“หากไม่จองหองจริง จะกล้าฟันผู้บังคับบัญชาหรือ” ฆ้องทองคำผู้ใช้กระบี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“น่าเสียดายที่เจ้านั่นเป็นลูกน้องหยางเยี่ยน เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นเก่งขนาดไหน…”
เว่ยเยวียนเหลือบมองเจียงลวี่จงพร้อมกับพูดขัดจังหวะ “ปากมากไปแล้วนะ”
เจียงลวี่จงจึงหุบปากในทันใด
ฆ้องทองคำผู้ใช้กระบี่เลิกคิ้วและถาม “แล้วเก่งแค่ไหนล่ะ คุณสมบัติระดับใด ระดับเจี่ยหรือ”
เจียงลวี่จงยิ้มอย่างจงใจและทำสีหน้าที่บอกว่า ‘เจ้าไร้เดียงสาเสียไม่มี’ เพื่อล่อเหยื่อให้ติดกับ
‘ไม่ใช่ระดับเจี่ย ไม่ใช่ระดับเจี่ยงั้นหรือ?’ ฆ้องทองคำผู้ใช้กระบี่จ้องเว่ยเยวียนตาเขม็ง “เว่ยกง”
เว่ยเยวียนดื่มชาเงียบๆ
ท่าทางดังกล่าวทำให้ฆ้องทองคำผู้นี้อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน
‘หากเป็นคุณสมบัติระดับเจี่ยจริงๆ ไม่จำเป็นต้องปิดบังข้าก็ได้…หรือว่าจะอยู่ระดับเหนือเจี่ย เป็นไปไม่ได้ คุณสมบัติระดับเหนือเจี่ยไม่ปรากฏมาหลายทศวรรษแล้วนี่…แต่ดูจากสีหน้าของพวกเขาก็เหมือนจะยืนยันเรื่องนี้ได้เลย…หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะไม่ชิงตัวฆ้องสวี่ชีอันมา’
‘แสดงว่าเว่ยกงต้องการปิดบังไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในหมู่ฆ้องทองคำ เพราะแย่งตัวเด็กนั่น อืม เช่นนั้นข้าเองก็หาวิธีซื้อใจตัวเด็กนั่นมาได้เหมือนกัน คนหนุ่มๆ สนใจแต่เงินทองหรือไม่ก็ผู้หญิงไม่ใช่หรือไง’
หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้าแข็งกระด้างเริ่มพูดและเบี่ยงหัวข้อสนทนา “พ่อบุญธรรม ท่าทีของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยเยวียนขมวดคิ้วและถอนหายใจ “ทรงรับสั่งให้ค้นหาที่อยู่ของเหิงฮุ่ยให้เร็วที่สุด ในช่วงตรวจสอบข้าราชสำนักเช่นนี้ แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจต้านทานต่อการร้องเรียนครั้งใหญ่ได้”
ฆ้องทองคำทั้งสี่สีหน้าเคร่งเครียด การที่เว่ยกงจำต้องพูดเช่นนี้ออกมา แสดงว่าสถานการณ์นั้นรุนแรงมาก
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ ยังไม่คิดไปถึงเรื่องที่เว่ยเยวียน ขันทีผู้รับผิดชอบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีความขัดแย้งกับขุนนางและทหารแห่งราชสำนัก ลำพังแค่ฆาตกรคนเดียวออกมาอาละวาดสังหารผู้คนในเมืองชั้นใน และหลบหนีไปอย่างสบายใจเฉิบ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ขุนนางหลายร้อยคนตื่นตูมได้แล้ว
“พวกเราต้องทำให้ดีที่สุด”
เว่ยเยวียนพยักหน้า “อย่าดีแต่พูดล่ะ ไม่นานมานี้คนที่ศาลลือกันไปทั่วว่าฆ้องทองคำไร้ความสามารถกันทั้งหน่วย ไม่ว่าจะการสืบสวน หรือจัดการคดีอะไรก็ยกให้ฆ้องทองแดงจัดการหมดเพียงคนเดียว”
พ่อบุญธรรมให้ความสำคัญกับสวี่ชีอันมากขึ้นเรื่อยๆ…หยางเยี่ยนกับหนานกงเชี่ยนโหรวมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างรู้ความคิดของกันและกัน
ต้องจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ และจะต้องตามหาเหิงฮุ่ยให้เจอโดยเร็ว โชคดีที่สวี่ชีอันไม่สามารถทำงานนี้ได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าฆ้องผู้น้อยจะโผล่มาฉกผลงานไปอีก
…
สวี่ชีอันนำทีมสืบคดีซังผอไปถึงยังสำนักงานราชเลขาธิการของกรมทหาร แสดงตราประทับทองคำและผ่านเข้าไป จากนั้นจึงพาฉู่ไฉ่เวย หลี่อวี้ชุนพร้อมทั้งฆ้องเงินอีกสามนาย และหัวหน้ามือปราบหลี่ว์ชิงผู้เป็นหน่วยสืบราชการลับเข้าไปยังสำนักงานราชเลขาธิการ
ประตูของสำนักงานราชเลขาธิการและกำแพงรอบๆ ถูกทำลายจนหมดสิ้น ราวกับว่ากำลังทำการรื้อถอน ชวนให้ตกตะลึงไม่น้อย
“สำนักงานราชเลขาธิการช่างงดงามเสียนี่กระไร” เมื่อเข้าไปยังด้านในของสำนัก หลี่ว์ชิงถอนใจเบาๆ
“ดูยังไงหลังนี้ก็ราคาถึงหมื่นสองร้อยตำลึงแน่ๆ…” หลี่อวี้ชุนเดา
คนรับใช้ผู้นำทางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะออกมา ‘หมื่นสองร้อยตำลึงงั้นหรือ คนบ้านนอกคอกนาที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง มีเงินแค่หมื่นสองร้อยตำลึง บังอาจคิดจะซื้อสำนักงานราชเลขาธิการของเรา’
‘พวกทหารต่ำช้า’
สวี่ชีอันเตะก้นเขาและก่นด่า “นำทางไปดีๆ ไอ้หมารับใช้”
คนรับใช้ก้มหน้างุดและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘หมารับใช้’ คำนี้ สวี่ชีอันก็นึกถึงยายตัวร้ายราชินีตัวน้อยประจำไนต์คลับ ไม่รู้ว่าวันนี้นางยั่วโมโหองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง และถูกเฆี่ยนตีหรือไม่
สวี่ชีอันได้พบกับราชเลขาจางเฟิ่งแห่งกรมทหารในห้องรับรอง เขาเป็นผู้ชายที่สุขุมจริงจัง ศีรษะขาวโพลนไว้เคราแพะ นั่งนิ่งเงียบงัน แผ่รังสีอันน่าเกรงขาม ตามฉบับผู้ดำรงตำแหน่งอันสูงส่งมาอย่างช้านาน
“ยินดีที่ได้พบท่านราชเลขา” สวี่ชีอันกุมมือคารวะ
จางเฟิ่งพยักหน้าเบาๆ “ได้ยินขันทีในวังพูดว่าท่านสวี่จัดการคดีได้อย่างรวดเร็ว เป็นผู้มีความสามารถเหลือล้น คดีซังผอคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่พอยังสืบพบร่องรอยฆาตกรตัวจริงจากคดีฆาตกรรมผิงหย่วนป๋อด้วย”
“ท่านราชเลขากล่าวชมเกินไปแล้วขอรับ” สวี่ชีอันรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายแฝงนัยบางอย่าง
“เจ้าอยากรู้ว่าข้าเกี่ยวข้องอะไรกับฆาตกร จึงถูกอีกฝ่ายแก้แค้นกลางดึกใช่หรือไม่” ราชเลขาจางกล่าว
“ใช่ขอรับ” สวี่ชีอันไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือแต่อย่างไร
ราชเลขาจางมองสวี่ชีอันอย่างไร้อารมณ์ ทันใดนั้นเขาก็พูดเสียงแข็ง ตบโต๊ะและตะโกนลั่นด้วยความโกรธ “ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน และที่อยากรู้มากกว่าคือคดีฆาตกรรมของผิงหย่วนป๋อผ่านมาตั้งนานมาแล้ว เหตุใดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลถึงยังจับฆาตกรไม่ได้เสียที”
“ข้าล่ะอยากรู้เหลือเกิน เหตุใดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลถึงได้ปล่อยให้พวกคนโฉดชั่วก่อกรรมทำเข็ญซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
เพิ่งจะมาถึงก็วางก้ามข่มกันเลยนะ…สวี่ชีอันกุมมือคารวะอีกครั้งพร้อมกล่าว “ท่านราชเลขาโปรดสงบสติอารมณ์ก่อนขอรับ”
ราชเลขาจางควบคุมอารมณ์และถอนหายใจ “แม้ว่าวันนี้ข้าไม่ได้ไปศาล แต่ก็พอรู้สถานการณ์เมื่อคืนบ้าง ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ระดับสูงห้านายร่วมมือกันต่อสู้ทั้งที ก็ยังจับฆาตกรไม่ได้อยู่ดี มิหนำซ้ำฆ้องทองคำสี่นายยังได้รับบาดเจ็บอีก”
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจงรักภักดีต่อราชสำนัก ข้ารู้ดีแก่ใจ น่าเสียดายที่ท่านโหราจารย์ป่วยหนักไม่สามารถลงมือจัดการได้ ทำให้พวกข้าหวั่นวิตก และทำให้พวกเจ้าเองเหนื่อยกายเหนื่อยใจไปด้วย”
การแสดงออกของเขามีความเคร่งขรึมตามฉบับผู้บังคับบัญชา ทว่าน้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ท่าทีเห็นอกเห็นใจผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
สวี่ชีอันรู้สึกชื่นชมราชเลขาแห่งกรมทหารอยู่เล็กน้อย ทว่าในไม่ช้าเขาก็ค่อยๆ เข้าใจทุกอย่าง…เริ่มจากการวางอำนาจบาตรใหญ่ จากนั้นก็ลูบหลังด้วยท่าทีเห็นอกเห็นใจ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่คนคนหนึ่งจะเล่นการเมืองจนไต่เต้าไปถึงระดับสองได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง