ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 14

‘ปัง!’

นายอำเภอจูตบไม้ปลุกสติ[1]ด้วยความโมโหอีกครั้งแล้วตะโกนเสียงดัง “เจ้าบอกว่าเห็นเงาดำฆ่าคนแล้วข้ามกำแพงหนีไป แล้วเหตุใดวันนี้ตอนมือปราบตรวจดูสวนดอกไม้ใต้กำแพงจึงไม่มีรอยเท้า ทั้งไม่มีร่องรอยเหยียบย่ำดอกไม้ใบหญ้าด้วย”

นางจางหยางผงะไป ดวงตารูปผลซิ่งงดงามกลอกกลิ้งไปรอบหนึ่ง “เอ่อ คือ…”

จางเซี่ยนรีบพูด “ใต้เท้า ท่านแม่จะไปรู้ว่าคนร้ายแอบเข้ามาในบ้านได้อย่างไร มือปราบของที่ว่าการสืบไม่ได้ ใต้เท้าก็ไม่อาจโยนความผิดมาที่ข้ากับแม่ได้นะขอรับ”

แม่ลูกเทวดา อย่าได้ดูถูกคำนี้เชียว สวี่ชีอันทนฟังต่อไปไม่ไหว

นายอำเภอจูโมโหมาก “ปากดีนักนะ ผู้คุม ลงโทษมัน”

กระบวนการสอบปากคำในสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ บีบถามแล้วทรมาน ยามที่ขาดหลักฐานก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว จึงมักจะเกิดการทรมานจนต้องยอมรับผิด

แต่มันเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ การรวบรวมหลักฐานทำได้ยากมากเพราะขาดอุปกรณ์และเทคโนโลยีเฉพาะทาง ดังนั้นการลงทัณฑ์จึงกลายเป็นระเบียบที่ขาดไม่ได้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

จางเซี่ยนพูดเสียงดัง “ใต้เท้าจะทรมานให้คนรับผิดเหรอขอรับ อาของข้าเป็นขุนนางใกล้ชิดสังกัดกรมพิธีการ ใต้เท้าไม่กลัวถูกกล่าวโทษหรืออย่างไร”

อาคนดังกล่าวแท้จริงแล้วเป็นญาติห่างๆ ห้ารุ่น แต่ถึงแม้สายสัมพันธ์โลหิตจะห่างไกล แต่ความสัมพันธ์กลับใกล้ชิดมาก เพราะตระกูลจางมักส่งของกำนัลให้กับญาติห่างๆ คนนั้นอยู่บ่อยๆ

เข็มเดียวเห็นโลหิต[2] นายอำเภอจูคิ้วกระตุก เขารู้ว่าตระกูลจางมีเบื้องหลังเช่นนั้นอยู่

“เจ้ากล้าข่มขู่ข้าที่เป็นขุนนางหรือ ผู้คุม โบยยี่สิบครั้ง”

เจ้าหน้าที่สี่คนเดินเข้าไป สองคนใช้แท่งไม้วางพาดคอจางเซี่ยน ส่วนอีกสองคนถอดกางเกงของเขา เหล่าเจ้าหน้าที่เริ่มออกแรง เสียงโบยตีดังก้องไปทั่วศาล

จางเซี่ยนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

นายอำเภอจูหน้าบึ้งตึง โบยด้วยไม้กระดานยี่สิบครั้งไม่พอให้คนคนหนึ่งสารภาพว่าเป็นคนร้ายฆ่าคนได้ ถ้าโบยด้วยไม้กระดานสักห้าสิบครั้งยังพอมีโอกาส แต่ก็อาจจะทำให้คนถูกโบยถึงแก่ความตายได้

อีกอย่าง ถึงแม้จางเซี่ยนจะรับสารภาพ แต่เมื่อคดีถูกส่งไปยังกรมอาญา จางเซี่ยนก็ยังมีโอกาสพลิกคดี อย่าลืมว่าเขามีญาติเป็นขุนนางใกล้ชิดอยู่คนหนึ่ง

กลับกันพอถึงเวลานั้นเขาสามารถสวมหมวกผู้ถูกทรมานให้รับสารภาพแก่ตัวเองได้

สวี่ชีอันอาศัยช่วงที่จางเซี่ยนถูกโบยด้วยไม้กระดานอยู่บนพื้นกวักมือเรียกผู้ติดตามข้างกายนายอำเภอจู

ผู้ติดตามลังเลเล็กน้อย เขาถอยหลังสองสามก้าวอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา

“ฝากไปบอกใต้เท้าว่าให้หยุดพักศาลชั่วคราว ข้ามีความคิดบางอย่าง” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าจะไปมีแผนอะไร อย่าได้พูดไร้สาระแล้วทำข้าลำบากไปด้วย” ผู้ติดตามไม่เชื่อถือ

“พิจารณาคดีต่อไปก็ไม่ได้ผลอะไร ตอนนี้ใต้เท้าเท่ากับขี่หลังเสือ เขาต้องรับปากแน่ เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้า” สวี่ชีอันพูด

“ก็ได้…”

ผู้ติดตามวิ่งเหยาะๆ ไปยังด้านหน้านายอำเภอจูแล้วกระซิบที่หูของเขาสองสามประโยค นายอำเภอจูหันหน้ามาทางสวี่ชีอันทันที

เขาไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วเก็บสายตากลับไปก่อนจะตบไม้ปลุกสติ “นำตัวสองคนนี้ไปขังคุก พักศาล”

โถงด้านใน

นายอำเภอจูถือชาร้อนที่สาวใช้รินให้แล้วจิบไปหนึ่งคำ

เมื่อสวี่ชีอันที่อยู่ในระบบมาหลายปีและรู้เรื่องธรรมเนียมของแวดวงขุนนางแบบงูๆ ปลาๆ เห็นท่าทางเช่นนี้เขาก็รีบยกชาขึ้นจิบนิดหน่อยทันที

“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามีความคิดอะไร”

สวี่ชีอันตกใจกับท่าทีของนายอำเภอจู น้ำเสียงของเขากลับนุ่มนวลอย่างน่าประหลาดและไม่แสดงท่าทางอวดเบ่งออกมา

ในภาพจำ นายอำเภอจูไม่มีทางเกรงใจเจ้าหน้าที่ระดับล่างในที่ว่าการอำเภอเช่นนี้หรอก หรือว่าหลังจากข้ามภพเขาจะหน้าตาดีขึ้นมาแล้ว

“ข้าขอลองดูนะขอรับ”

“ไม่ใช้กำลังเหรอ”

“เป็นเช่นนั้นขอรับ”

นายอำเภอจูสงสัยยิ่งกว่าเดิม เขาวางถ้วยชาลงแล้วมองมา “ลองพูดมา”

เรื่องทฤษฎีเกมจิตวิทยาเจ้าฟังไม่เข้าใจหรอก พูดไปให้ได้อะไรล่ะ… สวี่ชีอันยิ้มกล่าว “ข้าขอเก็บไว้ก่อนขอรับ ใต้เท้ารอฟังข่าวดีให้สบายใจเถิด”

ในห้องมิดชิดเงียบเชียบ หยางเจินเจินถูกนำตัวมาที่นี่ ดวงตาเปียกชุ่มกลอกไปมา นั่งกระสับกระส่าย

เดิมทีคิดว่าเจ้าหน้าที่ระดับล่างจะสร้างความลำบากให้นาง ใครจะคิดว่าพอพานางมาที่นี่เสร็จแล้วก็จากไป แต่สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลของนางเลย

‘ครืด…’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง