนาง ขุนนางชั้นสูงกับสมาชิกราชวงศ์ที่เข้าไปสนทนากับองค์จักรพรรดิในห้องบัลลังก์โดยตรงได้มากที่สุดก็หนึ่งร้อยกว่าคน
เหล่าข้าราชบริพารที่รออยู่ด้านนอกประตูวังในยามอิ๋นรวมตัวกันเป็นกระจุกที่จุดหนึ่ง และพูดคุยสัพเพเหระ คมในฝัก
“ช่วงนี้ฝ่าบาททรงขยันว่าราชกิจมากขึ้นเรื่อยๆ”
“การตรวจสอบข้าราชสำนักใกล้จะมาถึงแล้ว”
“แต่การตรวจสอบข้าราชสำนักปีที่แล้วฝ่าบาทก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้น”
“เป็นเพราะคดีซังผอแน่นอน เฮ้อ ปีที่เรื่องมาก วันนี้ฝ่าบาทอาจจะเกิดโมโหขึ้นมา พวกเจ้าก็อย่าขุ่นเคืองเสียล่ะ”
“ข้าเป็นเพียงขุนนางบุ๋น คดีซังผอไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าและพวกเรา”
“หืม เช่นนั้นเกี่ยวข้องกับใครล่ะ”
ทุกคนยิ้มให้กัน
เกี่ยวข้องกับใครหรือ
แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชาของกองพันทหารทั้งห้าในเมืองหลวง และแน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่รับผิดชอบคุ้มกันเมืองหลวงกับราชวงศ์
แน่นอนว่าก็เกี่ยวข้องกับเว่ยเยวียนหรือเว่ยชิงอี หัวหน้าของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หน้าประตูวัง เว่ยเยวียนสวมชุดสีครามยืนอยู่คนเดียว เข้ากันไม่ได้กับเหล่าข้าราชบริพารรอบๆ
เว่ยเยวียนเป็นคนพิเศษ ในราชวงศ์ไม่มีขันทีที่มีอำนาจมากเท่าเขา แม้แต่ขันทีใหญ่ที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิ อำนาจที่ถือไว้ในมือก็ไม่มากเช่นกัน
สิ่งเดียวที่เว่ยเยวียนแตกต่างคือ เขาเป็นทั้งหัวหน้าของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและเป็นผู้ตรวจสอบของฝ่ายตรวจการ
ที่ทำการปกครองสองแห่งนี้มีอำนาจในการกำกับดูแลข้าราชบริพาร
ความหมายของจักรพรรดิหยวนจิ่งชัดเจนมาก เว่ยเยวียนคือดาบของข้า หากพวกเจ้าไม่เชื่อฟังดาบก็จะตกลงที่คอคนนั้น
เว่ยเยวียนไม่เพียงเป็นดาบที่จักรพรรดิหยวนจิ่งผลักออกไปถ่วงดุลข้าราชบริพารเท่านั้น ยังมีบทบาทในการดึงความเกลียดชังอีกด้วย
เหล่าข้าราชบริพารไม่กล้าเกลียดชังจักรพรรดิ แต่พวกเขาสามารถระบายอารมณ์ใส่เว่ยเยวียนได้
ตอนนี้วัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย และจักรพรรดิหยวนจิ่งที่บริหารแบบเกียจคร้านมานานก็จะว่าราชกิจในวันนี้ เห็นชัดว่าเต็มไปด้วยความโกรธต้องการระบายออก
เว่ยเยวียนต้องแบกรับภาระหนักเป็นแน่
เหล่าข้าราชบริพารต่างก็ผสมโรงอย่างมีความสุข
ในช่วงต้นยามเหม่า เสียงระฆังดังก้องในท้องฟ้ายามราตรีอันมืดสนิท ดูกว้างใหญ่และอ้างว้าง
เหล่าข้าราชบริพารเข้าไปทางประตูตะวันออกที่เปิดอย่างช้าๆ แต่สมาชิกของราชวงศ์เข้าไปทางประตูตะวันตก
จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนเหนือเก้าอี้มังกร และทอดมองขุนนางหลายร้อยคนเดินเข้ามาทางประตูวังอย่างเป็นระเบียบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารแบ่งออกเป็นแถว
ขุนนาง ขุนนางชั้นสูงกับสมาชิกราชวงศ์อีกร้อยกว่าคนเดินเข้าไปในห้องบัลลังก์
หลังจากจัดแถวเสร็จ ขุนนางใกล้ชิดคนหนึ่งของกรมอาญาก็ก้าวออกมา และเอ่ยเสียงดัง “เมื่อคืนก่อน มีคนร้ายบุกเข้าไปในซังผอ และระเบิดวัดหย่งเจิ้นซานเหอ ทำให้ต้าฟ่งของข้าอับอาย เว่ยเยวียนเป็นหัวหน้าของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คุ้มกันเขตพระราชฐานไม่รอบคอบ กระหม่อมขอฝ่าบาทตัดศีรษะข้าราชการผู้นี้ เพื่อยุติความโกรธของประชาชนพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
คนชอบตำหนิมืออาชีพหลายคนกระโดดออกมาทันที และขอให้จักรพรรดิหยวนจิ่งตัดหัวของเว่ยเยวียน
การบ่อนทำลายในท้องพระโรงมีลักษณะเดียวกับการซื้อผักที่ไช่ซื่อโข่ว ปกติจะพูดใหญ่โต เอาแต่ตัดหัว และยึดทรัพย์
ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่หรือไม่ แค่ตัดหัวก็ถูกแล้ว
หากจักรพรรดิไม่เห็นด้วย พวกเขาก็จะต่อรอง จากตัดหัวเป็นเนรเทศ จากเนรเทศเป็นไล่ออก
ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเปิดปากพูดให้ไล่ออกได้ ต้องให้พื้นที่ต่อรองแก่จักรพรรดิ มิเช่นนั้นจักรพรรดิจะมองว่า พวกเจ้าไม่ให้โอกาสข้าต่อรองหรือ
เช่นนั้นก็ไม่มีความผิด
เหนือความคาดหมายของเหล่าข้าราชบริพาร จักรพรรดิหยวนจิ่งปฏิเสธคำกล่าวโทษที่มุ่งเน้นเว่ยเยวียนทันที และชื่นชมการทำงานของเว่ยเยวียน
นี่ทำให้เหล่าข้าราชบริพารรู้สึกงงงวย และกระซิบกระซาบกัน
“เงียบ!”
ขันทีใหญ่ประจำตัวของจักรพรรดิหยวนจิ่งฟาดแส้ และเตือนเหล่าข้าราชบริพารด้วยเสียงอันแหลมคม
เรื่องนี้จบลงแล้ว ทว่าคำกล่าวโทษที่มุ่งเน้นเว่ยเยวียนไม่ได้หยุด แต่เปลี่ยนเป้าหมาย
ขุนนางอีกคนหนึ่งของกรมอาญาก้าวออกมา และพูดว่า “สวี่ชีอัน เจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลฆ่าทหารยามอย่างเปิดเผยที่ประตูของที่ทำการปกครองกรมอาญา ดูถูกอำนาจของจักรวรรดิ กระหม่อมขออ้อนวอนฝ่าบาทลงโทษวายร้ายคนนี้อย่างหนักด้วย ประหารชีวิตทั้งครอบครัวและยึดทรัพย์สินพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นชัดว่าเมื่อคนของตัวเองถูกกล่าวโทษ เว่ยเยวียนที่สงบนิ่งไม่แยแสหรี่ตา และเดินตามออกมา “ฝ่าบาท กรมอาญาบงการให้ทหารรักษาพระองค์ขัดขวางหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทำคดี เจตนาที่แท้จริงนั้นยากแก่การหยั่งรู้ กระหม่อมจึงสงสัยว่าเจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาสมรู้ร่วมคิดกับคนร้าย ระเบิดซังผอ ขอฝ่าบาทไล่เขาออกและขังเขาในคุกหลวง ให้กระหม่อมสอบปากคำพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าผู้ตรวจสอบของฝ่ายตรวจการเห็นด้วยทีละคนๆ
“เหลวไหลทั้งเพ!”
“ฝ่าบาท เว่ยเยวียนให้ร้าย มีแรงจูงใจที่ไม่บริสุทธิ์พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท กรมอาญามีปัญหาใหญ่ พวกกระหม่อมเห็นด้วย ถอดขุนนางทุกคนของกรมอาญาออกเพื่อสอบสวนและจัดการพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มก่อสงครามทางคำพูดทันที ขุนนางของหน่วยอื่นก็ขัดจังหวะบางครั้ง และใส่ไฟ ภายในท้องพระโรง แต่ละฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด
สมุหราชเลขาธิการของราชวงศ์ เจ้ากรมแห่งหกชั้นศาล เว่ยเยวียนและคนใหญ่คนโตอีกสองสามคนหลับตาเอาแรง
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่โกรธเลย เมื่อเห็นว่าขุนนางทุกคนเกือบจะทะเลาะกัน เขาก็ส่งสัญญาณให้ขันทีใหญ่ตำหนิ ทำให้ห้องบัลลังก์กลับสู่ความสงบ
“ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันเดิมทีก็มีความผิดอยู่กับตัว จึงทำเรื่องที่ยากจะหลบเลี่ยงอย่างสุดโต่ง พวกเจ้าควรจะร่วมแรงร่วมใจกันทำคดี ไม่ใช่ขัดขวางกัน หากมีครั้งหน้าอีกข้าจะลงโทษอย่างรุนแรง” จักรพรรดิหยวนจิ่งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เว่ยเยวียนลืมตา ฉายแววประหลาดใจออกมา
เขารู้ว่าสวี่ชีอันจะไม่เป็นไรแน่ๆ เพียงแค่ไม่คิดว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะพูดให้ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ด้วยตัวเอง
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเหล่าข้าราชบริพารรอบๆ ด้วยสายตาอันเฉียบคม และพูดต่อ “ตั้งแต่วันนี้ ยกเลิกการปิดกั้นประตูเมือง ขุนนางในราชสำนักระดับหกขึ้นไป ทุกคนห้ามออกจากเมืองหลวง แยกย้าย!”
…
ในช่วงต้นยามเหม่า สวี่ชีอันตื่นนอนตรงเวลา ล้างหน้าบ้วนปากแต่งตัว และไปกินอาหารเช้าที่บ้านอารอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง