ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 144

บทที่ 144 หยางเชียนฮ่วน
บรรยากาศชื่นมื่นถูกทำลายในชั่วพริบตา เหล่าคณิกาแต่ละนางหุบยิ้ม ก่อนหน้านี้ยังเป็นพี่น้องที่ญาติดีอยู่ แต่วินาทีต่อมากลับกลายเป็นทหารหญิงที่พร้อมเข้าสู่สมรภูมิ แม้ว่าใบหน้าของพวกนางจะแดงก่ำ แต่ก็สวยหยาดเยิ้มน่าเอ็นดู

“ท่านพี่ทั้งหลาย ในเมื่อวันนี้สวี่หลางมาเยี่ยมเยือนสำนักชิงฉือของข้า ข้าก็จะยอมหน้าทนขอให้เขาค้างคืน หวังว่าพวกท่านพี่จะยินยอม”

มีหรือเหล่าคณิกาจะยินยอม แน่นอนว่าไม่!

ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในหอนางโลมมีจริงเสียที่ไหน เปลือกปลอมกันทั้งสิ้น กว่าหญิงสาวธรรมดาจะเลื่อนขั้นเป็นคณิกาได้ นางต้องทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายโดยไม่มีใครรู้ไปตั้งเท่าไหร่ รวมถึงสติปัญญาอันปราดเปรื่องที่จะจัดการเรื่องต่างๆ ทัศนคติกล้าสู้กล้าชน ล้วนไม่ทำให้พวกนางไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ไปง่ายๆ

สำหรับสวี่ชีอันนี่เป็นโอกาสที่จะแยกตัวออกจากเหล่าคณิกา มันอันตรายเกินไปหากพวกนางยังอยู่ที่นี่ต่อ หากมีการลงไม้ลงมือกันขึ้นมา ทุกคนต้องตายด้วยแรงปะทะของพลังปราณอย่างไม่ต้องสงสัย

ทหารก็เป็นพวกดีแต่ใช้กำลังป่าเถื่อนเพียงอย่างเดียว ไม่มีวิชาอาคมที่เว่อร์วังอลังการมากเช่นนั้น

บอกตามตรง ข้ายังสนุกกับความเพลิดเพลินของคัมภีร์เก้าจันทรานี้อยู่เลย… คิดๆ ดูแล้วเหล่าเทพธิดาที่ตกเป็นนางสำรองในภพก่อนก็คงรู้สึกแบบนี้เช่นกัน… สวี่ชีอันกระแอมหนึ่งทีและกวาดตามองหญิงสาวที่รายล้อม

“ความเมตตาของแม่นางหมิงเยี่ยนยากจะปฏิเสธได้ เช่นนั้น คืนนี้ข้าจะพักอยู่ที่นี่ แม่นางทั้งหลายกลับไปก่อนเถอะ แล้วข้าจะไปเยี่ยมเยียนทีละคนในวันหลัง ข้าพูดจริงทำจริง”

คำพูดของชายหนุ่มบนโต๊ะสุราไม่ต่างอะไรกับคำพูดบนเตียง เชื่อถือไม่ได้

ทว่านาย[1]ออกคำสั่ง แล้วพวกนางจะทำอย่างไรได้ เรื่องแบบนี้ฝืนไปก็เปล่าประโยชน์

มีเพียงฝูเซียงคนเดียวที่จ้องมองสวี่ชีอันด้วยใบหน้าเศร้าระทม จวนจะร่ำไห้น้ำตานอง “สวี่หลาง…”

สวี่ชีอันหัวแข็ง ทว่าใจอ่อน เดิมคิดจะก้มหน้าดื่มสุราไม่สนใจไยดี ทว่าเมื่อเห็นท่าทางน้อยใจของนาง ก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเจ้าใหม่”

ฝูเซียงจ้องลึกเข้าไปในตาของเขา ก่อนจะปิดหน้าร้องไห้โฮ แล้ววิ่งจากไป

คณิกาทั้งหลายต่างทยอยขอตัวลากลับ

นางคณิกาหมิงเยี่ยนสีหน้าลิงโลด ลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล แล้วเอ่ยอย่างเหนียมอาย “ดึกมากแล้ว คุณชายสวี่โปรดตามข้ามา”

เมื่อเข้ามาในห้องของแม่นางหมิงเยี่ยน ภายในห้องจุดถ่านทองดำไร้ควัน ไม้จันทน์หอมสะบัดพลิ้ว เมื่อเทียบกับความงามวิจิตรของห้องฝูเซียง ที่นี่งดงามโอ่อ่ายิ่งกว่า

ปีศาจสาวตนนั้นแสดงคารวะต่อสวี่ชีอัน แล้วเอ่ยอย่างว่าง่าย “บ่าวจะปรนนิบัติอาบน้ำให้คุณชายเองเจ้าค่ะ”

เจ้าไปพักเถอะ ข้าไม่กล้าให้เจ้ามาคอยปรนนิบัติข้า… สวี่ชีอันส่ายหน้า แล้วมองคณิกาหมิงเยี่ยน “ยามอยู่ที่หออิ่งเหมย ฝูเซียงเป็นผู้ที่คอยปรนนิบัติข้า”

อาบน้ำด้วยกัน? ในฐานะคณิกาหมิงเยี่ยนไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ จึงทั้งขวยเขินและกระดากอายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ฟันขาวขบกัด แล้วเอ่ยเสียงเบา “เหอเอ๋อร์ ข้าจะปรนนิบัติคุณชายสวี่เอง”

การร่วมอ่างสุดหวานซึ้งสิ้นสุดลง สวี่ชีอันคลุมชุดคลุมยาว สวมกางเกงผ้าแพรสีขาว ในใจก่นด่า ‘ซ่งถิงเฟิงไอ้ชาติหมา ป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก’

“คุณชายสวี่ ท่านรออะไรอยู่หรือเจ้าคะ” หมิงเยี่ยนที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมในใจร้อนรนอยู่เล็กน้อย

นางเป็นสตรี บางสิ่งก็ยากจะเอื้อนเอ่ย มิฉะนั้นนางคงดูเป็นหญิงร่านกระหายความใคร่ไม่รู้จักพอ ทว่าไม่มีทางอื่น นางไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดเข้ามาในห้องของนาง แล้วยังนั่งลับมีดครึ่งชั่วโมง ดื่มชาอีกครึ่งชั่วโมงเลยจริงๆ

ผ้านวมก็อุ่นได้ที่แล้ว หากยังไม่มาอีกนางก็จะหลับแล้ว

“ราตรีช่างยาวนาน ไม่เห็นต้องรีบร้อน ข้ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง” สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นกล่าวคำพูดไร้ประโยชน์อย่างล้ำลึก

เขาเหลือบมองปีศาจสาว ศัตรูไม่เคลื่อนไหวข้าก็ไม่เคลื่อนไหว ศัตรูกล้าขยับข้าก็จะแทงนางเสีย

ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ จู่ๆ สวี่ชีอันก็รู้สึกเวียนศีรษะอยู่พักหนึ่ง จิตใจอ่อนเพลียราวกับไม่ได้นอนมาสามวัน เปลือกตาหนักอึ้งราวกับหนักหลายกิโล

ถูกพิษเสียแล้ว… เขาตกตะลึง หันไปมองคณิกาหมิงเยี่ยนในทันที พบว่านางหลับใหลไปแล้ว ไร้ความเคลื่อนไหว

“คุณชายสวี่กำลังรออะไรอยู่หรือเจ้าคะ” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น สาวใช้ที่ก่อนหน้านี้ยังก้มหน้าก้มตา ตอนนี้เปลี่ยนเป็นราวกับคนละคน

สายตาเย้ายวนซุกซน จับจ้องตรงมาที่เขาอย่างรุนแรงพอสมควร

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงวางยาพิษ ข้าไม่มีความแค้นกับเจ้า วางยาพิษหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีโทษมหันต์ต้องถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์” สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นตื่นตะลึง พูดจาหยั่งเชิง

“แน่นอนว่าข้ากำลังรอใต้เท้าสวี่อยู่เลย” สาวใช้หัวเราะคิกคักอย่างน่าเอ็นดู ใบหน้าที่จัดว่างดงามอยู่แล้วก็ยิ่งทวีความงามเย้ายวนขึ้นไปโดยปริยาย

“ข้าหรือ” สวี่ชีอันถามอย่างฉงน

เขาแอบปรับลมหายใจ ทว่าพลังปราณภายในจุดตันเถียน[2]เหนียวข้นราวกับน้ำผึ้ง มิอาจโยกย้าย มือเท้าทั้งสี่อ่อนยวบยาบไร้เรี่ยวแรง

ให้ตายสิ เจ้าซ่งถิงเฟิงเล่นข้าแล้ว!

ด้วยความไว้วางใจที่มีต่อหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาเลือกที่จะอยู่ต่อ ไม่ปล่อยโอกาสที่จะจับกุมปีศาจสาวตนนี้หลุดมือไป ดูท่าว่าตอนนี้ซ่งถิงเฟิงคงจะประสบปัญหาบางอย่าง มิเช่นนั้นคงไม่นานขนาดนี้ หอนางโลมกับที่ทำการไปกลับได้หลายรอบ

ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้

“ราตรีช่างยาวนาน คุณหนูหลับใหลไปแล้ว ให้บ่าวดูแลคุณชายสวี่แทนนางเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้ย่างกรายเข้ามาช้าๆ ทุกก้าวที่เดินก็เปลื้องผ้าออกทีละชิ้น

สวี่ชีอันเกิดประหลาดใจ

แบบนี้ไม่ดีแน่ เข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมานานเช่นนี้ ประสบการณ์และความรู้ของเขาสั่งสมอย่างรวดเร็ว รู้ดีว่าปีศาจสาวมากมายล้วนเชี่ยวชาญเรื่องการดูดพลัง จะดูดพลังบุรุษจนกลายเป็นกากยา

จุดจบของกากยาโดยทั่วไปคือต้องตายโหง

นางวางยาที่ใดกัน ไม้จันทน์หอม? สุรา? ข้าไม่ค่อยรู้จักพิษมากนัก นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของปัญหา… จุดสำคัญที่แท้จริงคือ นางจัดเตรียมวิธีจัดการข้าไว้ตั้งนานแล้ว… ที่ข้ามาหอนางโลมในวันนี้เป็นความคิดชั่ววูบล้วนๆ นางล่วงรู้ได้อย่างไร… สวี่ชีอันไม่เข้าใจ

ยามที่ปีศาจสาวเข้าใกล้สวี่ชีอันในระยะ 3 ฟุต จู่ๆ แสงรัศมีอันแหลมคมก็พุ่งออกมาจากนัยน์ตาเขา สยบอารมณ์ทั้งหมดลง

ชิ้ง!

มีดยาวสีดำทองออกมาจากฝัก ประกายแสงจากดาบ สว่างขึ้นเป็นเส้นบางๆ อยู่ภายในห้อง ก่อนจะหายไป

สวี่ชีอันไม่ดูผลลัพธ์ ปะทุพลังที่ยังเหลืออยู่ แล้ววิ่งเข้าไปกระแทกหน้าต่างอย่างบ้าระห่ำ

เขาต้องส่งเสียงอึกทึก เพื่อให้คนข้างนอกสังเกตเห็นและให้ปีศาจสาวหยิกเล็บเจ็บเนื้อ

ตู้ม… สวี่ชีอันตกกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เท้าถูกบางสิ่งพันธนาการไว้

มันคือหางสีเทายาวหนา ขนปุกปุย คล้ายกับหางจิ้งจอก

สวี่ชีอันหันกลับไปมอง ร่างเงาของสาวใช้หายไปแล้ว กลายเป็นเป็นหุ่นกระดาษที่ตัดเป็นสองท่อน

“แผล็บ…” ลิ้นที่เปียกชุ่มเลียอยู่บนใบหน้า สวี่ชีอันหันกลับไปทีละนิด แล้วก็พบสาวใช้ที่ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

นัยน์ตาดำของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีอำพัน จ้องมองเขาราวกับเหยื่อ และแลบลิ้นเลียหน้าของเขาอย่างฉับไว

“ช่างเป็นเลือดลมที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังจริงๆ แค่ได้กลิ่นของเจ้า ข้าก็มิอาจหักห้ามใจได้”

นางพูดความจริง เพราะสวี่ชีอันมองเห็นปฏิกิริยาทางกายของนาง

เป็นครั้งแรกที่ข้าสะอิดสะเอียนหญิงสาว… สวี่ชีอันแข็งทื่อไปทั้งร่าง ความรู้สึกวิกฤตทำให้เขาตกอยู่ในความกังวลอย่างมาก

พลังที่ปะทุออกไปเมื่อครู่ ครึ่งหนึ่งเป็นการกระตุ้นจากกำลังแฝง อีกครึ่งหนึ่งเป็นการเคี้ยวยาเม็ดทรงพลังที่อยู่ใต้ลิ้น

เขาคิดจะใช้มีดแทงปีศาจยามเผลอ ใช้กลยุทธ์โดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ทว่าสวี่ชีอันประเมินพลังของคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป

ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี หากตะโกนร้องเสียงดัง จะต้องถูกฆ่าทันทีแน่ๆ

หรือจะออกแรงกลิ้งตัวหนีดี แต่ทวยเทพไม่ค่อยกลิ้งตัวนี่สิ… หรือจะถ่ายปุ๋ยจินเข่อลา[3]อันหอมกรุ่นให้นางสะอิดสะเอียนดี…

ปีศาจสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วเหยียดนิ้วกรีดกางเกงผ้าแพรของสวี่ชีอัน… ทันใดนั้น สีหน้าของนางเปลี่ยนไป มองไปอีกด้านหนึ่งและร้องตะโกน “ใคร!”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร เพราะคนที่รู้ชื่อของข้า ตายไปหมดแล้ว”

เงาดำปรากฏตัวขึ้นภายในห้องตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ หันหลังให้ทั้งสอง เสื้อสีขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะ

เสียงคำรามทุ้มต่ำดังออกจากปากของปีศาจสาว แยกเขี้ยวใส่คนชุดขาว นางพุ่งเข้าไปทางหน้าต่างโดยไม่ลังเล คิดจะหลบหนี

ปัง…

นางกระแทกเข้ากับกำแพงอากาศอันว่างเปล่า แล้วกระเด้งกลับ

“ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร” ชายชุดขาวส่ายหน้า ทอดถอนใจ แล้วเอ่ยอย่างเวทนา

จากนั้นเขาก็ดีดนิ้ว ค่ายกลที่ฝ่าเท้าแผ่ขยาย เข้าปกคลุมปีศาจสาว

โซ่ตรวนมายาที่ดูไม่สมจริงทอดยาวออกมาจากในค่ายกล มัดข้อมือข้อเท้าของปีศาจสาว พันธนาการให้นางอยู่กับที่ ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็มิอาจหลุดพ้นได้

“ไว้ชีวิตพยานด้วย” สวี่ชีอันเกิดกลัวว่ายอดฝีมือผู้เก่งกาจคนนี้จะลงมือฆ่าปีศาจสาวทิ้งเสีย

ยอดฝีมือชุดขาวยืนตรงมือไพล่หลัง พร้อมเอ่ย “เจ้าก็คือสวี่ชีอันสินะ”

“ใช่ขอรับ” สวี่ชีอันกล่าว “ท่านผู้อาวุโสคือ…”

“หยางเชียนฮ่วนจากสำนักโหราจารย์ เจ้าน่าจะเคยได้ยินช้าของข้ามาบ้าง” ชายชุดขาวเอ่ยเบาๆ

ต้องขออภัย ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิด… สวี่ชีอันเอ่ยในทันใด “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสหยาง ได้ยินกิตติศัพท์และเลื่อมใสมานานแล้ว”

“หืม” น้ำเสียงของชายชุดขาวปลื้มปีติมากทีเดียว “ศิษย์น้องไฉ่เวยบอกเจ้าหรือซ่งชิงเจ้าบ้าขี้ระแวงนั่น”

“ทั้งสองเลยขอรับ…” สวี่ชีอันเดาว่าอีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านโหราจารย์

“สหายร่วมสังกัดของข้าแจ้งข่าวกับท่านผู้อาวุโสหรือขอรับ”

“ฆ้องทองแดงผู้นั้นหรือ” ชายชุดขาวพยักหน้า “ใช่ เขาแจ้งข่าวกับสำนักโหราจารย์เมื่อเวลาสองก้านธูปก่อน บอกว่าที่แห่งนี้มีเผ่าพันธุ์ปีศาจ เมื่อครู่นี้ข้ารออยู่ด้านนอกสำนักมาโดยตลอด”

เอ๊ะ แล้วทำไมเจ้าไม่ลงมือให้เร็วกว่านี้… สวี่ชีอันอ้าปากค้าง สับสนงุนงง

ราวกับมองทะลุจิตใจของเขา ชายชุดขาวส่งเสียง “หึ” แล้วเอ่ย “วีรบุรุษที่แท้จริงมักจะลงสนามตอนสุดท้าย เจ้าคิดว่าอย่างไร”

ข้าคิดว่าเจ้าแม่งประสาท… สวี่ชีอันพยักหน้าฝืนปั้นหน้ายิ้ม

หยางเชียนฮ่วนก็พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าอยากถามอะไรก็ถามมา”

สวี่ชีอันพ่นลมหายใจ นั่งลงอย่างงกๆ เงิ่นๆ จ้องปีศาจสาวในค่ายกล “เจ้าเป็นเศษเดนที่ยังหลงเหลืออยู่ของอาณาจักรหมื่นปีศาจ หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือ”

ปีศาจสาวยิ้มเยาะไม่ปริปาก

โซ่ตรวนมายาตรึงแน่นในทันใด ประกายไฟฟ้าของพลังปราณแล่นไปตามร่างของปีศาจสาว นางกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน ร่างกายอันงดงามหดเกร็ง

“นี่ ค่ายกลสอบสวนที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง มันจะบีบกล้ามเนื้อและสมองให้เจ็บปวด น้อยมากที่คนหรือปีศาจจะทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้” ชายชุดขาวยืนมือไพล่หลัง แล้วเอ่ยเสียงเบา

นัยน์ตาดำสีอำพันของปีศาจสาวเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างสุดขีด

“อา อาณาจักรหมื่นปีศาจ ข้าเป็นจิ้งจอกสาวจากอาณาจักรหมื่นปีศาจ” นางเอ่ย

“คดีซังผอเป็นฝีมือของพวกเจ้าหรือ”

“ใช่”

“เหิงฮุ่ยก็เป็นคนของพวกเจ้า”

“ใช่”

“จุดประสงค์ของพวกเจ้าคืออะไร”

“ระเบิดซังผอ ปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ข้างใน”

“สิ่งที่อยู่ข้างในคืออะไร”

“ข้าไม่รู้… ข้าไม่รู้จริงๆ ”

สวี่ชีอันเหลือบมองชายชุดขาว เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงเชื่อปีศาจสาว แล้วถามต่อ “ข้ายังมีคำถามอีก 3 ข้อ”

“คำถามข้อที่หนึ่ง ในเมื่อจะปลดปล่อยสิ่งที่ถูกปิดผนึก เพราะเหตุใดยังต้องบงการเหิงฮุ่ยให้ก่อความวุ่นวาย ฆ่าผิงหย่วนป๋อ โจมตีสำนักงานราชเลขาธิการกระทรวงกลาโหมกลางดึกด้วย”

“คำถามข้อที่สอง ใครเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเจ้า”

“คำถามข้อที่สาม เพราะเหตุใดจึงพุ่งเป้ามาที่ข้า”

ปีศาจสาวลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “คำถามสองข้อก่อนหน้าข้าไม่รู้ ดักซุ่มอยู่ที่เมืองหลวง คอยทำตามคำสั่ง เรื่องอื่นข้าไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น”

“ส่วนที่จัดการเจ้า ข้าได้รับคำสั่งเมื่อไม่นานมานี้ ว่าหากฆ้องทองแดงสวี่ชีอันย่างกรายเข้าสู่หอนางโลม ก็หาวิธีจัดการเขาเสีย”

ชายชุดขาวไม่ได้พูดอะไร สวี่ชีอันคิ้วขมวด เช่นนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ที่หอนางโลมก็คือปีศาจสาวตนนี้นี่เอง… คำสั่งที่ได้รับคือฆ่าปิดปากข้า เพราะข้าเข้าใกล้ความจริงของคดีอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นจึงวางแผนกำจัดภัยคุกคามตั้งแต่ต้นลม ขุดรากถอนโคนข้า

อย่างน้อยก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา เหิงฮุ่ยเป็นช่องโหว่ของคดีจริงๆ ด้วย

“คำถามข้อสุดท้าย แม่นางหมิงเยี่ยนสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าด้วยหรือไม่”

ปีศาจสาวยิ้มเย้ยหยัน “ข้าก็อยากตอบว่าใช่…” ประกายไฟฟ้าของพลังปราณระเบิดดังเปรี๊ยะ สีหน้าของนางบิดเบี้ยว แล้วส่ายหน้า “นางไม่รู้เรื่องด้วย”

“ท่านผู้อาวุโส ข้าถามจบแล้ว” สวี่ชีอันกล่าว

ปีศาจสาวตนนี้ยกให้เป็นความดีความชอบของข้าได้หรือไม่… ขณะที่เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ก็ได้ยินชายชุดขาวเอ่ย “เอาล่ะ ปีศาจสาวตนนี้เป็นความดีความชอบของข้า ข้าจะพานางไปด้วย”

เอ๊ะ ไม่สิ ท่านเป็นยอดฝีมือไม่ใช่หรือ ปฏิกิริยานี้ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดเลย… สวี่ชีอันตอบกลับอย่างงุนงง “อืม ได้สิ ว่าแต่ที่แห่งนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ปีศาจซุ่มซ่อนอีกหรือไม่”

“ตราบใดที่ข้าไปถึง สถานที่อันเต็มไปด้วยภยันตรายก็จะกลายเป็นแดนสุขาวดี” หยางเชียนฮ่วนกล่าวจบด้วยน้ำเสียงโอหัง ก่อนเอ่ย “หอนางโลมปลอดภัยแล้ว”

แม้จะรู้สึกว่าสมองของชายผู้นี้ไม่ปกติอยู่บ้าง ทว่าพลังไม่ใช่เล่นๆ เลย สวี่ชีอันพยักหน้าให้อย่างวางใจ

“เจ้าก้มหน้าสองลมหายใจ” หยางเชียนฮ่วนกล่าวขึ้นปุบปับ

สวี่ชีอันทำตามอย่างงุนงง หลังจากสองลมหายใจ เขาจึงเงยหน้าขึ้น และพบว่าร่างเงาของชายชุดขาวได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว

หลังจากตรวจดูแล้วว่าลมหายใจและการเต้นของหัวใจของคณิกาหมิงเยี่ยนยังปกติดี สวี่ชีอันก็ออกจากสำนักชิงฉือไป ข้อสงสัยหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว เหตุใดต้องก้มหน้าสองลมหายใจด้วย

สวี่ชีอันหอบร่างกายอันอิดโรยเข้าไปในหออิ่งเหมย เมื่อถูกพาตัวเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ก็เห็นฝูเซียงที่ร้องไห้จนดวงตาบวมเป่งเป็นลูกท้อ

แม่นางคณิกานั่งลงข้างเตียง เบี่ยงกายบ่ายหน้าหนี

สวี่ชีอันเหลือบมองนาง ขี้เกียจจะอธิบาย จึงเลิกผ้าห่มล้มตัวลงนอน

เขาไม่อยากค้างแรมที่สำนักชิงฉืออีกต่อไป จะกลับกลางดึกก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงพักอยู่ที่หออิ่งเหมย

………………………………………

[1] 正主 เป็นคำแสลงอินเทอร์เน็ต หมายถึงดาราคนที่แฟนคลับชื่นชอบ หรือ ศัพท์แฟนคลับจะเรียกว่า ‘เมน’ นั่นเอง ซึ่งในที่นี้จะใช้เป็นคำว่า ‘นาย’ แทนเพื่อให้เหมาะสมกับบริบท

[2] 丹田หมายถึง จุดตันเถียน เป็นชื่อตำแหน่งบนร่างกายบริเวณใต้สะดือ 3 ชุ่น บ้างก็ว่าอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้ เป็นจุดที่มีปริมาณชี่สะสมมากกว่าจุดอื่นๆ ในร่างกาย มีด้วยกันทั้งหมด 3 สามจุด ได้แก่ จุดตันเถียนบน(บริเวณหน้าผากเหนือหว่างคิ้ว) จุดตันเถียนกลาง(บริเวณหัวใจ) และจุดตันเถียนล่าง(บริเวณท้องน้อย)

[3] 金坷垃 อ่านว่า จินเข่อลา เป็นปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี ซึ่งออกฉายโฆษณาทางสถานีโทรทัศน์ระดับภูมิภาคบางแห่งในจีนประมาณปีค.ศ.2007 เนื่องจากคำโฆษณาติดปากและมีเนื้อหาเกินจริง จึงถูกนำมาเรื่องตลกและล้อเลียนกันในอินเทอร์เน็ต และกลายมาเป็นวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตในที่สุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง