ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 133

บทที่ 133 เผ่าพันธุ์กู่
“ทุกอย่างมันดูสมเหตุสมผลในคราแรก แต่ไม่ว่าจะท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง หรืออ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด”

“อ๋องสยบแดนเหนือคุ้มกันชายแดนตลอดทั้งปี และข้าไม่รู้จักเขาดีพอ เจ้าเองก็เช่นกัน ทะเล่อทะล่าตัดสินว่าเขาวางแผนร้าย มันดูส่วนตัวไปหน่อย”

“อีกอย่าง อ๋องสยบแดนเหนือเป็นทหารระดับสาม ไม่อาจโจมตีระดับสองได้ในอนาคต ส่วนเขาจะเต็มใจเป็นจักรพรรดิหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง ฮ่าๆ แน่นอนว่า สมัยโบราณอำนาจมันสั่นคลอนจิตใจคนได้ หากข้าพูดว่าเขาจะไม่วางแผนก่อกบฏ ก็ถือว่าส่วนตัวอย่างหนึ่ง” นักบวชเต๋าจินเหลียนวิเคราะห์

“การโจมตีระดับสองกับการเป็นจักรพรรดิจะไม่ขัดกัน” สวี่ชีอันมีความคิดเห็นของตัวเอง “นี่เป็นการคาดคะเนของข้า ยังไม่ได้ค้นหาหลักฐาน รอข้ารวบรวมหลักฐานก่อน อ๋องสยบแดนเหนือบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ มองปราดเดียวก็รู้”

“เพียงแค่นักพรต ข้ายังสืบหาไม่พบ” สวี่ชีอันถอนหายใจ “แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะสั่งให้ข้ารับผิดชอบคดีนี้ แต่อ๋องสยบแดนเหนือเป็นองค์ชาย องค์ชายที่ครองกองกำลังทหารไว้ในมือ ข้าไม่อาจตรวจสอบตำหนักของเขาอย่างโจ่งแจ้งได้”

“ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ก็แสร้งป่วย ข้าไม่อาจไปถามเขาที่หอดูดาวได้เช่นกัน เรื่องนี้จัดการยากยิ่ง”

“จักรพรรดิหยวนจิ่งเหรอ” นักบวชเต๋าจินเหลียนหรี่ตา และมองพิจารณาสวี่ชีอันด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก

“ไม่ได้ยินบริวารของจักรพรรดิที่กล้าเรียกเขาเช่นนี้เป็นเวลานานมาก” นัยน์ตาของนักพรตฉายแววประหลาดใจ และเอ่ยเสียงเบา

“เหมือนข้าจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป”

“มองข้ามอะไรเหรอ” สวี่ชีอันถามโดยไม่รู้ตัว

“เจ้าก่อกบฏอยู่เบื้องหลัง” นักพรตเฒ่าประเมิน

ข้าไม่ได้ เจ้าพูดจาไร้สาระ อย่ากล่าวหาข้า… สวี่ชีอันมีสีหน้าจริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท”

นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ไม่เผยความจริงเช่นกัน

“คดีนี้ลึกล้ำยิ่งนัก ท่านนักพรตต้องการจะสอนอะไรข้าเหรอ” สวี่ชีอันปรึกษาอย่างระมัดระวัง

“ตอนที่เจ้าแสร้งเป็นศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในพรรคฟ้าดิน เจ้าชาญฉลาดมาก” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวติดตลก

ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมองดูพวกข้าวางกลอุบายอยู่ในกลุ่มไปพลางและยิ้มเอ็นดูไปพลางแน่ๆ… สวี่ต้าหลางประชดประชันเฒ่าเหรียญปากผีคนนี้ในใจ

“ข้ากำลังวิเคราะห์ให้เจ้า จากคำอธิบายของเจ้าเมื่อสักครู่นี้ มีจุดที่ผิดปกติอยู่สองสามจุด”

“ท่านนักพรตกล่าวมาได้เลย” ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายทันที

เขาเลือกสื่อสารกับนักพรตเฒ่าอย่างตรงไปตรงมา เพราะถูกใจสติปัญญากับประสบการณ์อันมากล้นของอีกฝ่าย

ถึงเฒ่าเหรียญปากผีจะทำให้ผู้คนดูหมิ่น แต่หากเป็นพันธมิตรกัน พวกเขาจะให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ผู้คนเสมอ

นักบวชเต๋าจินเหลียนครุ่นคิดเล็กน้อย และพูดว่า “จุดที่ผิดปกติจุดแรกคือความนิ่งดูดายของท่านโหราจารย์ หากคนที่ถูกกำราบในซังผอเป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งแห่งสำนักโหราจารย์ คนที่วิตกกังวลมากที่สุดควรจะเป็นเขาถึงจะถูก แต่เขาสงบนิ่งมาก… อืม ก็เป็นไปได้ว่าตาแก่ที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์คนนี้จะไม่อยู่ที่หอดูดาวนานแล้ว แต่แอบทำอะไรอยู่ก็มิอาจทราบได้”

สวี่ชีอันพยักหน้าเงียบๆ

ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งกับท่านโหราจารย์คนปัจจุบันต้องเปรียบเสมือนน้ำกับไฟเป็นแน่ เหตุผลง่ายมาก เมื่อท่านอาจารย์ถูกกำราบ ลูกศิษย์ก็จะได้เป็นท่านโหราจารย์อย่างสบายใจ และควบคุมสำนักโหราจารย์ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์พังทลายแล้ว มิฉะนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ผู้นำนิกายมนุษย์ก็หยุดไว้ไม่ได้เช่นกัน

“จุดที่ผิดปกติจุดที่สองคือจักรพรรดิหยวนจิ่ง วันที่สองที่เกิดคดีซังผอขึ้น เขายกเลิกการป้องกันเมือง ฮ่าๆ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ มีเหตุผลให้ปล่อยเสือกลับภูเขาที่ไหน”

สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นทันที “สองประเด็นนี้ข้าเคยไตร่ตรอง ตอนนั้นข้าคาดเดาว่า อาจจะเป็นการเปิดประตูเมือง เพื่อล่อเสือออกจากถ้ำ…อืม ข้าไม่อาจสัมผัสแและรับรู้ถึงสถานะของท่านโหราจารย์กับจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ ระดับมันสูงเกินไป”

“แน่นอน” นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ย “เจ้ามาคุยกับข้า ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องพวกนี้ใช่หรือไม่ หมายเลขหกเกี่ยวข้องกับคดีซังผอใช่หรือไม่”

“พูดให้ถูกคือ ศิษย์น้องของภิกษุเหิงหยวนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ หลังจากเขาหายไปอย่างไม่มีสาเหตุ ข้าก็มั่นใจในการคาดเดานี้มากขึ้น”

“นึกแล้วเชียวว่าเจ้าต้องเคยไปที่วัดมังกรเขียวจริงๆ และรู้ตัวตนของเหิงหยวนแล้ว” นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่แปลกใจ จากนั้นจึงถามกลับ “ศิษย์น้องเหรอ”

“วัดมังกรเขียวมีภิกษุรูปหนึ่ง สมญานามคือเหิงฮุ่ย หนีไปกับท่านหญิงผิงหยางธิดาของอวี้อ๋องปีกว่าแล้ว อวี้อ๋องตรอมใจจนล้มหมอนนอนเสื่อ เบื้องหลังของเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างขุนนางระดับสูงและขุนนางบุ๋น” สวี่ชีอันคว้ากาน้ำชา และเทน้ำหนึ่งแก้ว หลังจากชุ่มคอจึงพูดต่อ

“ภิกษุเหิงฮุ่ยขโมยอาวุธเวทมนตร์ที่ปกปิดกลิ่นอายของวัดมังกรเขียวไปเพื่อพาท่านหญิงผิงหยางหลบหนีจากการค้นหา ข้าสงสัยว่าอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนั้นภายหลังตกไปอยู่ในมือขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์โจวชื่อสวง”

นักบวชเต๋าจินเหลียนอดทนฟัง บางครั้งขมวดคิ้ว บางครั้งครุ่นคิด รอจนสวี่ชีอันพูดจบ เขาจึงเปิดปาก “ดังนั้น เจ้าจึงอยากสืบข้อมูลของเหิงฉุ่ยผ่านเหิงหยวน เพื่อยืนยันการคาดเดาของเจ้าใช่หรือไม่”

“อืม นี่คือช่องโหว่เดียวของข้าในตอนนี้ ท่านนักพรตจำได้หรือไม่ เหิงหยวนเคยบอกว่าศิษย์น้องถูกจับไป แต่เจ้าอาวาสของวัดมังกรเขียวกลับบอกว่าเหิงฮุ่ยหนีตามคนรักไป ระหว่างทางที่เหิงหยวนออกจากวัดมังกรเขียวไปตรวจสอบ เขาอาจจะได้รับเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้…”

“เจ้าหวังว่าข้าจะพาเจ้าไปหาเขาได้สินะ”

“รบกวนท่านนักพรตแล้ว”

แสงจันทร์ส่องสว่างจนดวงดาวหรี่แสงลง ห่างออกไปทางทิศใต้หลายหมื่นไมล์

เมื่อเทียบกับความหนาวและความแห้งแล้งของฤดูหนาวในเมืองหลวง สภาพภูมิอากาศทางทิศใต้ที่เผ่าพันธุ์กู่อาศัยอยู่นั้นชุ่มชื้น แม้แต่ฤดูที่หนาวที่สุดของปี เผ่าพันธุ์กู่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็สวมเพียงแค่เสื้อผ้าบางๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง