ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 130

บทที่ 130 สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันเหรอ

หากกล่าวว่าครั้งก่อนมังกรวิญญาณระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าว โดยที่ข้างกายฮว๋ายชิ่งก็มีสวี่ชีอันอยู่ ทว่าครั้งนี้ สวี่ชีอันกลับไม่ได้อยู่ใกล้ๆ

มีเหตุผลอื่นที่ทำให้มังกรวิญญาณคลั่ง แต่ทหารรักษาพระองค์มากมายขนาดนั้นกลับคุมมันไม่อยู่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่ชีอันมันดันทำตัวเชื่องเสียอย่างนั้น

ข้อสงสัยนี้แวบเข้ามาในหัวของเว่ยเยวียน แล้วถูกสะบัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

เขาเคยสืบภูมิหลังของสวี่ชีอันแล้ว ประวัติขาวสะอาด ธรรมดาไม่น่าสงสัย หากต้องเชื่อมโยงเขากับมังกรวิญญาณเข้าด้วยกัน ก็ออกจะเป็นไปไม่ได้อยู่สักหน่อย

การที่จู่ๆ มังกรวิญญาณก็สงบขึ้นมากะทันหัน สามารถใช้ ‘ระบายอารมณ์เสร็จแล้ว’ หรือ ‘ไม่อยากทำร้ายองค์หญิงหลินอัน’ มาอธิบายได้

เกรงว่าฝ่าบาทก็คงจะคิดเช่นนี้

ทั้งเชื้อพระวงศ์และขุนนางเดินทอดน่องไปทางพระราชวัง ไม่ได้ทรงเกี้ยว แล้วจู่ๆ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็พูดขึ้นว่า “อ๋องสยบแดนเหนือไม่ได้กลับเมืองจิงจ้าวมาหลายปีแล้วสินะ”

แววตาเว่ยเยวียนสาดประกายวาบ กล่าวพร้อมยิ้ม “หลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “หลังฤดูใบไม้ผลิปีหน้าให้เรียกตัวเขากลับมาเถอะ ข้าก็คิดถึงเขาแล้วเหมือนกัน”

สวี่ชีอันขับรถม้าไปตามถนนกว้างขวางในเมืองชั้นใน มีทหารหุ้มเกราะสองกองอยู่ทั้งด้านหน้าและหลังรถม้า

เว่ยเยวียนนั่งอยู่ในรถม้า

“เว่ยกง มังกรวิญญาณตัวนั้นเป็นอะไรเหรอขอรับ เลี้ยงสัตว์ร้ายที่อันตรายขนาดนี้ไว้ในเขตพระราชฐาน ไม่กลัวจะทำร้ายผู้คนเหรอขอรับ” สวี่ชีอันลองหยั่งเชิง

สุ้มเสียงอ่อนโยนของเว่ยเยวียนดังมาจากในรถม้า “มังกรวิญญาณมีนิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอด คนที่ไม่ใช่คนในราชวงศ์ แค่ไม่ไปแตะต้องมันก็จะไม่ถูกมันโจมตีแล้ว”

“ไม่มียกเว้นเหรอขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยถามไปเรื่อย พยายามทำให้น้ำเสียงของตนดูสงบนิ่ง

ผ่านไปพักหนึ่ง เว่ยเยวียนก็เอ่ยเงียบๆ “ไม่มียกเว้น”

…สวี่ชีอันเงียบไป

หลังจากไม่เอ่ยอะไรออกมาพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็กล่าวอีกว่า “เว่ยกง ข้าสืบเรื่องบางอย่างได้ เรื่องนี้ทำให้คดีสับสนเลือนรางมากขึ้น ข้าน้อยจึงไม่แน่ใจอยู่สักหน่อยขอรับ”

“ว่ามา”

“วันนี้ข้าน้อยไปที่วัดมังกรเขียวมา ได้รู้ความลับเรื่องหนึ่งเข้า วัดมังกรเขียวมีภิกษุรูปหนึ่งสมญานามว่าเหิงฮุ่ย กว่าหนึ่งปีก่อนเขามีความสัมพันธ์กับผู้แสวงบุญหญิงนางหนึ่งที่มักจะมาที่วัดบ่อยๆ จึงแอบขโมยอาวุธเวทมนตร์ที่สามารถปกปิดกลิ่นอายชิ้นหนึ่งของวัดมังกรเขียวแล้วพากันหลบหนีไป” สวี่ชีอันบอก

“ส่วนผู้แสวงบุญหญิงนางนั้นก็คือท่านหญิงผิงหยางที่หายตัวไปนานนั้นเอง”

เสียงทุ้มต่ำของเว่ยเยวียนดังออกมาจากในรถม้า “เหตุใดเจ้าไม่กล่าวตอนมารายงานก่อนหน้านี้”

เพราะอยากไปตอแหลกับองค์หญิงใหญ่ก่อนน่ะ…อา ไม่สิ ไปสร้างความประทับใจต่างหาก…สวี่ชีอันละอายเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า

“ก่อนที่จะแน่ใจว่าเงื่อนงำมีประโยชน์ ข้าน้อยไม่กล้าหลอกลวงเว่ยกงหรอกขอรับ พอได้พบองค์หญิงใหญ่แล้วถึงรู้ว่าการจากไปของท่านหญิงผิงหยางอาจเกี่ยวพันกับการต่อสู้ระหว่างกลุ่มชนชั้นสูงกับกลุ่มขุนนางบุ๋นได้ ตอนนี้ข้าน้อยยังไม่กล้ารับรองว่าท่านหญิงผิงหยางและภิกษุเหิงฮุ่ยเกี่ยวข้องกับคดีซังผอขอรับ แม้ว่าบนตัวของกองร้อยโจวชื่อสวงผู้เป็นองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์จะพกอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอาย แต่คนผู้นี้ก็ได้หลบหนีออกจากเมืองจิงจ้าวไปแล้ว จะเป็นอาวุธเวทมนตร์ของวัดมังกรเขียวชิ้นนั้นหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ได้เล่าขอรับ”

เรื่องนี้เว่ยเยวียนไม่ได้ตอบกลับ

รถม้าวิ่งเข้ามาในหน่วยงานราชการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันวางบันไดไม้ขนาดเล็กลง แล้วเชิญเว่ยเยวียนลงมา

สองมือของเว่ยเยวียนซ่อนไว้ในแขนเสื้อ เหลือบมองเขาคราหนึ่งโดยที่สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ จากนั้นกล่าวว่า “ตามข้าไปที่หอเฮ่าชี่”

นี่กำลังจะสั่งสอนกันใช่ไหม สวี่ชีอันเดินตามไปอย่างจนใจ ก้าวเข้าไปในหอเฮ่าชี่ เว่ยเยวียนสั่งให้สวี่ชีอันชงชา ส่วนตนยืนชมทิวทัศน์ที่โถงสังเกตการณ์

เวลาผ่านไปทุกขณะ จนกระทั่งสวี่ชีอันตะโกนบอกว่าชงชาเสร็จแล้ว

ความจริงแล้วก็แค่ต้มน้ำกับแช่ใบชา กระบวนการง่ายมาก

เว่ยเยวียนเดินมาข้างโต๊ะแล้วเหลือบมองดูก่อนส่ายหน้าเอ่ย “แก้วแรกต้องเททิ้งก่อน ห้ามดื่มทันที จะขมเกินไป มันปกปิดความหวานของชา”

เจ้ากำลังสอนข้าทำเรื่องต่างๆ อยู่เหรอ

“ข้าน้อยเป็นคนหยาบ ไม่มีประสบการณ์…””ในหัวของสวี่ชีอันนึกไปถึงสีหน้าเย่อหยิ่งของลุงต๋า[1] แล้วใบหน้าก็เผยรอยยิ้มต่ำต้อยของโจวซิงซิง[2] ออกมา

‘แกร๊กๆ’…เว่ยเยวียนหยิบกล่องผ้าออกมาจากในแขนเสื้อ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เปิดดูสิ”

สวี่ชีอันเปิดกล่องผ้าตามคำสั่ง ด้านในมีเม็ดยาขนาดเท่าเม็ดลำไยสีส้มใส กลิ่นหอมเข้มข้นของยาพุ่งปะทะจมูก

“นี่คือโอสถทองคำที่ฝ่าบาททรงประทานให้ ช่วยเสริมให้พละกำลังแข็งแกร่งและเพิ่มพูนพลังปราณ ราชครูหลอมอยู่หลายเดือน และหลอมออกมาได้หม้อหนึ่ง พันทองคำก็ยากจะซื้อได้” เว่ยเยวียนปิดกล่องผ้า งอนิ้วเคาะกล่อง “มันเป็นของเจ้าแล้ว”

สวี่ชีอันไม่อยากจะเชื่อ

“ของสิ่งนี้ไม่มีค่าสำหรับข้า ผลที่มอบให้จอมยุทธ์ระดับสูงมีไม่มาก คิดไปคิดมาแล้ว ตอนนี้ผู้ที่จำเป็นต้องเลื่อนระดับการฝึกตนมากที่สุดก็คือเจ้า” เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ ในเมื่อข้าเคยบอกว่าจะเลี้ยงดูเจ้า ก็ย่อมไม่ยิงธนูไร้เป้า[3]”

“ขอบคุณเว่ยกง” ความดีใจและความตื้นตันบนใบหน้าของสวี่ชีอันเปล่งออกมาจากใจ เขารู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาโดยปริยาย คำพูดมีเหตุผลน่าเชื่อถือหนึ่งประโยควาบผ่าน

‘เสียไปให้สุด แล้วจะได้ทุกอย่างที่ควรได้’

“หลังเจ้าหลอมละลายโอสถทองคำแล้ว พลังปราณคงจะเต็มตันเถียน พอถึงตอนนั้นก็จะตระหนักรู้ล่วงหน้าได้และเลื่อนขั้นจิตเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ ความก้าวหน้าในการฝึกตนของเจ้าก็จะเร็วกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกันอย่างน้อยหนึ่งในสาม” เว่ยเยวียนกล่าว

นี่ก็คือข้อดีของการที่พึ่งพาองค์กรใหญ่และเกาะขาใหญ่เอาไว้นั่นเอง หากข้าเป็นผู้ฝึกตนทั่วไป เกรงว่าต้องติดอยู่ที่ระดับขั้นหลอมปราณเหมือนกับอารองแน่ๆ…สวี่ชีอันดีใจยิ่งที่วันนั้นตนเลือกได้ถูกต้องที่สุด

เพราะเห็นว่าหมายเลขเก้ากับหมายเลขหกกำลังล่ามนุษย์หมาป่ากันอยู่ จึงไม่เสี่ยงไปลองถาม แต่หันหน้าไปหาเว่ยเยวียน บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแทน

หากไม่มีเรื่องนี้ เขาคงไม่ได้รับความชื่นชมและความไว้วางใจจากเว่ยเยวียนเร็วขนาดนี้หรอก

หากไม่ได้ความไว้ใจของเว่ยเยวียน ได้แค่คำชื่นชมอย่างเดียว ก็เกรงว่าเขาคงต้องสะสมผลงานอย่างยากเย็น ไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้ที่บอกจะให้โอสถทองคำก็ให้เลย

“เว่ยกง ระดับต่อไปของขั้นหลอมวิญญาณคือกระดูกเหล็กผิวทองแดง เช่นนี้ควรจะฝึกฝนอย่างไรดีขอรับ” สวี่ชีอันปรึกษาอย่างระมัดระวัง

“รอให้เจ้าไปถึงระดับหลอมวิญญาณขั้นสูงสุดก่อน ปราณ โลหิต และจิตเดิมก็จะผสานกัน ตอนนั้นร่างกายและพลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอดรูปเปลี่ยนร่างหนึ่งครั้ง ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ให้ใช้ไม้กระบองตีกระทบร่างกายทุกส่วน เหมือนช่างตีเหล็กหลอมเหล็ก เพื่อกำจัดสิ่งเจือปน ควบแน่นกลายเป็นเหล็กกล้า”

ตีกระทบร่างกายทุกส่วนเหรอ สวี่ชีอันมีข้อสงสัยและความกังวลอยู่เต็มหัว เขาอยู่ตรงหน้าเว่ยเยวียน

“นั่นเป็นวิธีโบราณ” เว่ยเยวียนหัวเราะร่าแล้วกล่าวเสริม ไยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้จอมยุทธ์ยามฝึกตนจะใช้วิธีอาบยาแทน”

สวี่ชีอันโล่งอก เอ่ยขอคำแนะนำต่อ “ตอนที่ข้าน้อยอ่านข้อมูลดู พบว่าคำบรรยายที่เกี่ยวข้องกับขั้นห้าสลายแรงมีประมาณว่า ‘มอบชีวิตจากทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ขับเคลื่อนคล้ายท่อนแขน และแยกห่างเป็นเอกเทศ’ ”

คำบรรยายนี้ไร้แก่นสารอย่างยิ่ง ร่างกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีชีวิตเป็นของตัวเอง แล้ว ‘มอบชีวิตจากทุกส่วน’ นั่นมาจากไหนกัน

สวี่ชีอันทั้งรู้สึกว่าไร้สาระ และคิดว่าเป็นเรื่องตลก

เว่ยเยวียนพิจารณาเขา สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กน้อยของเขาแล้วส่ายหน้ากล่าว “วิธีการฝึกตนแบบเฉพาะรอให้ระดับขั้นของเจ้าไปถึงแล้วค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ยิ่งรู้มากยิ่งคิดมากได้ง่ายๆ จนทำให้เป็นกังวล เอาล่ะ เจ้าก็กินยาเม็ดอยู่ที่นี่ ข้าจะดูว่าโอสถทองคำเม็ดนี้จะช่วยเจ้าเติมเต็มตันเถียนได้หรือไม่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับผลเช่นนี้ ข้าคาดคะเนตามคุณสมบัติของเจ้า แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ต้องดูถึงจะรู้”

เว่ยเยวียนมีความคาดหวังบางอย่าง

สวี่ชีอันร้อง “อืม” เขาเปิดกล่องผ้าออกมาแล้วกินโอสถทองคำเข้าไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง