ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 132

บทที่ 132 พูดคุยยามค่ำคืน
ห้าร้อยผืน… หัวใจของอาสะใภ้เต้นโครมคราม ผ้าไหมเหล่านี้มีหลากหลายแบบ ทั้งผ้าแพร ผ้าโปร่ง ผ้าไหม ผ้าฝ้ายและอื่นๆ ซึ่งถักทออย่างประณีต และลวดลายวิจิตร อาสะใภ้ไปเยี่ยมชมร้านผ้าไหมมาไม่น้อย สายตาร้ายกาจ ผ้าไหมทุกผืนในที่นี้ล้วนดีกว่าผ้าไหมราคาแพงที่ขายในร้านค้าเหล่านั้นไม่รู้เท่าไหร่

และวัสดุที่ราคาแพงและประณีตเช่นนี้ มีห้าร้อยผืน… อาสะใภ้รู้สึกว่าตัวเองถูกความสุขที่เกิดขึ้นกะทันหันชนจนน็อค

สวี่หลิงเยวี่ยก็ไม่ได้ดีไปกว่าแม่ของนางสักเท่าไหร่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้หญิงล้วนมีความชื่นชอบในของอย่างเสื้อผ้าเป็นพิเศษเสมอ

สวี่หลิงอินผู้ฉวยโอกาสในขณะที่บิดามารดากับพี่สาวไม่สนใจกินอาหารเพียงคนเดียวอย่างรวดเร็วไม่อยู่ในกฎข้อนี้ นางยังเด็ก

“ข้าไปช่วย” อารองสวี่นั่งไม่ติดที่ เขาลุกขึ้น และพุ่งไปข้างนอก

สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างรถม้า หลังจากคุยกับซ่งถิงเฟิงเพื่อคลี่คลายคดีซังผอ เขาก็จะไปเที่ยวที่สำนักสังคีต

“ว่าไปแล้ว สำนักสังคีตมีคณิกายี่สิบสี่คน ข้าเคยนอนแค่กับฝูเซียงเท่านั้น วันอื่นต้องไปเยี่ยมทีละคน” สวี่ชีอันพูดด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

“เจ้า…” ซ่งถิงเฟิงจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “เจ้ากับฝูเซียงไม่ได้เป็นคนรักกันหรอกเหรอ สิ่งที่เจ้าควรจะทำในตอนนี้คือไถ่ตัวนาง”

“เจ้า…” สวี่ชีอันก็จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เช่นกัน และคิดไม่ตกว่าทำไมคนสมัยโบราณมักจะชอบนำรถสาธารณะไปใช้ส่วนตัว

อืม สถานะของนางสนมสูงกว่าเพียงแค่สาวใช้เท่านั้น เป็นไปได้ว่าในสายตาของพวกเขา การไถ่ตัวผู้หญิงที่สำนักสังคีต เทียบเท่ากับผู้ชายในยุคหลังๆ ซื้อแฟนสาวที่จะไม่พูดจะไม่กิน และกินอากาศเพื่อเอาชีวิตรอด

นอกจากนี้คณิกายังจะไม่รั่วไหลอีก

ภรรยากับนางสนมเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้… แต่ในสายตาของข้า การไถ่ตัวผู้หญิงที่สำนักสังคีต ก็เหมือนกับการเจอเป้าหมายที่แต่งตัวสวยหรูครอบครัวร่ำรวย และบอกว่าตัวเองขายเสื้อผ้าอยู่ข้างนอกตอนนัดบอด… ยังมีความแตกต่างกันด้านสามทัศนะกับความคิดอีก

สวี่ชีอันส่ายหน้า ไม่อยากคุยหัวข้อนี้ต่อ

“อารอง ท่านอย่าขนของเหล่านี้” สวี่ชีอันเห็นอารองสวี่ออกมาช่วย จึงรีบตะโกน

เมื่ออารองมองมา สวี่ชีอันก็ลากกล่องเล็กๆ หนักหกสิบจิน (1 จิน มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม) ด้วยมือข้างเดียว และโยนไปให้ “ท่านขนสิ่งนี้”

อารองสวี่ยื่นมือไปรับ เขารู้สึกว่ามันหนักมาก จึงเปิดดู… อะไรทำให้ตาสุนัขของข้าบอด

อาสะใภ้ทึ่งกับผ้าไหมอันสวยงามอยู่ที่โถงด้านหน้า และลูบไล้ไปมา ใบหน้างามเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างควบคุมไม่ได้

มือเล็กๆ ของสวี่หลิงเยวี่ยกดลงบนผ้าไหม และรับรู้ได้ถึงสัมผัสอันเนียนนุ่มของผ้าไหม ใจของสาวน้อยเต้นโครมคราม

เพี๊ยะ!

อาสะใภ้ผู้เป็นแม่ปัดมือของนางออก และพูดอย่างไม่พอใจ “อย่าแตะต้อง”

สวี่หลิงเยวี่ยถามเสียงเบา “ท่านแม่ดีใจเรื่องอะไรเหรอ ของเหล่านี้ฝ่าบาททรงประทานให้พี่ใหญ่ มันไม่ใช่ของของท่าน”

ถึงแก่ชีวิต

อาสะใภ้ค่อยๆ สูญเสียรอยยิ้ม ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าอันสง่างามและเย้ายวนของนางก็ฉีกยิ้มแข็งกระด้าง “นั่น…ข้าดีใจกับต้าหลางมาก ใช่หรือไม่…”

คำที่พูดออกมานี้ นางเองก็ไม่มั่นใจ

สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้า “อืม ดีมาก พี่ใหญ่เป็นสินค้าสิ้นเปลืองเงินที่ต้องเลี้ยงของท่าน”

“นังตัวดี” อาสะใภ้ใช้นิ้วจิ้มสวี่หลิงเยวี่ยจนซวนเซ

เวลานี้ สองแม่ลูกเห็นอารองสวี่ยกกล่องใบหนึ่งเดินเข้ามาอย่างไร้จิตวิญญาณ

อาสะใภ้ยกชายกระโปรงเดินเข้าไป “กล่องในมือท่านพี่คืออะไรเหรอ”

ปัง…ปัง…อารองสวี่เปิดกล่อง และปิดอีกครั้ง หลังจากนั้นก็มองภรรยาและพูดว่า “ตาบอดหรือไม่”

“ตาบอด…”

อาสะใภ้ที่รักษาพรหมจรรย์ไม่เคยแต่งงาน จนถึงตอนนี้มีลูกสามคนแล้ว ตลอดชีวิตสามสิบหกปีไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้ ไม่สิ ทอง

อารองก็ไม่เคยมีทองมากเช่นนี้มาก่อน

“คอแห้งมาก เหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ได้ดื่มชาดีๆ สักอึก”

“หนิงเยี่ยนเจ้านั่งก่อน อาสะใภ้จะชงให้เจ้า”

“อยากกินไข่ตุ๋น”

“อาสะใภ้จะให้ห้องครัวทำให้เจ้า”

“ไม่มีนมเหรอ”

“มีๆๆ อาสะใภ้จะอุ่นนมไปให้เจ้า”

บนโต๊ะอาหาร สวี่ชีอันนั่งด้วยท่าทางผึ่งผาย อาสะใภ้ที่มักจะหยิ่งทะนงดูแลอย่างสุภาพอยู่ข้างๆ สวี่ชีอันอยากกินไข่ตุ๋น อาสะใภ้ก็ให้คนทำให้เขา สวี่ชีอันอยากดื่มชา อาสะใภ้ก็ชงให้เขา สวี่ชีอันอยากดื่มนม อาสะใภ้ก็อุ่นให้เขา… พยายามชดเชยความรู้สึกที่เสียหายไปอย่างหนักระหว่างอาหลาน

“อาสะใภ้ไม่จริงใจ ข้าอยากกินไข่ตุ๋นที่อาสะใภ้ทำเอง” สวี่ชีอันคร่ำครวญ

…อาสะใภ้กัดริมฝีปาก และฝืนยิ้ม “อาสะใภ้จะไปทำให้เจ้า”

หลังจากไข่ตุ๋นมา สวี่ชีอันก็กินไปพลางพูดไปพลาง “เฮ้อ ในลานข้างบ้านมีเสื้อผ้าสกปรกจำนวนมากกองอยู่ ชายผู้โชคร้ายที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่อย่างข้า ทำได้เพียงซักด้วยตัวเอง”

…อาสะใภ้กัดฟัน “หนิงเยี่ยนพูดจาห่างเหิน อาสะใภ้ก็มองเจ้าเหมือนลูกของตัวเอง อาสะใภ้ซักให้”

อิ่มอกอิ่มใจเหลือเกิน สวี่ชีอันรู้สึกว่าความคิดของเขากระจ่างชัดมาก ความหมกมุ่นที่สั่งสมอยู่ในใจก็สลายไปในที่สุด

“อารอง มิเช่นนั้นพวกเราขายบ้านหลังนี้ ไปซื้อบ้านหลังใหญ่ที่เมืองชั้นใน” สวี่ชีอันเสนอ

ม่านตาของอาสะใภ้ผู้อวบอิ่มและมีเสน่ห์เปล่งประกาย และยิ้มแฉ่ง

ขายบ้าน… อารองสวี่กวาดตามองการตกแต่งภายในห้องโถง และถอนหายใจกะทันหัน “นี่เป็นบ้านของบรรพบุรุษ บอกว่าขายก็จะขายเลยเหรอ ข้ากับพ่อของเจ้าก็เติบโตมาในบ้านหลังนี้”

“ไม่ขายก็ไม่ขาย เงินแปดพันตำลึง เพียงพอที่จะซื้อบ้านที่กว้างมากขึ้นที่เมืองชั้นใน” สวี่ชีอันยกแก้วขึ้นดื่ม วางแก้วลง และโพล่งออกมาว่า “อารอง ข้าเป็นลูกนอกสมรสของท่านกับหญิงอื่นข้างนอกเหรอ”

“พรืด…” อารองสวี่ก้มหัวลงทันที เหล้าถูกพ่นใส่ทั่วใบหน้าของสวี่หลิงอิน

เขาตั้งใจจะพ่นลงพื้น ทว่าเด็กสาวตัวเล็กเกินไป จึงพ่นโดนหัวกับใบหน้าของนางพอดี

เสี่ยวโต้วติงสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด นางไม่ร้องไห้ในคราแรก ลิ้นเลียเครื่องดื่มบนใบหน้า และรู้สึกว่ามันไม่อร่อย ก่อนจะ “ฮึก” ร้องไห้ออกมา

อารองสวี่จ้องหลานชายที่พูดจาไม่ผ่านสมอง “เจ้าพูดไร้สาระอะไร”

สีหน้าของอารองไม่ได้รู้สึกผิดกับตกใจเลย… สีหน้าของอาสะใภ้ก็ไม่ได้สงสัยกับประหลาดใจเช่นกัน… สวี่ชีอันผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการแสดงออกทางสีหน้าทำการวิเคราะห์

ช่วงเวลาที่คนเราไม่ได้ระวังมากที่สุด การกระทำที่ทำออกมาโดยจิตใต้สำนึกจะสอดคล้องกับใจมากที่สุด

สวี่ชีอันชิงตัดตัวเลือกที่ตัวเองเป็นลูกนอกสมรสของอารองก่อน เขาคิดเช่นนี้ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล ตอนเป็นหนุ่มเพื่อนร่วมงานของอารองมาเยี่ยมและเป็นแขกที่บ้าน พวกเขาชี้สวี่ชีอันและถามว่า “นี่ลูกชายเจ้าเหรอ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง