ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 148

บทที่ 148 เรื่องราว (2)
เรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน…เปลี่ยนความผิดหวังของสวี่ชีอันเป็นความตื่นเต้น ไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องราวที่เหิงหย่วนเล่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวของเหิงฮุ่ยและท่านหญิงผิงหยาง

เรื่องที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคนเป็นกุญแจสำคัญในการไขคดีซังผอ จนถึงตอนนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังไม่ปรากฏตัว มีเพียงเหิงฮุ่ยคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้เพื่อก่อความวุ่นวาย นี่ทำให้ผู้คนต่างครุ่นคิด สรุปแล้วเศษเดนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจต้องการทำอะไรกันแน่

ก่อวินาศกรรมหรือ จนถึงตอนนี้ ก็มีเพียงคดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อเท่านั้น แม้ผลกระทบจะรุนแรง แต่ความเสียหายที่เป็นรูปธรรมกลับไม่มีมาก เหิงฮุ่ยสามารถสังหารทุกสิ่งให้สิ้นได้โดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ และทำให้เมืองหลวงกลาดเกลื่อนด้วยผู้บาดเจ็บและล้มตาย แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น

สิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้หรือ หากเป้าหมายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ เช่นนั้นเหิงฮุ่ยก็น่าจะออกจากเมืองหลวงนานแล้ว

“ตอนนี้คดีของภิกษุเหิงฮุ่ยกับท่านหญิงผิงหยางได้ดึงความสนใจและกลบคดีซังผอไปแล้ว…ข้ารู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจงใจให้เหิงฮุ่ยปรากฏตัวใต้แสงอาทิตย์…”

หยางเยี่ยนสะบัดปลายหอกเบาๆ พลังปราณสลายแขนเสื้อของภิกษุเหิงหย่วน แขนที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดสะสมพลังอันแข็งแกร่งไว้ แต่ไม่ใช่ปีศาจอย่างแน่นอน คราวนี้ก็ตัดความเป็นไปได้ที่มือที่ถูกตัดจะอยู่กับตัวเขา

“อันที่จริงเหิงฮุ่ยได้ตายไปแล้ว ตายไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงซากศพเท่านั้น เขาหลุดพ้นแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดอะไรทั้งสิ้น” เหิงหย่วนมองศิษย์น้องที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ภายในดวงตาของเขาราวกับมีเมฆสีดำก่อตัวอยู่

ครู่หนึ่ง กลุ่มก้อนเมฆในดวงตาของเหิงหย่วนก็สลายไป เหตุการณ์ในอดีตพรั่งพรูออกมาราวกับพายุฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย

เหิงฮุ่ยถูกพ่อแม่ส่งเข้ามาในวัดมังกรเขียวตอนอายุหกขวบ เขาเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาดแฝงอยู่ในดวงตา มองแวบแรกก็ถูกเจ้าอาวาสผานซู่เลือก และรับเป็นลูกศิษย์

เหิงฮุ่ยบรรลุระดับก่อปัญญาภายใต้การอุปการะของศิษย์พี่เหิงหย่วน ศิษย์พี่ที่แข็งแกร่งหน้าตาถมึงทึงผู้นี้เป็นคนสอนเขาอ่านหนังสือท่องตำรา สอนนั่งสมาธิท่องพระคัมภีร์ ในเวลาเดียวกันก็สอนหลักการประพฤติตนให้กับเขา

เขาทั้งรักและเคารพศิษย์พี่คนนี้ราวกับเป็นพ่อของตัวเอง

หลายปีผ่านไปเพียงพริบตา ภิกษุน้อยเหิงฮุ่ยได้เติบโตขึ้นเป็นภิกษุรูปหล่อ เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิตเหมือนกับท่านอาจารย์และศิษย์พี่

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้พบกับแม่นางคนหนึ่ง…

วันนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง เขาซักผ้าอยู่ในลำธาร เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งลอยมาตามลำธาร เขาเก็บมันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ได้ยินเสียงอันไพเราะราวกับนกขมิ้นดังขึ้นในหู

“ไต้ซือ นั่นเป็นผ้าเช็ดหน้าของข้า ข้าขอคืนได้หรือไม่”

เหิงฮุ่ยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวสะโอดสะองผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหินสีเขียวที่ต้นน้ำ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูกลีบบัว เกล้าผมยาวแบบสาวน้อยที่ยังไม่ได้แต่งงาน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ใบหน้างดงามภายใต้แสงอาทิตย์ และมีดวงตาที่เปื้อนยิ้มคู่หนึ่ง

“สีกา…เป็นฆราวาสในวัดหรือ”

“ทำไมล่ะเจ้าคะ หากข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ฆราวาส ท่านจะไม่คืนผ้าเช็ดหน้าให้ข้าหรือ” นางเท้าเอว แสร้งทำเป็นโกรธเคือง

“ไม่ใช่ๆ อาตมาเพียงแค่รู้สึกไม่คุ้นหน้าสีกา” เขาอธิบายพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ด้วยมือทั้งสองข้าง

“หึ ท่านเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานและท่องพระคัมภีร์ทุกวัน เคยเห็นฆราวาสอยู่ในสายตาเสียที่ไหน”

“สีการู้ได้อย่างไร”

“เพราะข้าจับตาดูท่านมานานมากแล้วอย่างไรล่ะ

ในช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ผลิอันสดใส น้ำในลำธารไหลเอื่อยๆ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเขา

ความคุ้นเคยและความสนิทสนมของทั้งสองคนเป็นไปตามธรรมชาติ

เมื่อเหิงฮุ่ยนั่งสมาธิ สาวน้อยก็จะอยู่ข้างๆ และอ่านหนังสือต้องห้ามที่นางซ่อนไว้ฆ่าเวลา หรือโบกพัดเบาๆ เท้าคางมองใบหน้าที่มีสมาธิของเหิงฮุ่ยนิ่งๆ

บางครั้งนางก็ใช้หญ้าหางสุนัขหยอกล้อเขา ทำให้เขาไม่อาจเพ่งสมาธินั่งสมาธิได้ ซึ่งนี่ทำให้ภิกษุรูปหล่อรำคาญใจ จนพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หากสีกาทำเช่นนี้อีก อาตมาจะกักตน”

นางมักจะแลบลิ้น และขอโทษอย่างขอไปที

บางครั้งพวกเขาก็จะไปเที่ยวชมภูเขาด้วยกัน ทิวทัศน์ของภูเขาไป่ฟ่งช่างงดงาม เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ทั่วทั้งภูเขาก็เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส นางยิ้มท่ามกลางพุ่มไม้ แยกไม่ออกว่าดอกไม้หรือคนสวยกว่า

หลังจากนั้นข่าวลือเกี่ยวกับทั้งสองคนก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในหมู่ภิกษุของวัดมังกรเขียวว่าเขาอาบัติปาราชิก ละเมิดศีลราคะ และเป็นภิกษุที่เสเพล

อาจารย์ผานซู่ถามเขาสามคำถามต่อหน้าพระพุทธรูป “ยังศัรทธาพระพุทธองค์อยู่หรือไม่ หมายปองหญิงสาวคนนั้นหรือไม่ และอยากลาสิกขาหรือไม่”

เขาตอบอย่างหนักแน่นว่า “ตัวเองยังคงศรัทธาในพระพุทธองค์ ไม่ได้หมายปองหญิงสาวคนนั้น และประสงค์จะอยู่รับใช้พระพุทธองค์ตลอดไป ไม่คิดลาสิกขา”

ดังนั้น เจ้าอาวาสมีคำขอเพียงหนึ่งข้อ นั่นคือห้ามพูดคุยกับนางอีก

แต่ทำไมถึงไม่ห้ามว่าไม่เจอนางอีก หรือไม่ให้นางเข้ามาในวัด เหิงฮุ่ยมารู้ภายหลังว่า เจ้าอาวาสไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่ทำไม่ได้

เพราะนางคือท่านหญิงผิงหยาง ธิดาของอวี้อ๋อง

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เหิงฮุ่ยก็เมินเฉยต่อนาง เมื่อนางมาหา เขาจะหลับตานั่งสมาธิ ไม่แยแสต่อการหยอกล้อหรือการเล่นพิเรนทร์ของนาง

ทุกวันนางมาด้วยใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความคาดหวัง และจากไปด้วยความผิดหวังและเหงาหงอย

“ท่านภิกษุ ดอกไม้ดอกนี้งดงามหรือไม่ มันเหมาะกับข้ามากเลยนะ”

“…”

“ท่านภิกษุ ข้าบรรเลงกู่ฉินให้ท่านฟังดีหรือไม่ ข้าตั้งใจนำมันมาจากบ้านเชียวนะ”

“…”

“ท่านภิกษุ ข้าเวียนหัว ไม่สบาย ท่านไม่สนใจข้าหรือ”

“…”

“ท่านภิกษุ ท่านยืนกรานที่จะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในความโดดเดี่ยวหรือ”

“…”

ในที่สุดนางก็เลิกมาป้วนเปี้ยน นางไม่ได้ย่างก้าวเข้ามาในวัดมังกรเขียวเป็นเวลาหนึ่งเดือน และออกไปจากชีวิตของเขาโดยสมบูรณ์ ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

ในที่สุดข้าสามารถรับใช้กับพระพุทธองค์ต่อไปได้ โดยไม่มีใครรบกวน… เขาถอนหายใจ และรู้สึกว่าความจริงใจของตัวเองได้สร้างความซาบซึ้งใจให้แก่พระพุทธองค์

วันหนึ่ง นางมาอีกครั้ง ท่าทางไร้จิตวิญญาณ ใบหน้าซูบผอม และสีหน้าซีดเซียว

“ท่านภิกษุ ข้ากำลังจะแต่งงาน”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลูกประคำจึงกระจัดกระจายไปเต็มพื้น

ขณะนี้อวี้อ๋องอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ เขาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกรมทหาร ด้วยการสนับสนุนของเหล่าขุนนางชั้นสูง จึงมีความหวังว่าจะได้เข้าสู่คณะรัฐมนตรี

ตัวอย่างขุนนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหราชเลขาธิการก็ถือว่ามีไม่น้อยในราชสำนัก วิเคราะห์จากประวัติศาสตร์หกร้อยปี มีขุนนางชั้นสูงถึงห้าคนที่ได้ดำรงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ

สำหรับกลุ่มขุนนางชั้นสูงที่ค่อยๆ อ่อนแอลง การเรืองอำนาจของอวี้อ๋องทำให้พวกเขาแลเห็นความหวัง ซึ่งบีบให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

อวี้อ๋องผู้กำลังเผชิญกับปากเหยี่ยวปากกาได้จัดงานแต่งงานให้ท่านหญิงผิงหยาง ที่เขาทำไปไม่เพียงแต่เพื่อหาที่พึ่งพิงให้กับลูกสาวเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้นผ่านการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อีกด้วย

“ท่านภิกษุ ท่านอยากหนีไปกับข้าหรือไม่”

“…ไปสิ”

เหิงฮุ่ยตอบตกลง ในที่สุดเขาก็มองเห็นหัวใจของตัวเองอย่างชัดเจน และเลือกเผชิญหน้ากับตัวเองที่แท้จริง

พวกเขาเริ่มวางแผนการหลบหนี การไปไหนมาไหนของท่านหญิงผิงหยางล้วนมีองค์รักษ์ประกบข้างไปด้วย หากนางหายตัวไปเกินครึ่งชั่วยาม ทหารรักษาพระองค์ก็จะค้นภูเขา ไม่นานนัก ข่าวก็จะส่งกลับไปที่จวนอวี้อ๋อง

ดังนั้นหากคิดจะหลบหนีให้สำเร็จ พวกเขาจำเป็นต้องมีอาวุธเวทมนตร์ที่สามารถปกปิดกลิ่นอายได้ เพื่อซ่อนตัวจากการตามจับของจอมเวทแห่งสำนักโหราจารย์

สุดท้ายจำเป็นต้องมีช่องทางที่ช่วยตระเตรียมทะเบียนสำมะโนครัวใหม่ให้พวกเขา และช่วยพวกเขาออกจากเมืองหลวงได้

ด้วยเหตุผลนี้ ท่านหญิงผิงหยางจึงขอร้องเพื่อนที่ไว้ใจได้ โดยหวังว่าเขาจะช่วยตนได้

“บุตรของผิงหย่วนป๋อ เพื่อนคนนั้นคือบุตรของผิงหย่วนป๋อ!?” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างขึงขัง และขัดจังหวะเรื่องราวของเหิงหย่วน

ทุกอย่างกระจ่างแจ้งทันใด ผิงหย่วนป๋อมีองค์กรนายหน้าอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเชี่ยวชาญการปลอมแปลงตัวตนและการลักลอบเข้าเมืองมากที่สุด ถึงแม้ท่านหญิงผิงหยางจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ขององค์กรนายหน้า แต่ทั้งสองครอบครัวก็คบค้าสมาคมกันมาหลายชั่วคน หากจะล่วงรู้ขั้นตอนบางอย่างของจวนผิงหย่วนป๋อบ้างก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

อวี้อ๋องเคยพูดว่า ผิงหย่วนป๋อสมคบกับขุนนางบุ๋น และเอาใจออกหากจากกลุ่มขุนนางชั้นสูง ผิงหย่วนป๋อจึงมีแรงจูงใจที่จะลอบทำร้ายผิงหยางแน่นอน

ซึ่งนำไปสู่คดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อในภายหลัง… เพียงแค่ไม่รู้ว่าจวนเจ้ากรมกรมทหารรับบทบาทอะไรในเรื่องราวนั้น… สวี่ชีอันมองหมายเลขหกเหิงหย่วน และคิดในใจ เจ้ามั่นใจว่าพวกเขาถูกลักพาตัวเพราะรู้ว่าพวกเขาเคยติดต่อกับองค์กรนายหน้าหรือ

ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของทุกคน เขาไม่กล้าถามออกไป

หลังจากฆ้องทองคำสองสามนายฟังคำพูดของสวี่ชีอัน พวกเขาก็มองไปที่เหิงหย่วนด้วยสายตาเชิงคาดคั้น

“ใช่” เหิงหย่วนพยักหน้าเบาๆ “ท่านหญิงผิงหยางผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่รู้จักความซับซ้อนของสถานการณ์ในราชสำนัก จึงไม่เข้าใจความชั่วร้ายของใจคน หญิงสาวผู้ไร้เดียงสากับภิกษุที่เคยแต่ท่องพระคัมภีร์สวดมนต์ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่พวกเขาตัดสินใจหนีตามกันไป จุดจบอันน่าเศร้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เวลานั้นดูจากภายนอกผิงหย่วนป๋อเหมือนสนิทสนมกับกลุ่มขุนนางชั้นสูงแต่ความจริงไม่ใช่ หลังจากที่เขารู้เรื่องนี้จากบุตรชาย จึงปรึกษากับจางฟ่งรองเจ้ากรมกรมทหารในขณะนั้นและซุนหมิงจงขุนนางใกล้ชิดจากกรมการคลัง และวางแผนส่งท่านหญิงผิงหยางออกจากเมืองหลวง เพื่อโจมตีอวี้อ๋อง”

“แล้วตอนนี้ท่านหญิงผิงหยางอยู่ที่ไหน” เจียงลวี่จงเอ่ยเสียงเข้ม

เหิงหย่วนดูเหมือนจะไม่ได้ยิน และพูดต่อ “หัวใจของคนราวกับงูและแมงป่อง หลังพาทั้งคู่จากเมืองหลวง บุตรชายของผิงหย่วนป๋อก็สมรู้ร่วมคิดกับบุตรชายของซุนหมิงจงขุนนางใกล้ชิดและจางฟ่งรองเจ้ากรมกรมทหาร หวังจะหมิ่นเกียรติท่านหญิงผิงหยางระหว่างทาง ทั้งสองต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อต่อต้าน สุดท้ายคนหนึ่งถูกฆ่า อีกคนกลืนปิ่นฆ่าตัวตาย เพื่อปกปิดความผิด พวกเขาฝังศพของเหิงฮุ่ยกับท่านหญิงผิงหยางไว้ในภูเขารกร้าง พร้อมกับฝังอาวุธเวทมนตร์ที่ปกปิดกลิ่นอายชิ้นนั้นไว้ด้วย โลกภายนอกรู้เพียงแค่ว่าท่านหญิงผิงหยางหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ แม้ว่าจะตรวจสอบที่วัดมังกรเขียว ก็คงคิดเพียงแค่ว่าพวกเขาสองคนหนีตามกันไป ใครจะคิดว่าพวกเขาตายไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว”

ท่านหญิงผิงหยางตายแล้ว…เหล่าฆ้องทองคำมองหน้ากันในความเงียบ สีหน้าเคร่งขรึมจนน่ากลัว

ท่านหญิงผิงหยางเป็นถึงธิดาของอวี้อ๋อง และหลานสาวของจักรพรรดิหยวนจิ่ง การสังหารท่านหญิงเป็นความผิดมหันต์ต้องถูกประหารสามชั่วโคตร

หนานกงเชี่ยนโหรวกำด้ามดาบแน่น และหรี่ตาลง “ในเมื่อเหิงฮุ่ยตายแล้ว เหตุใดเขาถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกครั้งในหนึ่งปีให้หลัง”

นี่ก็เป็นความสงสัยในใจของทุกคนเช่นกัน

คนตายก็เหมือนไฟดับ ไม่อาจฟื้นคืนชีพกลับมาได้

“เขาตายไปแล้ว” เหิงหย่วนพูดบางอย่างที่ทุกคนฟังไม่เข้าใจ

“เขาตายไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ถูกใครบางคนใช้วิชาลับผนึกจิตเดิมไว้ในกายเนื้อ และกลายเป็นซากศพที่ไร้สติสัมปชัญญะ ภายในหนึ่งปีมานี้สิ่งที่ประคับประคองเขาไว้คือการแก้แค้น เป็นหนี้แค้นที่ติดค้างท่านหญิงผิงหยาง หากพวกเจ้าไม่เชื่อ นำศพกลับไปยังที่ทำการปกครองให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพตรวจสอบดูก็จะรู้”

“ใครเป็นคนช่วยเขา ” ฆ้องทองคำนายหนึ่งเอ่ยถาม

เหิงหย่วนส่ายหน้า

ฆ้องทองคำผู้นั้นชำเลืองมองหยางเยี่ยนกับคนอื่นๆ และถามคำถามเพิ่ม “ศพของท่านหญิงผิงหยางอยู่ที่ไหน พาพวกเราไปสิ”

หลังจากชะงักไปชั่วครู่ เขาก็สั่งฆ้องเงินที่อยู่รอบๆ “ส่งศพของเหิงฮุ่ยกลับไปที่ทำการปกครอง”

ฆ้องทองคำสองสามนายคุมตัวเหิงหย่วนออกจากลานเล็ก มอบม้าให้เขา แล้วเคลื่อนขบวนออกจากเมืองไปอย่างยิ่งใหญ่

สวี่ชีอันขี่อยู่บนหลังม้า ในใจหนักอึ้ง เขาไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน หลังจากนั้นสักพักใหญ่ก็เอ่ยเสียงเบา “คนคนนั้นคือเหิงหย่วนหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาถูกช่วงชิงร่างหรือถูกควบคุมอยู่”

แมวสีเทาที่นอนอยู่บนไหล่ของเขาพูดอย่างเกียจคร้าน “เป็นเหิงหย่วนไม่ผิดแน่ อา แม้ว่าข้าจะมองปราณไม่ได้ แต่ก็มีวิธีแยกแยะความจริงกับความเท็จของตัวเอง”

“เหิงฮุ่ยตายแล้วจริงๆ หรือ” สวี่ชีอันไม่ค่อยเชื่อ

“ความเป็นความตายของเขาไม่ใช่กุญแจสำคัญของคดี” แมวสีเทาเอ่ยเสียงเบา “เขาเป็นหุ่นเชิด มือปีศาจหายไป ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลัง ความเป็นความตายของเขาไม่สำคัญอีกต่อไป เจ้าควรจะรู้สึกดีใจ ที่คดีคลี่คลายง่ายกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้”

“ข้าไม่อาจมีความสุขได้จริงๆ เหิงฮุ่ยกับท่านหญิงผิงหยางต่างก็เป็นคนที่น่าสงสาร” สวี่ชีอันยกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มออกมา

เขาถอนหายใจและเปลี่ยนหัวข้อ “คดีของเหิงฮุ่ยมีปัญหา เหมือนกับว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจงใจผลักเขาออกมาจากหลังม่าน”

บริเวณชายแดนมณฑลไท่กังกับอำเภอฉางเล่อ ในภูเขารกร้างสักแห่ง เหิงหย่วนเดินไปพลาง มองรอบๆ ไปพลาง ราวกับว่ากำลังค้นหาอะไรอยู่

กระบวนการนี้ทั้งไร้ประสิทธิภาพและเชื่องช้า เขาบอกเหล่าฆ้องทองคำว่า เหิงฮุ่ยบอกตำแหน่งคร่าวๆ แก่เขาเท่านั้น และบอกเขาว่าท่านหญิงผิงหยางถูกฝังอยู่ใต้ต้นตั๊กแตนขนาดสามคนโอบต้นหนึ่ง

เหล่าฆ้องทองคำกับฆ้องเงินกระจายกันออกไปโดยมีเหิงหย่วนเป็นศูนย์กลาง และคุ้มกันเขาไว้รอบด้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนี

ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาก็หาต้นตั๊กแตนต้นนั้นเจอ ฆ้องเงินสามนายตัดพุ่มไม้กับวัชพืชใต้ต้นตั๊กแตนออก และใช้ดาบพกเป็นพลั่ว ขุดอยู่พักหนึ่ง ดินสีดำก็เผยให้เห็นโครงกระดูกรางๆ

“ใต้เท้า เจอแล้วขอรับ” ฆ้องเงินหันกลับมาและตะโกนอย่างตื่นเต้น

“ขุดออกมา!” หนานกงเชี่ยนโหรวสั่งการอย่างเคร่งขรึม

ศพกระดูกของท่านหญิงผิงหยางเผยต่อสายตาของทุกคนทีละนิด ผ่านไปปีกว่า ในที่สุดนางก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

เนื้อหนังเน่าเปื่อย เหลือเพียงโครงกระดูก ติดกับผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง น่าจะเป็นเสื้อผ้าที่สวมก่อนตาย นอกจากนี้ระหว่างลำคอกับหน้าอกของซากกระดูกศพยังพบปิ่นสีทองหม่นอีก

เป็นไปตามที่เหิงหย่วนบอกไว้ นางกลืนปิ่นฆ่าตัวตาย

“อามิตตาพุทธ” เหิงหย่วนทนมองไม่ได้ เขาหลับตาลง และกล่าวอามิตตาพุทธด้วยความเศร้าโศก

“หากไม่มีของสิ่งอื่น ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าโครงกระดูกนี้เป็นท่านหญิงผิงหยาง” เจียงลวี่จงขมวดคิ้ว

“นี่เป็นเรื่องปกติ” ขณะที่เหล่าฆ้องทองคำใคร่ครวญ สวี่ชีอันก็เดินไปใต้ต้นตั๊กแตน และพูดว่า “ท่านหญิงผิงหยางหนีไปกับคนรัก นางจำเป็นต้องปลอมตัว นางคงไม่นำของมีค่าติดตัวมาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อื่น เก็บกระดูกศพไปก่อน และนำกลับไปยังที่ทำการปกครอง จากนั้นส่งคนไปแจ้งที่จวนอวี้อ๋อง บางทีอวี้อ๋องอาจจะจำปิ่นสีทองอันนี้ได้”

เมื่อเก็บซากกระดูกศพเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็เดินออกจากภูเขา เจียงลวี่จงตบไหล่ของสวี่ชีอัน “ทำได้ไม่เลว”

หยางเยี่ยนที่ไม่ชอบพูดพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยปากเป็นครั้งแรก “คดีนี้เป็นผลงานแรกของเจ้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วคดีซังผอจะหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ฝ่าบาทก็คงยกเว้นโทษให้เจ้า”

ขณะที่สวี่ชีอันกำลังจะพูด เขาก็รู้สึกราวกับว่าหลังของเขาถูกมีดกรีดแทง

เขาไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่า สายตาที่คมกริบนั้นมาจากฆ้องทองคำจู

…………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง