‘สาเหตุการตาย: ใบมีดคมแทงทะลุหัวใจ (บาดแผลเก่า)’
‘ผลการชันสูตรศพ: เนื้อกับอวัยวะภายในเป็นสีม่วงเข้ม มีซือกู่ไหลเวียนอยู่ในเนื้อ คอยรักษาร่างของเขาไม่ให้เน่าเปื่อย เป็นเพียงศพเดินได้ ตายมานานกว่าหนึ่งปี’
‘ผู้ตาย: ศพนิรนาม’
‘ส่วนสูงห้าฟุตสี่นิ้ว เพศหญิง โครงกระดูกสภาพดี ไม่แตกหัก ไม่มีร่องรอยการถูกวางยาพิษ ข้อนิ้วสมส่วน ไม่เชี่ยวชาญการทำงานหนัก…’
ภายในที่ทำการ เมื่อสวี่ชีอันอ่านรายงานผลการชันสูตรศพเสร็จ เขาก็ส่งมันคืนให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ และหมุนตัวเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าซึ่งอยู่ถัดจากห้องชันสูตรศพ
ฆ้องทองคำสิบนายมารวมตัวกัน เว่ยเยวียนนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน และดื่มชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สวี่ชีอันเดินไปข้างหลังเว่ยเยวียนเงียบๆ และฟังเหล่าฆ้องทองคำโต้เถียงกันเรื่องร่างจริงของศพผู้หญิงกับความเชื่อมโยงระหว่างท่านหญิงผิงหยางกับคดีซังผอ
คดีท่านหญิงผิงหยางเวลานี้ถือว่าสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว การสอบสวนขั้นต่อมาข้าคงไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมท่านหญิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฆ้องทองแดงอย่างข้าจะเข้าร่วมได้ แต่คดีซังผอยังไม่คลี่คลาย…ไม่รู้ว่าผลงานที่ข้าทำในคดีท่านหญิงผิงหยางจะหักล้างโทษตัดเอวของข้าได้หรือไม่…หากไม่ได้ พ่อจะ**ทวดของจักรพรรดิหยวนจิ่งซะเลย
ขณะที่แอบสาปแช่งในใจ เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็ยืนอยู่ที่ประตู และพูดว่า “เว่ยกง ใต้เท้าทุกท่าน อวี้อ๋องมาถึงแล้ว”
อวี้อ๋องมาถึงแล้ว… เหล่าฆ้องทองคำสบตากัน และมองไปทางเว่ยเยวียนอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อขันทีชุดเขียวผู้มีผมขาวแซมข้าง ดื่มชาอึกสุดท้ายเสร็จ เขาก็มองไปที่เจ้าพนักงาน และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เชิญอวี้อ๋องไปที่ห้องชันสูตรศพ”
หลังจากพูดจบ เขาก็วางแก้วลง และถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปที่ห้องชันสูตรศพ ตามด้วยทุกคนภายในห้องโถง
เมื่อมาถึงด้านนอกห้องชันสูตรศพ เหล่าฆ้องทองคำไม่ได้เข้าไป แต่แบ่งออกเป็นสองแถวที่ประตู มีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไป
อวี้อ๋องมาถึงแล้ว ชายสภาพไร้เรี่ยวแรงเดินมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ แต่กลับดูเหมือนว่าเขาเก็บงำทุกสีหน้าเอาไว้ทั้งหมด
ฝีเท้าของเขาไม่เร็วไม่ช้า แต่ดูเหมือนข้างหลังมีวิญญาณร้ายไล่ตาม…
เมื่อเดินมาถึงประตูห้องชันสูตรศพ เขาก็หยุดไปสองสามวินาที และยกขาก้าวข้ามธรณีประตูไป
ห้องชันสูตรศพมีแสงส่องทั่วถึง แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างตาราง ทิ้งจุดแสงสว่างสม่ำเสมอไว้บนพื้น
เมื่ออวี้อ๋องเห็นศพโครงกระดูกที่วางอยู่บนเตียงไม้ วินาทีนี้ เขารู้สึกตึงเครียดจนอยากหนีออกไปจากที่นี่
แต่ด้วยความยึดมั่นในฐานะพ่อทำให้เขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ภายในห้องชันสูตรศพมีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้น เขานำปิ่นสีทองออกมาจากแขนเสื้อ และเอ่ยเสียงเบา “นี่คือสิ่งที่พบบนร่างของนาง ซึ่งนางใช้เพื่อฆ่าตัวตาย ดูสิ ท่านรู้จักหรือไม่”
สายตาของอวี้อ๋องแข็งค้าง และสีหน้าของเขาก็นิ่งงันอยู่เช่นกัน ราวกับรูปปั้นที่ค่อยๆ ผุกร่อน
“เป็นของนาง” อวี้อ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันขมขื่น
ภายในห้องอันว่างเปล่าตกอยู่ในความเงียบ ชายวัยกลางคนสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก
ผ่านไปนานมาก อวี้อ๋องที่ก้มหน้ามองปิ่นสีทองก็ถามด้วยเสียงแหบแห้ง “ใครเป็นคนทำ”
“ตรวจสอบพบเพียงแค่สามคน ผิงหย่วนป๋อ จางฟ่งเจ้ากรมกรมทหารกับขุนนางใกล้ชิดจากกรมการคลัง” เว่ยเยวียนจ้องมองเขา นัยน์ตาอันล้ำลึกแฝงความผันผวนที่ถูกชะล้างไปตามกาลเวลา “แผนเดิมของพวกเขาสามคนน่าจะหลอกล่อนางออกจากเมืองหลวง แต่บุตรชายของพวกเขาเกิดความคิดกระทำการหยาบช้าจากความใคร่ จนไม่คิดจะปล่อยให้ท่านหญิงที่หลุดรอดสายตาของจวนอวี้อ๋องรอดชีวิตไปได้”
“นางถูกหมิ่นเกียรติหรือ” เสียงของอวี้อ๋องเรียบนิ่งจนน่ากลัว
“นางกลืนปิ่นฆ่าตัวตาย” เว่ยเยวียนส่ายหน้า เมื่อพูดจบ เขาก็มองอวี้อ๋อง “แต่พวกเรายังไม่อาจยืนยันได้ว่านางเป็นท่านหญิง ปิ่นสีทองเพียงอันเดียวไม่อาจยืนยันได้”
“ข้าคิดว่า ท่านรู้ว่าควรทำอย่างไร”
อวี้อ๋องจากไป นอกจากการชำเลืองมองตอนก้าวเข้าไปในห้องชันสูตรศพ เขาก็ไม่มองซากกระดูกศพอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่านั่นเป็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ เมื่อมองแผ่นหลังที่จากไปของเขา สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าอวี้อ๋องดูแก่ขึ้นมากโข แผ่นหลังเผยความเศร้าสร้อยตามสภาพวัยโรยรา
ในวันนั้นเอง อวี้อ๋องถือจดหมายเลือดเข้าไปในวัง
…
หลังจากที่อวี้อ๋องจากไป เดิมทีเขาตั้งใจจะรอคดีท่านหญิงผิงหยางสิ้นสุดลงอย่างเงียบๆ ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันผู้ได้รับเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีซังผอจึงได้รับคำเชิญจากองค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่ง
ผู้ส่งสารเป็นบ่าวรับใช้รูปหล่อ และเป็นขันทีน้อย
“องค์หญิงใหญ่เรียกหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” สวี่ชีอันถาม
“ข้าไม่รู้” ขันทีน้อยเงียบขรึม เขาเชี่ยวชาญการเอาตัวรอดในวัง ปากปิดสนิทยิ่งกว่าดอกเบญจมาศ
…แปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องของท่านหญิงผิงหยาง สวี่ชีอันคาดเดา
เขารีบควบม้าเร่งไปที่เขตพระราชฐาน เข้าไปในวัง และถูกขันทีน้อยพาตัวไปยังตำหนักหรูขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง
ในศาลาภายกลางสวนดอกไม้ สวี่ชีอันเห็นองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง กับองค์หญิงรองตัวร้าย องค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ผู้เป็นพี่ชายขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง
“ข้าน้อยกราบถวายบังคมทั้งสี่พระองค์” สวี่ชีอันยืนอยู่ด้านนอกศาลา และโค้งคำนับ
องค์หญิงหลินอันกวักมือเรียก และตะโกนอย่างมีความสุข “สุนัขรับใช้ เข้ามานั่งสิ”
สุนัขรับใช้กลายเป็นชื่อเล่นของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ สวี่ชีอันงุนงงเล็กน้อย และมององค์รัชทายาทกับองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม “ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตอง ยกที่นั่งมาให้ใต้เท้าสวี่”
นางข้าหลวงยกเก้าอี้มาวางตรงข้ามกับทั้งสี่พระองค์
องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งมองเขา และพูดว่า “วันนี้อวี้อ๋องถือหนังสือเลือดเข้ามาในวัง หลังจากที่เสด็จพ่อทรงเรียกพบ เขาก็ยังไม่ได้ออกมา ข้าจำได้ว่าเจ้ากำลังสืบสวนคดีของท่านหญิงผิงหยางมีความคืบหน้าหรือไม่”
องค์รัชทายาท องค์ชายสี่กับองค์หญิงหลินอันต่างจ้องมอง และรอคำตอบจากเขา
ท่านหญิงผิงหยางเป็นทั้งญาติผู้พี่และญาติผู้น้องของพวกเขา เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้น
“ท่านหญิงผิงหยาง…” สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มเล่าออกมาตามตรง
นี่เป็นเรื่องราวความรักที่ธรรมดาและเรียบง่าย แต่มันถูกลิขิตมาให้ไม่ธรรมดา เพราะตัวเอกหญิงในเรื่องคือท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ นางไม่ควร ไม่ควรรักภิกษุรูปนั้น
แต่รสชาติของความรักนั้นแสนวิเศษ จนทำให้นางละทิ้งทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ ละทิ้งสถานะทางราชวงศ์ ออกจากเมืองหลวงไปกับเขา และร่วมทางกันไปจนบั้นปลายชีวิต
แต่ไม่ใช่ทุกความรักจะมีตอนจบ ชายหนุ่มหญิงงามในนิทานมักได้ครองคู่กันเสมอ เพราะนั่นคือนิทาน ความเป็นจริงเต็มไปด้วยการพลิกผันที่สุดจะคาดเดา
สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเหยื่อสังเวยในศึกการเมือง บางทีก่อนที่โชคร้ายจะคืบคลานเข้ามา คู่รักคู่นี้คงวาดฝันถึงอนาคตที่ได้ครองรักกันโดยไม่มีวันพลัดพรากจากกันไป
สวี่ชีอันเล่าเรื่องอย่างสงบ และนึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่เคยฟังเมื่อหลายปีก่อน
“นกน้ำอยู่เคลียคลอผีเสื้อโผบินเคียง สรรพสิ่งในสวนงามหมดจดจนข้ามัวเมา”
“เอื้อนเอ่ยถามนักบวช ข้างามหรือไม่ ข้างามหรือไม่”
“จะถามถึงอำนาจลาภยศไปไย ไฉนต้องเกรงกลัวต่อพระธรรมวินัย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง