อวี้อ๋องทรงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วส่ายพระพักตร์ด้วยสีพระพักตร์สงบ “ข้าก้าวขาครึ่งหนึ่งออกมาจากงานราชการมานานแล้ว คงไม่ใช่การโจมตีและป้ายความผิดกันหรอกนะ พูดมาซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
แม้จะทรงตรัสเช่นนี้ แต่แววพระเนตรของพระองค์กลับไม่เป็นเช่นนั้น และยังมีแววดูถูกดูแคลน เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่ทรงเชื่อในสิ่งที่สวี่ชีอันพูด
“มากกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา วัดมังกรเขียวมีภิกษุรูปหนึ่งนามเหิงฮุ่ย มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหญิงที่มาจาริกแสวงบุญ ทั้งสองตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน หนีไปด้วยกันพร้อมกับอาวุธเวทมนตร์ที่สามารถบดบังลมหายใจ เพราะว่าหญิงผู้นั้นมีฐานะไม่ธรรมดา หากไม่นำอาวุธเวทมนตร์บดบังลมหายใจติดตัวไปด้วย ย่อมหนีออกจากเขตเมืองหลวงไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
อวี้อ๋องผู้ทรงก้มพระพักตร์เสวยพระสุธารสชาทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทันที ทรงจองหน้าสวี่ชีอันเขม็ง
สวี่ชีอันกล่าวว่า “ภิกษุรูปนั้นนามเหิงฮุ่ย อวี้อ๋องอาจจะไม่ทรงทราบนามของเขา แต่คิดว่าจะต้องทรงรู้จักผู้หญิง นางก็คือท่านหญิงผิงหยาง พระธิดาของพระองค์”
ปัง!
อวี้อ๋องทรงบีบถ้วยชาสีฟ้าด้วยความลืมตัว สีพระพักตร์ทั้งตื่นเต้นและดุร้าย ทรงตรัสด้วยความกริ้วว่า “เหลวไหลทั้งเพ ผิงหยางมีความรู้และมีเหตุมีผลตั้งแต่ยังเด็ก จะหนีตามภิกษุนอกรีตไปได้อย่างไร…เข้ามา เข้ามา ลากคนชั่วนี่ไปตัดหัวซะ”
ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่นอกห้องโถงกรูกันเข้ามาทันที แล้วล้อมสวี่ชีอันไว้ เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย มองพ่อชราที่แยกเขี้ยวยิงฟัน ได้แต่รู้สึกสะเทือนใจ ข่าวแบบนี้ ไม่ว่าพ่อคนไหนได้ยินแล้วก็คงหัวใจสลายเหมือนกัน
แต่สำหรับอวี้อ๋องแล้ว นี่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
หลังจากที่ทหารรักษาพระองค์กรูกันเข้ามา อวี้อ๋องที่เมื่อครู่ยังทรงเต้นเร่าๆ ด้วยความกริ้ว จู่ๆ ก็ทรงหายกริ้ว แล้วทรงโบกพระหัตถ์ ให้ทหารรักษาพระองค์ถอยออกไป
“ใช่ ข้าไม่ประหลาดใจเลย ก่อนที่ผิงหยางจะหายตัวไป ข้าเคยจัดการเรื่องการแต่งงานให้นาง แต่นางพยายามคัดค้านอย่างสุดกำลัง แล้วยังบอกว่าตัวเองมีคนที่ชอบแล้ว” อวี้อ๋องทรงฝืนแย้มพระสรวล
“ช่างเหลวไหลเสียนี่กระไร การแต่งงานของลูกสาวพ่อแม่ต้องเป็นคนจัดการให้โดยผ่านการแนะนำจากแม่สื่อ ผู้หญิงเช่นนางจะตัดสินใจเองได้อย่างไร นางจะรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นไม่ได้กำลังหลอกลวงนางอยู่ หรือมีจุดประสงค์อะไรในตัวนาง”
แม้ว่าข้าจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแต่งงานของลูกสาวพ่อแม่ต้องเป็นคนจัดการให้โดยผ่านการแนะนำจากแม่สื่อ แต่สำหรับยุคนี้ ความรักแบบเสรีเป็นอันตรายถึงชีวิตจริงๆ ไม่เหมือนยุคของข้า ที่เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิกกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ข้าได้ยินแล้วก็โกรธมาก รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที จึงได้ตบหน้านางไป จากนั้นไม่นาน นางก็หายตัวไป จะต้องถูกชายนอกรีตคนนั้นลักพาตัวไปอย่างแน่นอน…ข้าคิดเช่นนั้น ในตอนแรกข้าโกรธจนต้องกัดฟันด้วยความเคียดแค้น โกรธที่นางไร้ยางอาย โกรธที่นางทำให้เชื้อพระวงศ์ต้องอับอาย แต่เวลายิ่งผ่านไปนานเท่าไร ข้าก็ยิ่งคิดถึงนาง อยากให้นางกลับมา กลับมาอยู่เคียงข้างข้า เรียกข้าว่าเสด็จพ่อ เรื่องอื่นข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
…บางทีพระองค์อาจจะไม่ได้พบนางอีกแล้ว
จากบทสนทนาระหว่างเหิงฮุ่ยกับบุตรชายของผิงหย่วนป๋อในคืนนั้น ไม่ยากที่จะรู้ได้ว่าเหิงฮุ่ยเป็นคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ภิกษุเหิงฮุ่ยเป็นเช่นนี้ แล้วท่านหญิงผิงหยางที่หนีตามเขาไปละ
จุดจบของผู้หญิงคนนั้นต้องเผชิญมีเพียงสามประการ หนึ่ง เสียชีวิตแล้ว สอง ถูกผู้อื่นยึดครอง
สามคือทั้งสองประการที่กล่าวมา
“กระหม่อมมาที่นี่ ไม่ได้มาเพื่อสะกิดรอยแผลของอวี้อ๋อง และไม่ได้มาเพื่อบอกพระองค์ว่าผู้ชายที่หนีไปพร้อมกับท่านหญิงผิงหยางเป็นใคร” สวี่ชีอันพูด
อวี้อ๋องทรงชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ทรงตื่นเต้น พระองค์ทรงถลันเข้าไปหาสวี่ชีอัน พระกรข้างหนึ่งจับข้อมือเขาไว้ อีกข้างหนึ่งดึงคอเสื้อ “เจ้ามีข่าวของนางเหรอ นางอยู่ที่ไหน นางอยู่ที่ไหน”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“…ข้าเสียมารยาทไปหน่อย” อวี้อ๋องปล่อยมือทั้งสองข้าง แล้วถอยหลังหนึ่งก้าว พระองค์ทรงยืดพระวรกายตรง แล้วทรงก้มลงแสดงการคารวะ ตรัสด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า
“หากใต้เท้าสวี่สามารถช่วยข้าตามหานางพบ เท่ากับข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านอย่างใหญ่หลวง ต่อไปจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
“กระหม่อมมาที่นี่ ก็เพราะเรื่องนี้…คดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อ ท่านอ๋องทรงเคยได้ยินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่เคย” อวี้อ๋องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผิงหย่วนป๋อเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันถาม
“เขาก็เป็นขุนนางชั้นสูงคนหนึ่ง เมื่อก่อนเคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แต่ว่าผิงหย่วนป๋อมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่พอใจกับอำนาจที่มีอยู่ในมือ สมคบกับข้าราชการพลเรือนจนขุนนางชั้นสูงคนอื่นๆ ต่างพากันหน่ายหนี” อวี้อ๋องทรงตรัส
สวี่ชีอันพยักหน้า แล้วพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่าพระองค์เกือบจะเข้าร่วมสำนักราชเลขาธิการ””
อวี้อ๋องทรงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “ปีที่แล้วฝ่าบาททรงมีความคิดเช่นนี้จริงๆ เวลานี้สำนักราชเลขาธิการเป็นเหมือนโลกของหวางเจินเหวิน แม้ว่าจะมีกลุ่มอื่นๆ และเว่ยเยวียนถ่วงดุลอำนาจอยู่ แต่ก็เป็นเพียงการรักษาสมดุลเท่านั้น ข้ามีขุนนางชั้นสูงคอยหนุนหลัง แล้วยังเป็นเชื้อพระวงศ์ ฝ่ายบาททรงคิดที่จะสนับสนุนให้ข้าเข้าร่วมฝ่ายปกครอง เพื่อกลับดำให้เป็นขาว”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระปรีชามาก แม้ว่าปกติจะจะทรงเพิกเฉยต่องานของราชสำนัก ไม่ทันไรก็ผลาญทรัพย์สิน แต่ถึงจะไม่สนใจไยดีกับกิจการบ้านเมืองเป็นเวลาสิบปี แต่ก็ยังคงสามารถควบคุมราชสำนักไว้ได้อย่างดี กลวิธีนี้เรียกได้ว่าหลักแหลมยิ่งนัก…สวี่ชีอันถามโดยไม่ทันคิดว่า
“เวลานี้ท่านอ๋องทรงพักฟื้นอยู่ที่ตำหนัก คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือผู้ใด”
“สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน และเจ้ากรมจางฟ่งแห่งกรมทหาร…หึ เดิมทีนั่นเป็นตำแหน่งของข้า” อวี้อ๋องยิ้มอย่างจนใจ
พูดมาตั้งมากมาย พระองค์ก็ยากที่จะซ่อนความเหนื่อยล้าไว้ได้ สวี่ชีอันก็ได้รู้ข้อมูลที่อยากรู้แล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวคำอำลา
ฝีเท้าม้าว่องไว ม้าตัวเมียตัวน้อยตัวนี้ถูกอารองขี่มาหลายปีแล้ว ตอนนี้ถูกหลานชายขี่ แม้ว่าคนที่อยู่บนม้าจะแตกต่างกัน แต่มันก็ไม่มีอารมณ์เปราะบางแม้แต่น้อย ยังคงเชื่องและมีความสุข
แต่อารมณ์ของสวี่ชีอันไม่ได้ดีเช่นนั้น จากการคาดการณ์ตามคำพูดของอวี้อ๋อง เรื่องการหนีตามกันไปของท่านหญิงผิงหยางและเหิงฮุ่ย บางทีอาจเป็นหลุมพรางเดียวกัน
จัดการกับพระองค์ไม่ได้ แล้วยังจัดการกับพระธิดาของพระองค์ไม่ได้อีกเหรอ
คนที่เล่นการเมือง มีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง ความเป็นไปได้นี้สูงมาก
การแก้แค้นของเหิงฮุ่ยก็ได้พิสูจน์ประเด็นนี้แล้ว
“จะเป็นใครกัน สมุหราชเลขาธิการหวาง เจ้ากรมจาง หรือทั้งคู่…แต่ประเด็นนี้มีปัญหาอย่างหนึ่ง การต่อสู้ระหว่างกลุ่มข้าราชการพลเรือนกับกลุ่มข้าราชการชั้นสูง เกี่ยวอะไรกับคดีทะเลสาบซังผอและเผ่าพันธุ์ปีศาจ นอกจากจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว ยังมีใครรู้อีกว่ามีสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผอ แย่แล้ว เป้าหมายต่อไปในการแก้แค้นของเหิงฮุ่ย ถ้าไม่ใช่สมุหราชเลขาธิการ ก็เป็นเจ้ากรมแห่งกรมทหาร”
สวี่ชีอันรู้สึกหนักใจ กดท้องม้าอย่างแรง ควบม้าด้วยความเร็วสูงสุดไปยังพระราชวัง และถูกสกัดที่ทางเข้าพระราชวัง
“เหตุใดเว่ยกงยังคงอยู่ในวัง”
“จากไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว” ราชองครักษ์รักษาเมืองตอบ
สวี่ชีอันรีบหันหัวม้าทันที ออกจากเขตพระราชฐาน ควบม้าห้อเหยียดเต็มฝีเท้าไปตามถนนที่กว้างขวางของเมืองชั้นในอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็เห็นรถม้าของเว่ยเยวียน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง