ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 148

บทที่ 148 เรื่องราว (2)
เรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน…เปลี่ยนความผิดหวังของสวี่ชีอันเป็นความตื่นเต้น ไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องราวที่เหิงหย่วนเล่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวของเหิงฮุ่ยและท่านหญิงผิงหยาง

เรื่องที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคนเป็นกุญแจสำคัญในการไขคดีซังผอ จนถึงตอนนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังไม่ปรากฏตัว มีเพียงเหิงฮุ่ยคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้เพื่อก่อความวุ่นวาย นี่ทำให้ผู้คนต่างครุ่นคิด สรุปแล้วเศษเดนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจต้องการทำอะไรกันแน่

ก่อวินาศกรรมหรือ จนถึงตอนนี้ ก็มีเพียงคดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อเท่านั้น แม้ผลกระทบจะรุนแรง แต่ความเสียหายที่เป็นรูปธรรมกลับไม่มีมาก เหิงฮุ่ยสามารถสังหารทุกสิ่งให้สิ้นได้โดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ และทำให้เมืองหลวงกลาดเกลื่อนด้วยผู้บาดเจ็บและล้มตาย แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น

สิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้หรือ หากเป้าหมายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ เช่นนั้นเหิงฮุ่ยก็น่าจะออกจากเมืองหลวงนานแล้ว

“ตอนนี้คดีของภิกษุเหิงฮุ่ยกับท่านหญิงผิงหยางได้ดึงความสนใจและกลบคดีซังผอไปแล้ว…ข้ารู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจงใจให้เหิงฮุ่ยปรากฏตัวใต้แสงอาทิตย์…”

หยางเยี่ยนสะบัดปลายหอกเบาๆ พลังปราณสลายแขนเสื้อของภิกษุเหิงหย่วน แขนที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดสะสมพลังอันแข็งแกร่งไว้ แต่ไม่ใช่ปีศาจอย่างแน่นอน คราวนี้ก็ตัดความเป็นไปได้ที่มือที่ถูกตัดจะอยู่กับตัวเขา

“อันที่จริงเหิงฮุ่ยได้ตายไปแล้ว ตายไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงซากศพเท่านั้น เขาหลุดพ้นแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดอะไรทั้งสิ้น” เหิงหย่วนมองศิษย์น้องที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ภายในดวงตาของเขาราวกับมีเมฆสีดำก่อตัวอยู่

ครู่หนึ่ง กลุ่มก้อนเมฆในดวงตาของเหิงหย่วนก็สลายไป เหตุการณ์ในอดีตพรั่งพรูออกมาราวกับพายุฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย

เหิงฮุ่ยถูกพ่อแม่ส่งเข้ามาในวัดมังกรเขียวตอนอายุหกขวบ เขาเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาดแฝงอยู่ในดวงตา มองแวบแรกก็ถูกเจ้าอาวาสผานซู่เลือก และรับเป็นลูกศิษย์

เหิงฮุ่ยบรรลุระดับก่อปัญญาภายใต้การอุปการะของศิษย์พี่เหิงหย่วน ศิษย์พี่ที่แข็งแกร่งหน้าตาถมึงทึงผู้นี้เป็นคนสอนเขาอ่านหนังสือท่องตำรา สอนนั่งสมาธิท่องพระคัมภีร์ ในเวลาเดียวกันก็สอนหลักการประพฤติตนให้กับเขา

เขาทั้งรักและเคารพศิษย์พี่คนนี้ราวกับเป็นพ่อของตัวเอง

หลายปีผ่านไปเพียงพริบตา ภิกษุน้อยเหิงฮุ่ยได้เติบโตขึ้นเป็นภิกษุรูปหล่อ เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิตเหมือนกับท่านอาจารย์และศิษย์พี่

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้พบกับแม่นางคนหนึ่ง…

วันนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง เขาซักผ้าอยู่ในลำธาร เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งลอยมาตามลำธาร เขาเก็บมันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ได้ยินเสียงอันไพเราะราวกับนกขมิ้นดังขึ้นในหู

“ไต้ซือ นั่นเป็นผ้าเช็ดหน้าของข้า ข้าขอคืนได้หรือไม่”

เหิงฮุ่ยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวสะโอดสะองผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหินสีเขียวที่ต้นน้ำ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูกลีบบัว เกล้าผมยาวแบบสาวน้อยที่ยังไม่ได้แต่งงาน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ใบหน้างดงามภายใต้แสงอาทิตย์ และมีดวงตาที่เปื้อนยิ้มคู่หนึ่ง

“สีกา…เป็นฆราวาสในวัดหรือ”

“ทำไมล่ะเจ้าคะ หากข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ฆราวาส ท่านจะไม่คืนผ้าเช็ดหน้าให้ข้าหรือ” นางเท้าเอว แสร้งทำเป็นโกรธเคือง

“ไม่ใช่ๆ อาตมาเพียงแค่รู้สึกไม่คุ้นหน้าสีกา” เขาอธิบายพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ด้วยมือทั้งสองข้าง

“หึ ท่านเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานและท่องพระคัมภีร์ทุกวัน เคยเห็นฆราวาสอยู่ในสายตาเสียที่ไหน”

“สีการู้ได้อย่างไร”

“เพราะข้าจับตาดูท่านมานานมากแล้วอย่างไรล่ะ

ในช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ผลิอันสดใส น้ำในลำธารไหลเอื่อยๆ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเขา

ความคุ้นเคยและความสนิทสนมของทั้งสองคนเป็นไปตามธรรมชาติ

เมื่อเหิงฮุ่ยนั่งสมาธิ สาวน้อยก็จะอยู่ข้างๆ และอ่านหนังสือต้องห้ามที่นางซ่อนไว้ฆ่าเวลา หรือโบกพัดเบาๆ เท้าคางมองใบหน้าที่มีสมาธิของเหิงฮุ่ยนิ่งๆ

บางครั้งนางก็ใช้หญ้าหางสุนัขหยอกล้อเขา ทำให้เขาไม่อาจเพ่งสมาธินั่งสมาธิได้ ซึ่งนี่ทำให้ภิกษุรูปหล่อรำคาญใจ จนพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หากสีกาทำเช่นนี้อีก อาตมาจะกักตน”

นางมักจะแลบลิ้น และขอโทษอย่างขอไปที

บางครั้งพวกเขาก็จะไปเที่ยวชมภูเขาด้วยกัน ทิวทัศน์ของภูเขาไป่ฟ่งช่างงดงาม เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ทั่วทั้งภูเขาก็เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส นางยิ้มท่ามกลางพุ่มไม้ แยกไม่ออกว่าดอกไม้หรือคนสวยกว่า

หลังจากนั้นข่าวลือเกี่ยวกับทั้งสองคนก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในหมู่ภิกษุของวัดมังกรเขียวว่าเขาอาบัติปาราชิก ละเมิดศีลราคะ และเป็นภิกษุที่เสเพล

อาจารย์ผานซู่ถามเขาสามคำถามต่อหน้าพระพุทธรูป “ยังศัรทธาพระพุทธองค์อยู่หรือไม่ หมายปองหญิงสาวคนนั้นหรือไม่ และอยากลาสิกขาหรือไม่”

เขาตอบอย่างหนักแน่นว่า “ตัวเองยังคงศรัทธาในพระพุทธองค์ ไม่ได้หมายปองหญิงสาวคนนั้น และประสงค์จะอยู่รับใช้พระพุทธองค์ตลอดไป ไม่คิดลาสิกขา”

ดังนั้น เจ้าอาวาสมีคำขอเพียงหนึ่งข้อ นั่นคือห้ามพูดคุยกับนางอีก

แต่ทำไมถึงไม่ห้ามว่าไม่เจอนางอีก หรือไม่ให้นางเข้ามาในวัด เหิงฮุ่ยมารู้ภายหลังว่า เจ้าอาวาสไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่ทำไม่ได้

เพราะนางคือท่านหญิงผิงหยาง ธิดาของอวี้อ๋อง

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เหิงฮุ่ยก็เมินเฉยต่อนาง เมื่อนางมาหา เขาจะหลับตานั่งสมาธิ ไม่แยแสต่อการหยอกล้อหรือการเล่นพิเรนทร์ของนาง

ทุกวันนางมาด้วยใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความคาดหวัง และจากไปด้วยความผิดหวังและเหงาหงอย

“ท่านภิกษุ ดอกไม้ดอกนี้งดงามหรือไม่ มันเหมาะกับข้ามากเลยนะ”

“…”

“ท่านภิกษุ ข้าบรรเลงกู่ฉินให้ท่านฟังดีหรือไม่ ข้าตั้งใจนำมันมาจากบ้านเชียวนะ”

“…”

“ท่านภิกษุ ข้าเวียนหัว ไม่สบาย ท่านไม่สนใจข้าหรือ”

“…”

“ท่านภิกษุ ท่านยืนกรานที่จะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในความโดดเดี่ยวหรือ”

“…”

ในที่สุดนางก็เลิกมาป้วนเปี้ยน นางไม่ได้ย่างก้าวเข้ามาในวัดมังกรเขียวเป็นเวลาหนึ่งเดือน และออกไปจากชีวิตของเขาโดยสมบูรณ์ ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

ในที่สุดข้าสามารถรับใช้กับพระพุทธองค์ต่อไปได้ โดยไม่มีใครรบกวน… เขาถอนหายใจ และรู้สึกว่าความจริงใจของตัวเองได้สร้างความซาบซึ้งใจให้แก่พระพุทธองค์

วันหนึ่ง นางมาอีกครั้ง ท่าทางไร้จิตวิญญาณ ใบหน้าซูบผอม และสีหน้าซีดเซียว

“ท่านภิกษุ ข้ากำลังจะแต่งงาน”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลูกประคำจึงกระจัดกระจายไปเต็มพื้น

ขณะนี้อวี้อ๋องอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ เขาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกรมทหาร ด้วยการสนับสนุนของเหล่าขุนนางชั้นสูง จึงมีความหวังว่าจะได้เข้าสู่คณะรัฐมนตรี

ตัวอย่างขุนนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหราชเลขาธิการก็ถือว่ามีไม่น้อยในราชสำนัก วิเคราะห์จากประวัติศาสตร์หกร้อยปี มีขุนนางชั้นสูงถึงห้าคนที่ได้ดำรงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ

สำหรับกลุ่มขุนนางชั้นสูงที่ค่อยๆ อ่อนแอลง การเรืองอำนาจของอวี้อ๋องทำให้พวกเขาแลเห็นความหวัง ซึ่งบีบให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

อวี้อ๋องผู้กำลังเผชิญกับปากเหยี่ยวปากกาได้จัดงานแต่งงานให้ท่านหญิงผิงหยาง ที่เขาทำไปไม่เพียงแต่เพื่อหาที่พึ่งพิงให้กับลูกสาวเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้นผ่านการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อีกด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง