ท่ามกลางเสียงอึกทึก ฆ้องทองคำทั้งสี่ต่างใช้วิธีการป้องกันที่แตกต่างกันออกไป และอาศัยกำลังของตนลอยห่างออกไปจากใจกลางของการระเบิด
เมื่อพายุสงบลง ร่างของชายชุดดำก็อันตรธานหายไปแล้ว ฆ้องทองคำทั้งสี่โล่งใจ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาล
“เจ้านั่นเป็นใครมาจากไหน แล้วแขนนั่นอีก” โหรในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นโดยหันหลังให้กับทุกคน
“แขนงั้นหรือ” ฆ้องทองคำใช้กระบี่ถามทวนคำถาม
“จากที่ข้าสังเกต แขนนั้นไม่ใช่ของเขา ไอมารที่น่ากลัวเช่นนั้น ข้าเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย” โหรในชุดขาวกล่าว
เจียงลวี่จงจ้องมองแผ่นหลังของโหรผู้นั้น “หยางเชียนฮ่วน ตาของเจ้าอยู่ด้านหลังหรือไง”
โหรชุดขาวนามว่าหยางเชียนฮ่วนกล่าว “ก่อนที่เขาจะจากไป ข้าหันกลับไปมองแล้ว”
“…” เจียงลวี่จงกล่าวอย่างจนปัญญา “จะไม่หันมาพูดกันดีๆ หน่อยหรือ แต่ก่อนเจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้นี่”
“ขอปฏิเสธ คนอย่างข้าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่สนความเห็นของผู้ใด” เมื่อพูดจบ เขาจึงอธิบายต่อ
“จากที่ข้าได้สังเกตท่านโหราจารย์และเว่ยเยวียนอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกเจ้าไม่สังเกตหรือว่าคนหนึ่งชอบยืนอยู่ในหอสังเกตการณ์โดยหันหลังให้พวกเจ้า ส่วนอีกคนชอบนั่งอยู่ที่แท่นแปดทิศและหันหลังให้พวกเราเสมอ”
“และพวกเรายังรู้สึกว่าทั้งเว่ยเยวียนกับท่านอาจารย์ล้วนเป็นผู้ที่น่านับถืออย่างยิ่ง”
…ฆ้องทองคำทั้งสี่รู้สึกเหมือนสมองสั่งให้อาเจียนออกมา ทว่ากลับทำไม่ได้
เจียงลวี่จงส่ายหัวและวกกลับเข้าหัวข้อหลัก “ถ้าเช่นนั้น ตามข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ มือนั่นก็เป็นสิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผอสินะ”
สิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผอ… หยางเชียนฮ่วนขมวดคิ้ว เขาเพิ่งกลับมายังเมืองหลวงเมื่อวันก่อน วันนี้เขามาเพื่อช่วยปราบปรามอันธพาลในนามของสำนักโหราจารย์เท่านั้น
เขารู้ว่าวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกระเบิดเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าไม่ได้สนใจ อย่างที่รู้กันดีว่าตราบใดที่โหรมีห้องสกัดยากับห้องทดลองเล่นแร่แปรธาตุ และอาหารส่งถึงตรงเวลา พวกเขาสามารถขลุกตัวอยู่ในนั้นได้นานเป็นสิบปี
“พระรูปนั้นน่าจะเป็นเหิงฮุ่ย” ฆ้องทองคำใช้กระบี่กล่าว
เมื่อได้ฟังเหล่าฆ้องทองคำแลกเปลี่ยนความคิดกัน ในหัวหยางเชียนฮ่วนก็เกิดคำถามและความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“หากจับกุมเขาได้ ก็จะได้รู้ว่าท่านหญิงผิงหยางอยู่ที่ไหน” เจียงลวี่จงกล่าว
‘ท่านหญิงผิงหยาง? ท่านหญิงผิงหยางที่หายตัวไปนานกว่าหนึ่งปีผู้นั้นหรือ’ หยางเชียนฮ่วนจำได้ว่าตอนที่ท่านหญิงหายตัวไปนั้น โหรเกือบทั้งสำนักโหราจารย์ออกตามหากันแทบพลิกแผ่นดิน เอะอะมะเทิ่งกันยกใหญ่
ได้ยินเช่นนั้น เขาก็อดหันกลับไปถามไม่ได้
“คดีซังผอเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างพวกเจ้าก็สืบสวนคดีนี้จนกระจ่างชัดแล้วหรือ ช้าก่อน… ทำไมข้าถึงไม่ได้ยินพวกศิษย์น้องในสำนักโหราจารย์พูดถึงเรื่องนี้กันเลยล่ะ อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่ได้ขอให้พวกเขาช่วยทำคดี หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างพวกเจ้าไม่น่าจะสันทัดเรื่องจัดการคดีขนาดนี้นี่”
ในหัวของโหรระดับสูงเต็มไปด้วยความสับสน
ตามหลักการแล้ว ไม่มีทางที่โหรแห่งสำนักโหราจารย์จะไม่เล่าเรื่องคดีใหญ่อย่างคดีซังผอให้เขาฟัง เพราะอย่างไรเสียสำนักโหราจารย์ก็มักจะช่วยเหลือจัดการคดีให้แก่ราชสำนักอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในระหว่างกัน
ทว่าหยางเชียนฮ่วนกลับไม่เคยได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับเหิงฮุ่ยหรือท่านหญิงผิงหยางเลย
หยางเยี่ยนผู้แทบไม่เปิดปาก กล่าวกับเขา “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างพวกเราไม่ต้องส่งฆ้องทองคำออกไปจัดการด้วยซ้ำ คนที่ดูแลคดีนี้เป็นเพียงฆ้องทองแดงธรรมดาเท่านั้นเอง”
‘เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า เหตุใดน้ำเสียงจึงดูภาคภูมิใจนัก…’ หยางเชียนฮ่วนไม่ได้หันกลับไปมอง ได้แต่ยืนพึมพำในใจ และถามกลับ “ฆ้องทองแดงงั้นหรือ พวกเจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย”
“เจ้าน่าจะรู้จักฆ้องทองแดงผู้นี้ อืม เพราะเขามีชื่อเสียงมากในสำนักโหราจารย์” เจียงลวี่จงจำข่าวลือเกี่ยวกับสวี่ชีอันได้ และรู้ว่าเขายังเคยสอนให้กับโหรชุดขาวที่สำนักโหราจารย์อีกด้วย “เขามีนามว่าสวี่ชีอัน”
“สวี่ชีอันงั้นหรือ?!” เสียงของหยางเชียนฮ่วนดังขึ้นเล็กน้อย
เขารู้จักสวี่ชีอันผู้นี้ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งกลับไปยังสำนักโหราจารย์ นี่ถึงขั้นสอนวิชาให้กับเหล่าศิษย์น้องด้วยหรือเนี่ย อวดเก่งเสียไม่มี… นับเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งนัก
ไม่คิดว่าคดีซังผอเขาก็เข้ามาจัดการ ดูเหมือนว่าเขาทำได้ดีทีเดียว อวดดีอีกแล้ว… ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน
“แขนนั่นมีที่มาอย่างไร” หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“ไม่รู้สิ แต่เจ้าของของมันต้องอยู่ในตำแหน่งระดับสองหรือสูงนั้นแน่นอน ข้าไม่รู้เรื่องระบบฝึกตนของทหารมากนัก… อืม แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย” หยางเชียนฮ่วนมีน้ำเสียงที่ลุ่มลึก ราวกับนักดาบผู้ไร้พ่ายและโดดเดี่ยว
‘หายไปจากเมืองหลวงตั้งหลายเดือน อาการแย่ลงเรื่อยๆ เลย’… เหล่าฆ้องทองคำครุ่นคิด
…
ผ่านความเหน็ดเหนื่อยจากเมื่อวาน สวี่ชีอันที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยตามร่างกายจึงนอนเพลินไปหน่อย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนฟ้าสว่างแล้ว
ยามเหม่าล่วงเลยไปแล้ว ไหนๆ ก็สายแล้ว จึงค่อยๆ ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นก็ข้ามกำแพงไปทานอาหารเช้าที่บ้านใหญ่
ไกลออกไป เขาได้ยินเสียงของเด็กตะกละแผดเสียงร่ำไห้ดังลั่น เสียงร้องนั้นเต็มไปด้วยความโกรธราวกับมังกรหิวโหยคำราม
เมื่อเข้าไปยังโถงด้านหน้า ก็พบว่าอารองออกไปทำงานแล้ว เหลือแต่อาสะใภ้ผู้ตื่นสายกับหลิงเยวี่ยที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ สวี่หลิงอินเหวี่ยงมือทั้งสองข้างไปด้านหลังและเอนตัวไปข้างหน้า พร้อมกับโจมตีแม่ของนางด้วยคลื่นเสียง
อาสะใภ้ผู้มีใบหน้างามหยดย้อยแต่บุคลิกสง่าผ่าเผย ขมวดคิ้วมุ่นและก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ
ลวี่เอ๋อกำลังปลอบใจเสี่ยวโต้วติงที่อยู่ข้างๆ
“เป็นอะไรไปหรือ” สวี่ชีอันเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของสวี่หลิงเยวี่ยเป็นประกาย นางหันมากล่าวอย่างตื่นเต้น “วันนี้พี่ใหญ่หยุดหรือ”
“พี่นอนเพลินไปหน่อย…” สวี่ชีอันกล่าวอย่างละอายใจ
“พี่ใหญ่ๆ” สวี่หลิงอินวิ่งเข้ามาด้วยขาสั้นๆ และใช้มือเล็กๆ ข้างหนึ่งจับชายเสื้อของสวี่ชีอันไว้ นิ้วเล็กๆ อีกข้างหนึ่งชี้ไปยังแม่กับพี่สาวของนางพร้อมกับพูดอย่างขุ่นเคือง “พวกนางแย่งน่องไก่ของข้าไป น่องไก่ของเด็กก็ยังฉกไปได้…ฮือๆ…”
ใจร้ายใจดำขนาดนั้นเชียว? สวี่ชีอันพิจารณาอาสะใภ้และน้องสาวของเขา
อาสะใภ้ร้อง ‘ฮึ’ คร้านจะอธิบาย
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวอย่างละเหี่ยใจ “เมื่อวานมีน่องไก่เหลืออยู่หนึ่งน่อง แต่นางไม่ยอมกิน ก็เลยถือเข้าห้องไปด้วย พอตื่นเช้าไม่เห็นน่องไก่ นางก็โวยวายว่าข้ากับท่านแม่ขโมยน่องไก่ไป”
น่าจะเป็นหลังจากที่ข้าออกไปเมื่อคืน ไม่เช่นนั้นตอนนี้สวี่หลิงอินคงจะดึงแขนเสื้อของท่านแม่ของนางและกล่าวหาว่าข้าขโมยน่องไก่ของนางไปแทน… สวี่ชีอันลูบหัวเสี่ยวโต้วติง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง