ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 139

บทที่ 139 เหิงฮุ่ยปรากฏตัว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของแมวสีส้มก็แสดงอารมณ์ ‘ถอนหายใจอย่างโล่งอก’ แบบมนุษย์ออกมา

“มียาจวี้หยวนแล้ว อึกไม่กี่วัน การบำเพ็ญของข้าก็จะสามารถฟื้นฟูได้” แมวสีส้มพูดภาษาคน ด้วยน้ำเสียงสบายๆ

ในสถานที่เช่นเมืองหลวงนี้ หากไม่มีความสามารถในการป้องกันตัวเองนับว่าอันตรายมาก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกเหยี่ยวและสุนัขของราชสำนักพบเข้า หรืออาจจะพบกับคนประเภทเดียวกันที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองหลวง กดขี่ข่มเหง

สรรพคุณของยาจวี้หยวนดีขนาดนี้เลยเหรอ ดีมากเลย หากผู้นำเต๋าฟื้นฟูแล้ว กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีก็สามารถสนทนาแบบส่วนตัวได้แล้ว…สวี่ชีอันทั้งตกใจและดีใจ ขณะเดียวกันก็ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า

“มาจากลัทธิเต๋าเหมือนกัน เหตุใดผู้นำเต๋ายังต้องขอยาจากนิกายมนุษย์อีก นิกายปฐพีไม่เชี่ยวชาญในการปรุงยาเหรอ”

แมวสีส้มเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ต้นทุนของยาจวี้หยวน ประมาณทองคำหนึ่งร้อยตำลึง และมียาบางชนิด แม้จะมีเงินก็ซื้อมิอาจได้”

ไม่ใช่เพราะนิกายปฐพีฝีมือไม่เอาไหน แต่เป็นเพราะนิกายมนุษย์นั้นไร้มนุษยธรรม…นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ สวี่ชีอันอยากจะหัวเราะแต่ก็เกรงใจ

“วันนี้มีความคืบหน้าอะไรบ้าง” แมวสีส้มกระโดดขึ้นโต๊ะ และนั่งยองๆ ข้างตะเกียงน้ำมัน ดวงตาแมวสีส้มในห้องที่มีแสงสลัวดูแปลกจนน่ากลัว

สวี่ชีอันเล่าข้อมูลที่ได้มาจากตำหนักของอวี้อ๋อง รวมถึงการคาดการณ์ของตัวเอง

แมวสีส้มฟังจนจบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยกขาหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว คิดจะเลีย แต่ก็อดกลั้นไว้ วางขาลงอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า

“การพิจารณาของเจ้าถูกต้อง การหนีตามกันไปของภิกษุเหิงฮุ่ยและท่านหญิงผิงหยางเกี่ยวข้องกับการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในราชสำนัก… เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเหิงฮุ่ยยังมีชีวิตอยู่ ทำไมจึงไม่ออกมาเร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้ แต่กลับรอจนเกิดคดีทะเลสาบซังผอแล้วจึงออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยกำลังและฝีมือของเขา ยังไม่ได้ระดับที่จะมีส่วนร่วมในคดีทะเลสาบซังผอ”

แม้ว่าจะเป็นประโยคคำถาม แต่ในแววตากลับไม่มีความฉงน

สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง “เบื้องหลังเขายังมีอิทธิพลอยู่ เดิมที่ข้าคิดว่าผู้มีอิทธิพลนั้นคืออ๋องสยบแดนเหนือ… หากไม่ใช่เพื่อก่อกบฏ ถ้าเช่นนั้นจุดประสงค์ในการปล่อยสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้คืออะไร ทำไปทำมา ผลปรากฏว่ากำจัดผิงหย่วนป๋อได้เพียงคนเดียวเท่านั้น… ท่านผู้นำเต๋า ท่านคิดว่าจะเป็นการกระทำของอวี้อ๋องหรือไม่ การปล่อยสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ แล้วฆ่าศัตรูจนหมดเกลี้ยง”

“เจ้าหมายความว่า ท่านหญิงผิงหยางทรงสิ้นพระชนม์แล้ว อวี้อ๋องจึงทรงแก้แค้นแทนพระธิดา… ความเป็นไปได้ประเด็นนี้ไม่มาก หากอวี้อ๋องทรงทราบเรื่องนี้ ในฐานะเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ หากทรงคิดจะแก้แค้นก็ไม่จำเป็นต้องทำรุนแรงเช่นนี้” แมวสีส้มส่ายหัว

“เหตุใดความคิดของเจ้ามักจะหยุดอยู่ที่ตัวเชื้อพระวงศ์เสมอ”

สวี่ชีอันพูดด้วยความท้อใจว่า “ความสงสัยในตัวอ๋องสยบแดนเหนือนั้นน้อยลงแล้ว ความดีความชอบที่ผ่านมาช่างไร้ค่า…“เฮ้อ”

“ความดีความชอบที่ผ่านมาช่างไร้ค่าเหรอ” แมวสีส้มเอียงคอ

“ความพยายามที่ผ่านมาสูญเปล่าหมดเลย” สวี่ชีอันตอบ

แมวสีส้มทำสีหน้าเหลอหลาอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าพูดจาช่างน่าฟังเสียจริง”

ถ้าเหิงฮุ่ยไม่ปรากฏตัว และสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ถูกซ่อนอยู่ตลอดไป สวี่ชีอันจะยังคงสงสัยในตัวอ๋องสยบแดนเหนือ คิดว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำการใหญ่อยู่

แต่การกระทำของภิกษุเหิงฮุ่ยในเวลานี้ ช่างไม่สอดคล้องกับความสามารถของสิ่งที่ปิดผนึกไว้

อย่างไรก็น่าจะลองลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิดู

แต่ว่า สวี่ชีอันก็ไม่ได้ละทิ้งความสงสัยอย่างสิ้นเชิง คดีทะเลสาบซังผอยังคงมีหมอกหนาปกคลุม เขาพอจะวินิจฉัยได้ครึ่งหนึ่งแล้ว นอกจากนั้น ไม่ว่าสวี่ชีอันจะใช้ดวงตาสุนัขไทเทเนียมอัลลอยด์ 24K ก็ไม่สามารถมองทะลุได้

แมวสีส้มกระดิกหางเบาๆ เสนอความคิดว่า “ข้ารู้สึกว่า บางที่เจ้าอาจจะกำลังคิดผิด”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ท่านผู้นำเต๋าหมายความว่าอย่างไร”

“ไม่ว่าจะเป็นอ๋องสยบแดนเหนือก็ดี อวี้อ๋องก็ดี ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งคู่ ที่เจ้าสงสัยทั้งสองพระองค์ ก็เป็นเพราะเรื่องสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ใต้ทะเลสาบซังผอนั้นมีเพียงจักรพรรดิหยวนจิ่งเพียงพระองค์เดียวที่ทรงทราบ”

สวี่ชีอันพยักหน้า

แมวสีส้มกล่าวต่อไปว่า “หากตัดท่านโหราจารย์และจักรพรรดิหยวนจิ่งออกไป ศาสนาพุทธก็รู้เช่นกัน”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “ศาสนาพุทธเป็นหนึ่งในผู้นำในเวลานั้น หลังจากปลดปล่อยสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผอแล้ว เจ้าอาวาสผานซู่แห่งวัดมังกรเขียวก็เดินทางไปแดนตะวันตก แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”

แมวสีส้มพูดว่า “เผ่าพันธุ์ปีศาจ”

คำสองคำง่ายๆ นั้นทำให้สวี่ชีอันได้รับแรงดลใจขึ้นมาทันที

ข้าจำกัดขอบเขตผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังไว้ที่เชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด ถ้าสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้เป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง การคาดเดานี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล…แต่ว่า ถ้าไม่ใช่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเล่า ถ้าเช่นนั้นคนที่รู้เรื่องสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ใต้ทะเลสาบซังผอก็ไม่ได้มีแค่จักรพรรดิหยวนจิ่ง ท่านโหราจารย์ ศาสนาพุทธ แต่ยังมีผู้มีอิทธิพลอีกคนหนึ่งที่ข้ามองข้ามไป

นั่นก็คือผู้มีอิทธิพลที่สิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ในสังกัดเขา…

สิ่งที่ถูกปิดผนึกไม่สึกหรอมาเป็นเวลาห้าร้อยปีแล้ว จะต้องเป็นผู้มีอิทธิพลที่น่าเกรงขามที่สุดอย่างแน่นอน… จะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือไม่ อืม ประเด็นนี้ยังต้องรอการพิสูจน์

สวี่ชีอันหยิบแจกันออกมา แล้ววางไว้ข้างแมวสีส้ม แล้วหลุดปากพูดว่า “วันนี้ข้าพบท่านราชครู อืม แตกต่างจากที่ข้าคิดไว้เล็กน้อย”

แมวสีส้มหรี่ตามองเขา “ไม่ได้งดงามราวเทพธิดาอย่างที่เจ้าคิดเหรอ”

ขณะที่สวี่ชีอันกำลังจะพยักหน้า เขาได้ยินแมวสีส้มกล่าวเสริมว่า “บางทีอาจจะมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าเด็กสาวจากสำนักสังคีตเสียด้วยซ้ำ ทำให้เจ้าน้ำลายสอเลยละสิ”

ไม่ใช่ๆ เพียงแค่อดคิดที่จะยื่นดาบให้เขาจัดการไม่ได้…สวี่ชีอันพูดขึ้นทันทีว่า “นางมีปัญหาจริงๆ”

ที่บ้านมีผู้หญิงที่สวยอย่างอาสะใภ้ สาวงามอย่างหลิงเยวี่ย แล้วยังมีฉู่ไฉ่เวยที่ร่าเริงและน่ารัก และฝูเซียงราชินีน้อยผู้งดงามแห่งสถานเริงรมย์ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเทพีภูเขาน้ำแข็งผู้เย็นชาและเย่อหยิ่ง…สวี่ชีอันเคยเห็นสาวงามมามากมาย

แต่ไม่เคยจิตใจฟุ้งซ่านชนิดไม่สามารถควบคุมมาก่อน ในสมองคิดถึงแต่สีของเปลือกกล้วย

นี่เป็นปัญหาของราชครูเอง

แมวสีส้มไม่ได้ตอบตามตรง แต่ใช้วิธีถามกลับ “เจ้าคิดว่านิกายมนุษย์เหตุใดจึงชื่อว่านิกายมนุษย์ เหตุใดลั่วอวี้เหิงจะต้องเป็นราชครู”

ชะงักไปนิดนึง แลัวก็พูดต่อว่า “ลั่วอวี้เหิงเป็นบุตรสาวของอดีตผู้นำนิกายมนุษย์”

บอกเรื่องนี้กับข้าทำไม เจ้ากำลังบอกข้าเป็นนัยว่าความจริงแล้วผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวเหรอ ภายนอกสวี่ชีอันยิ้ม

“เท่าที่ข้ารู้ ลัทธิเต๋าทั้งสามนิกาย นอกจากนิกายฟ้าที่ตัดกิเลสและเยื่อใยแล้ว ทั้งนิกายมนุษย์และนิกายปฐพีล้วนสามารถแต่งงานได้ตามปกติ ผู้นำลัทธิเต๋ามีทายาทหรือไม่”

แมวสีส้มส่ายหัว “สมัยยังหนุ่มก็เคยคิด แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความรู้สึกก็จืดจางลง สำหรับเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงนั้น เป็นเรื่องที่น่าสังเวชแท้ๆ”

เป็นเรื่องน่าสังเวชจริงๆ ไม่ใช่ว่าพอถึงวัยกลางคนแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดูจะเป็นเรื่องสุดวิสัย สวี่ชีอันทอดถอนใจแล้วพูดว่า

“ท่านผู้นำเต๋าหลุดพ้นจากรสนิยมต่ำๆ แล้ว น่าเลื่อมใสยิ่งนัก”

ถ้าผู้ชายทั้งโลกเป็นเหมือนท่าน ข้าก็สบายใจแล้ว…เขาคิดเสริมอยู่ในใจ

กลางดึก ถนนในตัวเมืองชั้นในนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน ลมหนาวพัดผ่านยอดไม้ทำให้เกิดเสียงโหยหวน

เสียงฝีเท้าที่พร้อมเพรียงดังมาจากระยะไกล ทหารยามลาดตระเวนแถวหนึ่งเดินมาจากปลายถนน หลังจากเกิดคดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อเมื่อคืนนี้แล้ว กองกำลังป้องกันของตัวเมืองชั้นในก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า

เงาดำเงาหนึ่งกำลังเดินอยู่ในตัวเมืองชั้นใน เขาเดินผ่านถนนและตรอกซอกซอย ดูเหมือนไม่มีการหลบเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล กองดาบ และองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ ความจริงแล้วทุกครั้งที่มีสายตาจับจ้องมาที่นี่ ก็มักจะถูกเครื่องกีดขวางมาบังไว้ บางครั้งก็เป็นกำแพงล้อมรอบ บางครั้งก็เป็นชายคา

เขามาถึงจวนของเจ้ากรมแห่งกรมทหารอย่างราบรื่น เงยหน้ามองแผ่นป้ายแวบหนึ่ง ใบหน้าครึ่งล่างโผล่พ้นออกมาจากหมวก มุมปากสีม่วงประหลาดปรากฏรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง

“นั่นใคร”

ทหารยามที่เฝ้าประตูเพิ่งสังเกตเห็นชายในชุดคลุมยาวสีดำ ชักดาบยาวแบบมาตรฐานออกมา พร้อมตะคอกเสียงดัง

ชายชุดคลุมยาวสีดำยกแขนขวาใต้เสื้อคลุมขึ้น ผิวสีแดงสดมีเส้นเลือดสีเขียวปูดเป็นเส้นๆ เหมือนแขนของปีศาจ

เขาเล็งฝ่ามือไปที่ทหารยาม เล็งไปที่ประตู จากนั้นก็ดันออกไปทันที

ตู้ม!

ประตูกลายและทหารยามกลายเป็นผุยผง พลังปราณระเบิดเป็นคลื่นสั่นสะเทือนเป็นระลอก ทำให้กำแพงและทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ กลายเป็นผุยผง

จวนเจ้ากรมแห่งกรมทหาร ตะเกียงทุกดวงสว่างขึ้น น้ำเสียงหวาดกลัวและเสียงร้องเรียกดังต่อเนื่องกันเป็นระลอกๆ

องครักษ์ในจวนถือดาบวิ่งไปที่ประตู

ไม่มีสิ่งกีดขวางเบื้องหน้าชายสวมชุดคลุมสีดำอีกต่อไป เขาก้าวขายาวๆ เข้าไปในจวนของเจ้ากรมแห่งกรมทหาร ดวงตาสีดำสนิทใต้หมวก จ้องมองดวงไฟในจวนอย่างเย็นชาดุร้าย

ทันใดนั้น ทันทีที่เขาเข้าไปในจวนของเจ้ากรม ทิวทัศน์รอบๆ ก็เปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมของชายที่สวมชุดคลุมสีดำก็ค่อยๆ หันไปทีละนิด เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ

เขาปรากฏตัวในเขตเมืองที่รกร้าง ถนนที่ชำรุดทรุดโทรม หญ้าที่เหลืองแห้งกรอบบริเวณรอบๆ มีบ้านเรือนที่เรียบง่ายเห็นรางๆ อยู่ห่างไกลออกไป

นี่เป็นพื้นที่รกร้างที่แม้แต่คนจนก็ไม่อยากมา สถานที่คล้ายๆ กันนี้ในเมืองหลวงมีอยู่หลายแห่ง เพียงแต่เมืองหลวงของต้าฟ่งนั้นใหญ่มาก สถานที่เช่นนี้ถูกราชสำนักลืมเลือนไปแล้ว

“ข้าได้ติดตั้งค่ายกลไว้ในจวนเจ้ากรมแห่งกรมทหารแล้ว” มีคนพูดคุยกันเบาๆ

ชายสวมชุดคลุมดำหันกลับมา และเห็นเงาในชุดขาวยืนหันหลังให้เขา มือทั้งสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง ผมยาวและชุดขาวพลิ้วไหว อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง

ท่าทางผึ่งผาย ให้ความรู้สึกคุ้นตาที่ไม่เหมือนใคร

“เจ้าเป็นใคร” ชายสวมชุดคลุมดำถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ในเมืองหลวง มีคนไม่รู้ว่าข้าเป็นใครจริงเหรอ พ่อหนุ่ม เจ้าประสบความสำเร็จในการดึงดูดความสนใจจากข้าแล้ว” ชายชุดขาวกล่าว

ชายสวมชุดคลุมดำทำเสียงฮึอย่างเย็นชา ยกแขนขวาขึ้น และออกแรงดันเบาๆ ไปทางชายชุดขาว

ขณะที่พลังปราณระเบิด เงาของชายชุดขาวก็สลายไปราวกับเงาสะท้อนในน้ำ

“เจ้าคิดว่าข้าอยู่ที่นั่น แต่ความจริงแล้วข้าอยู่ที่นี่” ชายชุดขาวปรากฏตัวในอีกทางหนึ่ง ยังคงยืนหันหลังให้ชายสวมชุดคลุมดำ

“นักเล่นแร่แปรธาตุระดับสี่เหรอ” ชายสวมชุดคลุมดำพูดเสียงเบา ยิ้มเยาะทันที “ฝีมือแค่ระดับสี่ ก็กล้ามาขวางทางข้า”

น้ำเสียงกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นยอดฝีมือระดับสูงอยู่ในสายตา

ฝีมือแค่ระดับสี่ก็กล้ามาขวางทางข้า… ชายชุดขาวพึมพำเบาๆ สองสามประโยค แล้วกล่าวชมว่า “พูดได้ดี ช่างเป็นคำพูดที่โอหังมาก สร้างแรงบันดาลใจให้ข้ายิ่งนัก”

หยุดชะงักนิดหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทหารระดับสี่เช่นเจ้า ก็คู่ควรแก่การยื่นมือมาช่วยผู้อื่นต่อหน้าข้าเช่นนั้นเหรอ”

ชายสวมชุดคลุมดำตกตะลึง ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่ในไม่ช้าเขาก็รู้แล้วว่า ทั้งสี่ทิศมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสวมเครื่องแบบสีดำ เสื้อคลุมสั้น ปักฆ้องทองคำที่หน้าอก ปรากฏตัวขึ้นทิศละคน

ฆ้องทองคำทางทิศตะวันออกสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ฆ้องทองคำทางทิศตะวันตกใบหน้างดงามราวกับหญิงสาว มุมปากยิ้มเย็นชา ฆ้องทองคำทางทิศเหนือกอดดาบยาวไว้กับอก แต่ไม่ใช่ดาบยาวแบบมาตรฐาน ฆ้องทองคำทางใต้มีสายตาแหลมคมดุจมีด มีตีนกาละเอียดอยู่ที่บริเวณหางตา

กึกๆๆ… เสียงหน้าไม้ดังขึ้น ทางด้านซ้ายของชายชุดขาว ไม่รู้ว่ามีหน้าไม้ยิงต่อเนื่อง ขึ้นสายอัตโนมัติยาวเป็นแถวปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

ทางด้านขวาเป็นปืนใหญ่ขนาดเล็ก

ปังๆๆ… ตูมๆๆ…

ลูกศรหน้าไม้และกระสุนถูกยิงออกไปพร้อมกัน โดยมุ่งโจมตีไปที่ชายสวมชุดคลุมดำ

ปืนใหญ่ปะทะกับกำแพงอากาศโปร่งใส จนระเบิดกลางอากาศ ปรากฏคลื่นไฟสวยงามเคลื่อนไปตามกำแพงอากาศ

ฉวยโอกาสที่ปืนใหญ่ทำให้กำแพงอากาศสั่นไหว ยันต์ที่แกะสลักไว้บนลูกศรหน้าไม้สว่างขึ้น ทะลุผ่านกำแพงอากาศได้อย่างง่ายดาย และพุ่งไปที่ชายสวมเสื้อคลุมดำ

ลูกศรหน้าไม้นั้นเป็นค่ายกลขนาดเล็กแบบหนึ่ง

ชายสวมชุดคลุมดำยกแขนขวาขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ทำให้ลูกศรหน้าไม้ที่กระแทกเข้ากับแขนของเขาหักเป็นท่อนๆ

เสื้อคลุมขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผยให้เห็นร่างกายที่แท้จริงของชายสวมชุดคลุมดำ เป็นภิกษุหนุ่มรูปงามที่ดุร้าย แขนขวาของเขาใหญ่กว่าคนปกติหนึ่งเท่า ดูน่าเกลียดน่ากลัว

“…กระดูกเหล็กหนังทองแดง” ชายชุดขาวที่หันหลังให้คนมาตลอดพูดด้วยความประหลาดใจ

ในเวลานี้ ฆ้องทองคำทั้งสี่ลงมือพร้อมกัน การบุกโจมตีด้วยหอกและดาบอย่างดุเดือดเริ่มขึ้น เริ่มต้นด้วยการโจมตีชายสวมชุดคลุมดำก่อน หนานกงเชี่ยนโหรวและเจียงลวี่จงไม่ได้ใช้อาวุธใด เลือกการต่อสู้แบบประชิดตัว

“พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ต้องมีใจเมตตา” ชายสวมชุดคลุมดำพนมมือ เอ่ยพระนามพระพุทธเจ้า

หอกและดาบอันดุเดือดเกิดความลังเลเล็กน้อย ไม่เฉียบขาดเหมือนเดิม แต่ก็กลับมาเป็นปกติในชั่วเวลาฉับพลัน

ชายสวมชุดคลุมดำฉวยโอกาสใช้ช่วงเวลาคับขัน ซัดแขนขวาอย่างต่อเนื่อง ซัดหอกที่ไม่มีทางหลบเลี่ยงไม่มีทางต้านทานจนพ่ายแพ้ยับเยิน และบุกทะลวงดาบทั้งหมด

หลังจากนั้น เขาก็บิดตัวโต้กลับ ปะทะกับหมัดที่ไม่เป็นสองรองใครของเจียงลวี่จง

เจียงลวี่จงส่งเสียงฮึ่ม เลือดไหลออกมาจากมุมปาก ร่างเซถอยหลัง

ชายสวมชุดคลุมดำฉวยโอกาสหันหลังกลับ ชกหน้าอกของหนานกงเชี่ยนโหรว ตุบ…เสื้อคลุมสั้นขาดกระจายเป็นชิ้นๆ

ซู้ด… ท่ามกลางแรงดูดที่น่าสยดสยอง สีหน้าของ หนานกงเชี่ยนโหรวค่อยๆ ซีดลงทีละน้อย

ดวงตาของหนานกงเชี่ยนโหรวปรากฏแสงสีแดงเข้ม ใบหน้าที่งดงามเปลี่ยนเป็นดุร้าย ลำคอของเขาเปล่งเสียงคำรามไม่เหมือนเสียงมนุษย์ ใช้หัวกระแทกใบหน้าของชายสวมชุดคลุมดำอย่างแรง

ทั้งสองถอยหลังพร้อมกัน แล้วก็ต่อสู้กันสุดชีวิตอย่างไม่ยอมแพ้

ทหารสี่นาย สัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ที่มา เข่นฆ่ากันในเมืองที่รกร้าง เดินไปถึงไหน ที่นั่นก็กลายเป็นซากปรักหักพัง

พลังปราณระเบิดออกมาลูกแล้วลูกเล่า ทำให้เกิดพายุเฮอริเคนที่น่ากลัวกวาดพื้นที่รัศมีหลายลี้ (1 ลี้มีความยาวเท่ากับ 500 เมตร)

นักเล่นแร่แปรธาตุรักษาระยะห่างกับพวกเขาตามสมควร ในการต่อสู้กันในระยะประชิด ทหารนั้นสมกับเป็นผู้ไร้เทียมทานในระดับเดียวกันจริงๆ

การต่อสู้ของนักเล่นแร่แปรธาตุนั้นดูสง่างามและทรงพลังมากยิ่งกว่า…นักเล่นแร่แปรธาตุเท้ากระทืบพื้น พูดเสียงดังว่า “ธรณีสังหาร”

เกิดรอยแตกแผ่กระจายใต้ฝ่าเท้าเขา สูบบรรดาทหารที่กำลังเข่นฆ่ากันลงไป ทันใดนั้นพื้นดินที่พังทลายก็เกิดการสั่นสะเทือน รวมกันเป็นพลังที่น่ากลัว

นักเล่นแร่แปรธาตุเวทกระทืบพื้นอีกครั้ง “นภาสังหาร”

ทันใดนั้นท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เกิดเมฆดำรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เกิดฟ้าแลบเป็นสาย ฟ้าร้องดังกึกก้อง

“มนุษย์สังหาร”

เมื่อนักเล่นแร่แปรธาตุพูดจบ พลังของนภา พลังของธรณี และพลังของมนุษย์ก็รวมตัวกัน มุ่งทำลายชายสวมชุดคลุมดำ

ทำให้เขาตกอยู่ในภาวะที่มีศัตรูรอบด้าน

แขนขวาที่น่าสะพรึงกลัวข้างนั้นดูเหมือนจะถูกกระตุ้น จึงคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง แรงบีบที่น่ากลัวอย่างสุดจะพรรณนาได้ปะทุขึ้น และหลอดเลือดที่ปูดขึ้นอย่างชัดเจนก็เกิดแสงสว่างขึ้นในทันใด

ภิกษุรูปงามและชั่วร้ายกำหมัดพร้อมแสยะยิ้ม

ตูม… เสียงระเบิดของพลังปราณกลืนทุกสิ่งจนหมดสิ้น

……………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง