ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 117

บทที่ 117 สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ
หนานกงเชี่ยนโหรวหยิบกระดาษขึ้นมาและกวาดตามองอย่างรวดเร็ว เนื้อความบนกระดาษคือการวิเคราะห์คดีตามสภาพการณ์โดยเจ้าหน้าที่จากกรมอาญาและเจ้าหน้าที่จากที่ทำการ

ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก เขาจึงรีบอ่านผ่านๆ จากนั้นดวงตาของเขาก็หรี่ลง

ใบหน้าเริ่มจริงจังและอ่านอย่างละเอียด

ดินปืนที่ระเบิดวัดหย่งเจิ้นซานเหอมาจากเหมืองดินประสิวบนภูเขาต้าหวง…เจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยถูกฆ่าปิดปาก และองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ…บริบทของคดีซังผอทั้งหมดนั้นชัดเจนขึ้นในคราวเดียว

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่อาจซ่อนความประหลาดใจไว้ได้ เขาไม่ได้ใส่ใจคดีนี้มากนัก แต่ก็คอยจับตาดูอยู่ห่างๆ สำหรับผู้รับผิดชอบคดีอย่างสวี่ชีอัน เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแม้แต่จะช่วยเหลือด้วยซ้ำ

จากประสบการณ์ของฆ้องทองคำหนานกง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเงื่อนงำของเรื่องนี้ทุกๆ สามถึงห้าวัน

และไม่คาดคิดว่าจะเห็นผลการสืบสวนภายในวันเดียว

“เป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศในการจัดการคดีจริงๆ” ดวงตาดอกท้อหรี่ลง ในที่สุดเขาก็เกิดความมั่นใจในตัวสวี่ชีอันขึ้นมาได้บ้าง

“ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศในการจัดการคดีงั้นหรือ” เสียงของหยางเยี่ยนดังมาจากนอกรถ เขามีท่าทีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และกล่าวถาม “หมายถึงสวี่ชีอันหรือ”

ฆ้องทองคำหยางสนใจในตัวสวี่ชีอันเป็นอย่างมากและรู้สึกว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่คู่ควรแก่การอบรมสั่งสอน

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าช่างโชคดีที่ได้ต้นกล้าดีๆ เช่นนี้ไป”

หยางเยี่ยนเปล่งเสียง “ฮ่า” อย่างพอใจและจดจ่อกับการขับขี่ต่อไป

เมื่อมาถึงยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกลับไปยังหอเฮ่าชี่ เว่ยเยวียนก็กล่าวขึ้น “ให้สวี่ชีอันมาพบข้า”

ในเวลานี้สวี่ชีอันหลบไปหาข้อมูลในคลังเอกสาร เป็นอย่างที่หมายเลขหนึ่งบอกเอาไว้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนจักรพรรดิอู่จงลุกขึ้นมาแย่งชิงบัลลังก์จริงๆ ด้วย

นอกจากนี้เรื่องราวของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน นอกจากข้อมูลขององค์จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งแล้ว บันทึกของบุคคลที่เหลือล้วนแต่คลุมเครือ น่าจะถูกทำลายทิ้งจนหมด เหลือเพียงชื่อของพวกเขา

ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือสิ่งที่ถูกผนึกใต้ซังผอไม่ใช่จักรพรรดิผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกลูกพี่ลูกน้องของเขาแย่งชิงบัลลังก์

เพราะจักรพรรดิพระองค์นั้นมีรัชทายาทตั้งแต่ทรงเจริญพระชนมพรรษาได้สิบสี่พรรษา

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าก่อนที่นักรบจะเข้าสู่กระบวนการหลอมปราณ ต้องละเว้นกามกิจ…อืม ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก

“ไปค้นหารายชื่อปรมาจารย์ขั้นสามขึ้นไปเมื่อห้าร้อยปีก่อนมาให้ข้า ห้ามตกหล่นแม้แต่คนเดียว” สวีชีอันหันไปหากุญแจสำคัญดอกอื่นแทน โดยการสืบหาปรมาจารย์ผู้ทรงอำนาจจากอดีตราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน

“ขอรับ!”

เจ้าหน้าที่เจ็ดถึงแปดคนขานรับคำสั่ง

ที่โต๊ะริมหน้าต่าง มีหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนวางมือหนึ่งบนแก้มของนาง และใช้มืออีกข้างยัดลูกชิ้นปลาทอดเข้าปากไม่หยุด ขาทั้งสองแกว่งไปแกว่งมาอยู่ใต้โต๊ะ เผยให้เห็นรองเท้าหนังปักลายของสตรีผลุบๆ โผล่ๆ

“แม่นางไฉ่เวย จู่ๆ ข้าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้” สวี่ชีอันถือวิสาสะเอื้อมมือไปหยิบลูกชิ้นปลาทอด แต่กลับถูกคนงามตาไวใบหน้ารูปไข่ห่านฟาดมือใส่ทันที

สวี่ชีอันกระแอม “ลูกชิ้นปลาทอดอร่อยหรือไม่”

“อร่อย” ฉู่ไฉ่เวยพยักหน้า

“ข้าอยากกิน แต่ไม่ใช่อันนี้” สวี่ชีอันกล่าว

“เช่นนั้นอยากกินอะไรล่ะ” ฉู่ไฉ่เวยเอ่ยถาม

“อยากนั่งโง่ๆ มองเจ้ากินไปเรื่อยๆ” สวี่ชีอันส่งยิ้มตามฉบับผู้ชายอบอุ่น

ฉู่ไฉ่เวยหน้าแดง จากนั้นจึงขมวดคิ้ว อยากจะด่าว่าเขาเป็นเติ้งถูจื่อ[1] แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ฟังดูทะแม่งๆ แต่ก็ไม่เหมือนคำพูดหยาบโลนของพวกตัณหากลับเสียทีเดียว

ชั่วขณะหนึ่งนางไม่รู้ว่าควรจะโมโหดีหรือไม่ หากไม่ จะเอาศักดิ์ศรีของสาวพรหมจรรย์อย่างนางไปไว้ที่ไหน

สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่องอย่างชาญฉลาดและกล่าว “ข้ามีเรื่องอยากถามแม่นางไฉ่เวย”

ฉู่ไฉ่เวยกลืนลูกชิ้นปลาในปาก ทำให้ปากเล็กๆ สีแดงก่ำของนางมันเยิ้ม แวววาว เป็นประกายระยิบระยับ สีอมชมพูน่าดึงดูด นางเก๊กหน้าขรึม “เรื่องอะไร”

“มีวิธีใดที่จะป้องกันวิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ได้บ้าง” สวี่ชีอันถาม

“ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสามารถอำพรางกลิ่นอายของตัวเองได้ แต่ก็ต้องเปรียบเทียบกันก่อน อย่างข้าเป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ยระดับเจ็ด นักรบขั้นสูงที่สามารถอำพรางกายจากวิชามองปราณของข้าได้ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับห้า ระดับหกก็ไม่ได้” ฉู่ไฉ่เวยพูดอย่างภาคภูมิใจ

ข้าอยู่ในระดับหลอมปราณขั้นแปด ดังนั้นหากจะซ่อนตัวจากวิชามองปราณของข้า นายกองโจวก็ต้องอยู่ในระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง แต่เห็นได้ชัดเขายังไปไม่ถึงขั้นนั้น…สวี่ชีอันพยักหน้าและถามต่อ

“นอกเหนือจากนี้ล่ะ”

“ก็ต้องใช้อาวุธเวทมนตร์” ฉู่ไฉ่เวยเป็นครูที่ดี ไม่ต้องรอให้สวี่ชีอันถาม นางก็อธิบายเจื้อยแจ้วเอง

“ในโลกนี้มีอาวุธเวทมนตร์สองประเภท ประเภทแรกคือให้ปรมาจารย์ยุทธแห่งสำนักโหราจารย์ของเราสลักค่ายกลและหลอมอาวุธเวทมนตร์ออกมา ประเภทที่สองคือได้รับของวิเศษโดยบังเอิญ”

“อย่างหลังยังแบ่งได้อีกหลายประเภท เช่น ต้นไม้อายุพันปีที่ถูกฟ้าผ่า ไม้ที่เหลือจากการถูกฟ้าผ่าจะมีอานุภาพอันทรงพลังที่สุด หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ สิ่งของที่ถูกครอบครองโดยผู้แข็งแกร่งขั้นสูง ได้รับการหล่อเลี้ยงจากลมปราณเป็นเวลานานแรมปี จนทำให้เกิดเวทมนตร์บางอย่างขึ้น แต่ของจำพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นส่วนเสริมความสามารถบางอย่างของผู้แข็งแกร่งขั้นสูงผู้นั้น”

“ในเมืองหลวงมีอาวุธเวทมนตร์ไว้อำพรางกลิ่นอายหรือไม่” สวี่ชีอันถามอย่างตรงไปตรงมา

“ที่สำนักโหราจารย์ของเราน่ะมี แต่ที่อื่น…” ฉู่ไฉ่เวยเอียงศีรษะคิดครู่หนึ่ง “ข้าต้องกลับไปถามศิษย์พี่ซ่ง”

“…เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ได้รวบรวมรายชื่อบุคคลที่อาจจะเคยเป็นทหารระดับสูงเมื่อห้าร้อยปีก่อนออกมา

รายชื่อมีไม่มากนัก เพียงสิบกว่าคนเท่านั้นเอง และทั้งหมดเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเคยเป็นทหารระดับสูง

ในบันทึกทางการไม่ระบุว่าใครเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับใด ดังนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่จึงต้องอนุมานลำดับขั้นการฝึกตนจากวีรกรรมของนายทหารชั้นสูงที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะจารึกลงในประวัติศาสตร์เมื่อห้าร้อยปีก่อน

ตัวอย่างเช่นอ๋องสยบแดนเหนือที่ปกป้องดินแดนทางตอนเหนือมาเป็นเวลาหลายสิบปีและผ่านการต่อสู้มาแล้วหลายร้อยครั้งในชีวิต จึงเป็นที่ประจักษ์ว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งขั้นสูง

สวี่ชีอันชำเลืองมองและรู้สึกผิดหวังที่พบว่ามีรายชื่อทหารระดับสี่มากที่สุด มีระดับสามเพียงไม่กี่คน ไม่มีระดับสองและไม่ต้องพูดถึงระดับหนึ่ง

“คนที่ถูกผนึกไว้ใต้ซังผออย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับสอง มิฉะนั้นลำพังแค่ท่านโหราจารย์ระดับหนึ่งก็จัดการได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องผนึก หรือว่าข้าคิดผิด ความจริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นวัตถุที่ถูกผนึกไว้หรือ”

“เดี๋ยวก่อน…ท่านโหราจารย์งั้นหรือ” สวี่ชีอันรู้สึกเย็นวาบ จนจังหวะการหายใจกระชั้นขึ้น

เขานึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง หน้าที่ของท่านโหราจารย์คือประจำการอยู่ที่เมืองหลวงและเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของต้าฟ่ง อย่างน้อยท่านโหราจารย์ยุคนี้ก็เป็นเช่นนั้น

ดังนั้นเมื่ออู่จงต้องการแย่งชิงบัลลังก์ พระองค์จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับท่านโหราจารย์ได้

การสันนิษฐานสุดเฉียบคมที่ก่อตัวขึ้นในใจของสวี่ชีอัน ทำให้เขาอดสั่นกลัวไม่ได้

“ไฉ่เวย ท่านอาจารย์ของเราเป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งใช่หรือไม่” สวี่ชีอันคุมตัวเองไม่ให้เสียงสั่นเครือ

“ไม่ใช่ ท่านอาจารย์เป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่สอง” คำตอบของฉู่ไฉ่เวยทำให้สวี่ชีอันรู้สึกถึงเลือดที่กำลังเลือดพล่าน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง