“อ๋องสยบแดนเหนือคุ้มกันชายแดนตลอดทั้งปี และข้าไม่รู้จักเขาดีพอ เจ้าเองก็เช่นกัน ทะเล่อทะล่าตัดสินว่าเขาวางแผนร้าย มันดูส่วนตัวไปหน่อย”
“อีกอย่าง อ๋องสยบแดนเหนือเป็นทหารระดับสาม ไม่อาจโจมตีระดับสองได้ในอนาคต ส่วนเขาจะเต็มใจเป็นจักรพรรดิหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง ฮ่าๆ แน่นอนว่า สมัยโบราณอำนาจมันสั่นคลอนจิตใจคนได้ หากข้าพูดว่าเขาจะไม่วางแผนก่อกบฏ ก็ถือว่าส่วนตัวอย่างหนึ่ง” นักบวชเต๋าจินเหลียนวิเคราะห์
“การโจมตีระดับสองกับการเป็นจักรพรรดิจะไม่ขัดกัน” สวี่ชีอันมีความคิดเห็นของตัวเอง “นี่เป็นการคาดคะเนของข้า ยังไม่ได้ค้นหาหลักฐาน รอข้ารวบรวมหลักฐานก่อน อ๋องสยบแดนเหนือบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ มองปราดเดียวก็รู้”
“เพียงแค่นักพรต ข้ายังสืบหาไม่พบ” สวี่ชีอันถอนหายใจ “แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะสั่งให้ข้ารับผิดชอบคดีนี้ แต่อ๋องสยบแดนเหนือเป็นองค์ชาย องค์ชายที่ครองกองกำลังทหารไว้ในมือ ข้าไม่อาจตรวจสอบตำหนักของเขาอย่างโจ่งแจ้งได้”
“ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ก็แสร้งป่วย ข้าไม่อาจไปถามเขาที่หอดูดาวได้เช่นกัน เรื่องนี้จัดการยากยิ่ง”
“จักรพรรดิหยวนจิ่งเหรอ” นักบวชเต๋าจินเหลียนหรี่ตา และมองพิจารณาสวี่ชีอันด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก
“ไม่ได้ยินบริวารของจักรพรรดิที่กล้าเรียกเขาเช่นนี้เป็นเวลานานมาก” นัยน์ตาของนักพรตฉายแววประหลาดใจ และเอ่ยเสียงเบา
“เหมือนข้าจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป”
“มองข้ามอะไรเหรอ” สวี่ชีอันถามโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าก่อกบฏอยู่เบื้องหลัง” นักพรตเฒ่าประเมิน
ข้าไม่ได้ เจ้าพูดจาไร้สาระ อย่ากล่าวหาข้า… สวี่ชีอันมีสีหน้าจริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท”
นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ไม่เผยความจริงเช่นกัน
“คดีนี้ลึกล้ำยิ่งนัก ท่านนักพรตต้องการจะสอนอะไรข้าเหรอ” สวี่ชีอันปรึกษาอย่างระมัดระวัง
“ตอนที่เจ้าแสร้งเป็นศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในพรรคฟ้าดิน เจ้าชาญฉลาดมาก” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวติดตลก
ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมองดูพวกข้าวางกลอุบายอยู่ในกลุ่มไปพลางและยิ้มเอ็นดูไปพลางแน่ๆ… สวี่ต้าหลางประชดประชันเฒ่าเหรียญปากผีคนนี้ในใจ
“ข้ากำลังวิเคราะห์ให้เจ้า จากคำอธิบายของเจ้าเมื่อสักครู่นี้ มีจุดที่ผิดปกติอยู่สองสามจุด”
“ท่านนักพรตกล่าวมาได้เลย” ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายทันที
เขาเลือกสื่อสารกับนักพรตเฒ่าอย่างตรงไปตรงมา เพราะถูกใจสติปัญญากับประสบการณ์อันมากล้นของอีกฝ่าย
ถึงเฒ่าเหรียญปากผีจะทำให้ผู้คนดูหมิ่น แต่หากเป็นพันธมิตรกัน พวกเขาจะให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ผู้คนเสมอ
นักบวชเต๋าจินเหลียนครุ่นคิดเล็กน้อย และพูดว่า “จุดที่ผิดปกติจุดแรกคือความนิ่งดูดายของท่านโหราจารย์ หากคนที่ถูกกำราบในซังผอเป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งแห่งสำนักโหราจารย์ คนที่วิตกกังวลมากที่สุดควรจะเป็นเขาถึงจะถูก แต่เขาสงบนิ่งมาก… อืม ก็เป็นไปได้ว่าตาแก่ที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์คนนี้จะไม่อยู่ที่หอดูดาวนานแล้ว แต่แอบทำอะไรอยู่ก็มิอาจทราบได้”
สวี่ชีอันพยักหน้าเงียบๆ
ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งกับท่านโหราจารย์คนปัจจุบันต้องเปรียบเสมือนน้ำกับไฟเป็นแน่ เหตุผลง่ายมาก เมื่อท่านอาจารย์ถูกกำราบ ลูกศิษย์ก็จะได้เป็นท่านโหราจารย์อย่างสบายใจ และควบคุมสำนักโหราจารย์ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์พังทลายแล้ว มิฉะนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ผู้นำนิกายมนุษย์ก็หยุดไว้ไม่ได้เช่นกัน
“จุดที่ผิดปกติจุดที่สองคือจักรพรรดิหยวนจิ่ง วันที่สองที่เกิดคดีซังผอขึ้น เขายกเลิกการป้องกันเมือง ฮ่าๆ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ มีเหตุผลให้ปล่อยเสือกลับภูเขาที่ไหน”
สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นทันที “สองประเด็นนี้ข้าเคยไตร่ตรอง ตอนนั้นข้าคาดเดาว่า อาจจะเป็นการเปิดประตูเมือง เพื่อล่อเสือออกจากถ้ำ…อืม ข้าไม่อาจสัมผัสแและรับรู้ถึงสถานะของท่านโหราจารย์กับจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ ระดับมันสูงเกินไป”
“แน่นอน” นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ย “เจ้ามาคุยกับข้า ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องพวกนี้ใช่หรือไม่ หมายเลขหกเกี่ยวข้องกับคดีซังผอใช่หรือไม่”
“พูดให้ถูกคือ ศิษย์น้องของภิกษุเหิงหยวนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ หลังจากเขาหายไปอย่างไม่มีสาเหตุ ข้าก็มั่นใจในการคาดเดานี้มากขึ้น”
“นึกแล้วเชียวว่าเจ้าต้องเคยไปที่วัดมังกรเขียวจริงๆ และรู้ตัวตนของเหิงหยวนแล้ว” นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่แปลกใจ จากนั้นจึงถามกลับ “ศิษย์น้องเหรอ”
“วัดมังกรเขียวมีภิกษุรูปหนึ่ง สมญานามคือเหิงฮุ่ย หนีไปกับท่านหญิงผิงหยางธิดาของอวี้อ๋องปีกว่าแล้ว อวี้อ๋องตรอมใจจนล้มหมอนนอนเสื่อ เบื้องหลังของเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างขุนนางระดับสูงและขุนนางบุ๋น” สวี่ชีอันคว้ากาน้ำชา และเทน้ำหนึ่งแก้ว หลังจากชุ่มคอจึงพูดต่อ
“ภิกษุเหิงฮุ่ยขโมยอาวุธเวทมนตร์ที่ปกปิดกลิ่นอายของวัดมังกรเขียวไปเพื่อพาท่านหญิงผิงหยางหลบหนีจากการค้นหา ข้าสงสัยว่าอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนั้นภายหลังตกไปอยู่ในมือขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์โจวชื่อสวง”
นักบวชเต๋าจินเหลียนอดทนฟัง บางครั้งขมวดคิ้ว บางครั้งครุ่นคิด รอจนสวี่ชีอันพูดจบ เขาจึงเปิดปาก “ดังนั้น เจ้าจึงอยากสืบข้อมูลของเหิงฉุ่ยผ่านเหิงหยวน เพื่อยืนยันการคาดเดาของเจ้าใช่หรือไม่”
“อืม นี่คือช่องโหว่เดียวของข้าในตอนนี้ ท่านนักพรตจำได้หรือไม่ เหิงหยวนเคยบอกว่าศิษย์น้องถูกจับไป แต่เจ้าอาวาสของวัดมังกรเขียวกลับบอกว่าเหิงฮุ่ยหนีตามคนรักไป ระหว่างทางที่เหิงหยวนออกจากวัดมังกรเขียวไปตรวจสอบ เขาอาจจะได้รับเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้…”
“เจ้าหวังว่าข้าจะพาเจ้าไปหาเขาได้สินะ”
“รบกวนท่านนักพรตแล้ว”
…
แสงจันทร์ส่องสว่างจนดวงดาวหรี่แสงลง ห่างออกไปทางทิศใต้หลายหมื่นไมล์
เมื่อเทียบกับความหนาวและความแห้งแล้งของฤดูหนาวในเมืองหลวง สภาพภูมิอากาศทางทิศใต้ที่เผ่าพันธุ์กู่อาศัยอยู่นั้นชุ่มชื้น แม้แต่ฤดูที่หนาวที่สุดของปี เผ่าพันธุ์กู่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็สวมเพียงแค่เสื้อผ้าบางๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง