ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 151

บทที่ 151 ลิงเทพและการเก็บความลับ
มือที่ขาดสะบั้นสีแดงคล้ำวางแน่นิ่งอยู่บนเตียง ผิวหนังภายนอกมีเส้นเลือดสีเขียวเข้มนูนเด่นออกมา

ความรู้สึกในตอนนี้ของสวี่ชีอันเหมือนเพิ่งดูหนังเรื่อง ผีร้าย A Wicked Ghost ในห้องนั่งเล่นจบไป ก่อนจะกลับเข้ามานอนในห้องด้วยความหลอน แต่พอเปิดประตูออกก็เจอฉู่เหรินเหม่ย[1]มายืนอยู่ข้างเตียง พร้อมจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยลูกตาขาวโพลนคู่นั้น

ความหวาดกลัวในใจระเบิดดัง ‘ตูม’ เส้นประสาททุกเส้นล้วนกู่ร้องว่า ‘หนีไปเร็ว หนีไปเร็ว…’

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็มองเห็นนิ้วชี้ของมือนั่นขยับไหวเบาๆ เวรแล้ว…นิ้วชี้เคาะเบาๆ ลงบนเตียง

ชั่วขณะต่อมา อากาศคล้ายจะข้นคลั่กขึ้น สวี่ชีอันรู้สึกว่าตนเป็นวัวแก่ที่ตกลงไปในหล่มโคลน มีร่างกายใหญ่โตแต่กลับก้าวขาออกไปยากเหลือเกิน

นิ้วทั้งห้าของมือปีศาจขยับ จากนั้นมันก็ใช้นิ้วต่างเท้า ปีนลงมาจากบนเตียง คลานมาตามพื้นเข้ามาใกล้สวี่ชีอัน

ภาพนี้สยองเกินไป เหมือนกับได้เห็นฉากในหนังสยองขวัญ สวี่ชีอันเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขากลอกตามองดูมันคลานมาถึงเท้า จากนั้นก็ปีนขึ้นมาตามกางเกงของเขา…

มันอยากจะครอบครองร่างของข้าเหมือนครองร่างเหิงฮุ่ย…เพราะอะไร เพราะอะไรถึงเล็งตัวข้า ข้าเป็นแค่ฆ้องทองแดงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น…ความคิดน่าสะพรึงกลัวของสวี่ชีอันผุดวาบ มือนั้นปีนขึ้นมาถึงทรวงอกของเขา และยังคงปีนต่อไป จากนั้นนิ้วโป้งและนิ้วชี้ก็ง้างเปิดปากของสวี่ชีอัน

…สวี่ชีอันต่อต้านไม่ได้เลย สองตาเบิกโพลงทันใด สีหน้าหวาดผวา

จากนั้นปากของเขาก็ถูกเปิดอ้าออก มือขาดด้วนบุกรุกเข้าไปอย่างไร้ปรานี นิ้วมือและฝ่ามือเคลื่อนลงไปในส่วนลึกของลำคอทีละนิ้วๆ

มุมปากของสวี่ชีอันฉีกขาด เลือดไหลหยด ปากของมนุษย์จะยัดมือข้างหนึ่งเข้าไปได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับลำคอ แต่ดูเหมือนว่ามือปีศาจคล้ายจะมีเจตนาเช่นนี้

ไม่นาน มือปีศาจก็เคลื่อนเข้าไปในลำคอ เห็นเพียงคอของสวี่ชีอันนูนและดันออกมา ประทับเป็นรูปนิ้วมือชัดเจน

ทั้งกระบวนการนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เพราะมือปีศาจก็หาได้สนใจว่าสวี่ชีอันจะรับไหวหรือไม่ เหมือนกับพวกเอเลี่ยนที่บุกรุกเข้ามาผ่านทางปากและลำคออย่างไรอย่างนั้น

ชั่วพริบตาที่มือเข้ามาอยู่ในร่าง สวี่ชีอันก็ร้องครางอย่างเจ็บปวด ความรู้สึกนึกคิดราวกับระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ในความเลือนราง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เขามองเห็นวัดแห่งหนึ่ง ในวัดไม่มีพระพุทธรูปประดิษฐาน บนเบาะมีพระหนุ่มรูปหนึ่งนั่งอยู่

สวี่ชีอันพยายามมองใบหน้าท่าทางของเขาให้ชัดเจนอย่างสุดความสามารถ แต่ใบหน้าของพระรูปนี้คล้ายมีหมอกเลือนรางปกคลุม ทำอย่างไรก็มองไม่เห็น

ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร…ข้าตายแล้วหรือ จากนั้นถึงได้เข้ามายังแดนสุขาวดีทิศประจิมใช่ไหม…เป็นไปไม่ได้หรอก คนไม่เข้าวัดทำบุญอย่างข้า พระพุทธองค์มีแต่จะใช้ประตูหนีบหัวข้าแล้วเตะออกจากแดนสุขาวดีเท่านั้นแหละ…สวี่ชีอันคิดอย่างดูถูกตัวเอง ขณะที่ได้ยินเสียงอ่อนโยนของพระหนุ่มอยู่ข้างหู

“อาตมาอยากจะยืมร่างกายของประสกมาหล่อเลี้ยงมือที่ขาด หวังว่าประสกจะผ่อนปรนให้”

…เขาก็คือมือปีศาจข้างนั้นหรือ สวี่ชีอันประหลาดใจ ลองเอ่ยถาม “ถ้าข้าไม่ยอมล่ะ”

พระหนุ่มนั่งขัดสมาธิเงียบงัน ไม่สนใจเขา

…สวี่ชีอันกล่าวเสียงขรึม “เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงถูกผนึกอยู่ในซังผอ”

“อาตมามีชื่อนามฉายาว่าเสินซู” พระหนุ่มเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไป น้ำเสียงลังเลเล็กน้อย

“ทำไมข้าถึงอยู่ที่ซังผอ…ข้าก็จำไม่ได้แล้ว…ทำไมข้าถึงถูกผนึกไว้ที่นั่น…ข้ามาจากไหน ข้าคือเสินซู แต่ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่ซังผอ ข้ามาจากที่ใด”

ตอนแรกเขายังสงบนิ่งอยู่ แต่จากนั้นเมื่อเอ่ยถามตัวเองทีละคำถาม ก็ค่อยๆ สูญเสียการควบคุมอารมณ์ บุคลิกสงบเยือกเย็นหายไป พื้นที่ทั้งหมดสั่นสะเทือน กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวยากจะพรรณนาพวยพุ่งออกมาจากร่างของพระภิกษุ

มันคือกลิ่นอายที่เหมือนกับขุมนรก ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกขนพองสยองเกล้า หัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรง

กลิ่นอายที่คุ้นเคยนี้…ชั่วขณะนี้เอง สวี่ชีอันถึงได้มั่นใจว่าพระหนุ่มรูปนี้ก็คือมือที่ขาดท่อนนั้นจริงๆ

“อาตมายึดติดเสียแล้ว…” พระหนุ่มกลับมาสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม ถอนกลิ่นอายที่ทำให้คนตัวสั่นงันงกกลับไป น้ำเสียงอ่อนโยนของเขากล่าวขึ้นว่า

“จิตเดิมของข้าไม่สมบูรณ์ จึงจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ข้ารู้เพียงนามฉายาของตัวเอง แต่กลับจำไม่ได้ว่ามาจากใดและก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น”

พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของพระหนุ่มก็เผยความจนปัญญาและเจ็บปวดออกมา ราวกับอยากรู้เหลือเกินว่าในอดีตเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็สุดจะค้นหา

จิตเดิมไม่สมบูรณ์หรือ สาเหตุเป็นเพราะมีมือข้างเดียวอย่างนั้นหรือ อืม ร่างกายไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจิตเดิมจึงไม่สมบูรณ์ไปด้วย สมเหตุสมผล…หลวงพี่น่าสงสารจัง…สวี่ชีอันลองเอ่ยถาม

“ไต้ซือ ข้าอาจจะรู้ข้อมูลเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์กับท่านหรือเปล่า”

กลิ่นอายของภิกษุหนุ่มผันผวนทันใด ภายในหมอกเลือนราง ดวงตาคู่นั้นราวกับกำลังจดจ้องสวี่ชีอันอย่างเป็นประกาย

“ค่ายกลที่ผนึกท่านไว้เป็นการร่วมมือกันของราชวงศ์ต้าฟ่ง สำนักโหราจารย์ และสำนักพุทธแดนประจิม เนื่องจากท่านเป็นคนในสำนักพุทธ คาดว่าท่านคงมาจากแดนประจิม” สวี่ชีอันกล่าว

เขาพูดไปและเริ่มคิดเชื่อมโยงไปด้วย เจ้าของมือที่ขาดเป็นพระภิกษุ และกลุ่มอิทธิพลที่ผนึกเขาไว้ก็คือราชวงศ์ต้าฟ่ง สำนักพุทธแดนประจิม และสำนักโหราจารย์… ตามข้อมูลที่วัดมังกรเขียวส่งมาให้ เห็นได้ชัดว่าสำนักพุทธให้ความสนใจกับของที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอยิ่งกว่าใคร…เดี๋ยวก่อนนะ!!

ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายขึ้นทันใด เขานึกถึงรายละเอียดบางอย่างตอนทำคดีซังผอ วันที่สามหลังจากวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย เว่ยเยวียนบอกเขาว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งยกเลิกคำสั่งปิดเมือง

วันที่สองหลังจากวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย ตาเฒ่าโหราจารย์ผู้นั้นแสร้งทำเป็นป่วย และเฝ้าดูตลอดทั้งกระบวนการ

เจ้าอาวาสผานซู่แห่งวัดมังกรเขียวยืนยันจากปากของท่านเองว่าหลังจากมือปีศาจถือกำเนิดขึ้น ก็ไปยังทิศตะวันตกทันที

จากรายละเอียดเหล่านี้คาดเดาได้ว่าสำนักพุทธคือผู้นำในการปิดผนึกซังผอ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระหนุ่มที่ถูกผนึกจะมาจากสำนักพุทธทิศประจิม

มิน่า มิน่าจักรพรรดิหยวนจิ่งถึงยกเลิกคำสั่งปิดเมือง มิน่าท่านโหราจารย์ถึงต้องแสร้งป่วย…นี่มันคือการตัดปัญหาให้น้อยลงชัดๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของข้า

สวี่ชีอันเข้าใจความคิดของท่านโหราจารย์กับจักรพรรดิหยวนจิ่งขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้น เขาก็จำรายละเอียดอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ เว่ยเยวียนเคยเน้นย้ำอยู่ซ้ำๆ ว่าอย่าได้สนใจของที่ถูกผนึก แค่รับผิดชอบสืบหาตัวคนทรยศในราชสำนักก็พอ

มีความเป็นไปได้ว่าเว่ยเยวียนเองก็รู้ตัวตนของมือปีศาจเช่นกัน อย่างน้อยก็รู้ว่ามันมาจากสำนักพุทธ

มิน่าบุคคลระดับสูงในเมืองจิงจ้าวถึงไม่สนใจของที่ถูกผนึก และพากันกระตือรือร้นในการหาตัวคนทรยศ… แต่ละคนล้วนเป็นเฒ่าเหรียญปากผีกันทั้งนั้น

โชคดีที่ข้าฉลาดมีไหวพริบ สืบจากรายละเอียดการปกปิดวิชามองปราณของนายกองโจว และการตายของเจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยก็ตามเบาะแสไปจนถึงวัดมังกรเขียว จนคลี่คลายปริศนาออกทีละขั้นๆ

ตอนนี้เอง พระหนุ่มก็ถอนหายใจแผ่วเบา “อาตมาอยากจะไหว้วานประสกเรื่องหนึ่ง”

“ไต้ซือ ข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหลอมปราณคนหนึ่งเท่านั้น” สวี่ชีอันคิดจะปฏิเสธอ้อมๆ เว่ยเยวียนเคยกล่าวไว้ว่า ระดับขั้นของสิ่งของที่ถูกผนึกนั้นอย่างน้อยก็อยู่ขั้นสอง เผลอๆ อาจจะอยู่ในขั้นหนึ่งเลยก็ได้

การต่อสู้ของระดับขั้นสูงขนาดนั้น สัตว์เลื้อยคลานต่ำต้อยอย่างเขาไม่มีความมั่นใจจะร่วมวงด้วยหรอก อีกอย่าง สวี่ชีอันยังไม่ลืมปณิธานแรกเริ่มที่นักบวชเต๋าจินเหลียนก่อตั้งพรรคฟ้าดินที่จะสังหารผู้นำเต๋านิกายปฐพีขั้นสอง

เรื่องนี้โหดหินรองลงมาจากการให้ข้าไปชิงบัลลังก์แล้วตั้งตัวเป็นจักรพรรดิ แต่ถ้าเรื่องของท่านดันไปพัวพันกับความแค้นในสำนักพุทธอีก แบบนั้นสู้ให้ข้าไปชิงบัลลังก์เสียยังดีกว่า…สวี่ชีอันคิดในใจ

พระหนุ่มไม่สนใจเขา พึมพำกับตัวเอง “ช่วยอาตมาสืบเรื่องในอดีต คืนความทรงจำให้ที…”

“ระหว่างนี้ อาตมาจะมอบพลังช่วยเหลือให้กับประสกในส่วนหนึ่ง”

มอบพลังช่วยเหลือให้ส่วนหนึ่ง สวี่ชีอันนึกถึงภาพฆ้องทองคำสี่คนที่ห่อผ้าพันแผลรอบตัวแล้วจิตใจก็เอนเอียง ถ้าหากมีของปิดผนึกอยู่กับตัว ก็เท่ากับว่ามีไพ่ตายเพิ่มมาหนึ่งใบน่ะสิ

ในโลกที่อำนาจจักรพรรดิและอำนาจแห่งเทพอยู่สูงสุด เขาก็จะมีหลักประกันที่ดียิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกยึดทรัพย์ฆ่าล้างโคตร ใครกล้าแตะต้องคนในบ้านของเขาแม้แต่เส้นผม พ่อจะเพ่นกบาลเสียให้เข็ด

อีกอย่าง ถ้าจับตัวโจวชื่อสวงได้ เขาก็ต้องได้เลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือนแน่นอน อำนาจของตนก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนที่จะตอบตกลงพระรูปนี้ ยังมีสองเรื่องที่ต้องแน่ใจก่อน

“ไต้ซือ ท่านจำเป็นต้องบริโภคเลือดเนื้อเป็นครั้งคราวหรือไม่” สวี่ชีอันพยายามเลือกคำกลางๆ

“แค่อยู่ภายในร่างของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้เลือดเนื้อภายนอกมาเสริม แต่หากเจ้าต้องการใช้พลังของข้า หลังจบเรื่อง จำเป็นต้องมีเลือดสดมาหล่อเลี้ยง จะให้ดีที่สุดควรเป็นของผู้ฝึกตน”

ก็หมายความว่ายามปกติขอเพียงอาศัยอยู่ร่างของข้าก็พอ ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าหากข้าอยากให้เจ้าใช้แรงงาน ก็ต้องให้เจ้ากินข้าวสินะ…สวี่ชีอันพยักหน้า การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมเช่นนี้สอดคล้องกับความคิดของเขา

“ทำไมถึงต้องเลือกข้า” สวี่ชีอันกล่าว

“มีคนพาข้ามาที่นี่” พระหนุ่มเอ่ย “เพราะพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน”

สวี่ชีอันรีบถามต่อ “คนประเภทเดียวกันอย่างไร ไต้ซือ โปรดชี้แนะผู้น้อยด้วย”

พระหนุ่มกล่าว “สัญชาตญาณของข้ารู้สึกเช่นนั้น นอกนั้นข้าจำไม่ได้หรอก”

จำไม่ได้…สวี่ชีอันปากประตุก ถามต่อ “ใครพาผู้อาวุโสมาหรือ”

พระหนุ่มแสดงภาพภาพหนึ่งออกมา ในภาพนั้นเป็นเงาคนสวมชุดดำทั้งร่าง ที่ศีรษะสวมหมวก กำลังเปิดถุงปักดิ้นใบหนึ่งด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง แล้วเก็บมือขาดด้วนลงไปในนั้น

สันนิษฐานจากรูปร่าง ทรวงอกอวบอิ่ม บั้นท้ายกลมกลึง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้หญิง

บนถุงปักดิ้นปักรูปสัตว์สีขาวตัวหนึ่งเอาไว้ ลักษณะคล้ายกับจิ้งจอก ชาญฉลาดและงดงาม ด้านหลังเป็นหางสีขาวที่แผ่ขยายเหมือนกับฉากกั้นห้อง

สุนัขจิ้งจอก หางจิ้งจอกที่ใหญ่เหมือนกับฉากกั้น…จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหรือ อืม ตามคำสารภาพของจิ้งจอกเทาในหอนางโลมตัวนั้น ผู้ที่มีส่วนร่วมอยู่ในคดีซังผอก็คือเศษเดนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจ…และจักรพรรดินีผู้ล่วงลับของอาณาจักรหมื่นปีศาจก็เป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง…เฮือก คนของอาณาจักรหมื่นปีศาจนำมือนี่มาให้ข้า

เพราะอะไร

พวกเขาสังเกตเห็นข้าแล้ว…สวี่ชีอันเป็นกังวลขึ้นมาลึกๆ

สวี่ชีอันลืมตาขึ้น พบว่าตนนอนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ แสงจันทร์นวลให้แสงสว่างจางๆ ภายในห้องอันเงียบสงัด

เขาลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะ จุดตะเกียงน้ำมัน แล้วถือตะเกียงเดินไปอยู่หน้ากระจกทองแดง ในกระจกสะท้อนเป็นใบหน้าคมเข้มของเขา มุมปากทิ้งรอยเลือดแห้งกรังเอาไว้ เขาเช็ดออกเบาๆ พบว่าไม่มีบาดแผลเหลืออยู่

พระเสินซู เจ้าลิงเทพที่ไม่คุยกันด้วยเหตุผล บาดแผลที่เขาสร้างขึ้นมาหายไปแล้ว

น้ำหยดแสดงให้เห็นว่าตอนนี้คือยามอิ๋นหนึ่งเค่อ หรือก็คือหนึ่งทุ่มสิบห้านาที

สวี่ชีอันนั่งอยู่หน้ากระจก สะสางความคิด ครุ่นคิดว่าตนจะทำอย่างไรต่อไป

ปัญหาที่อยู่ใกล้ตรงหน้าก็คือ เขาควรจัดการกับมือปีศาจอย่างไรดี ต้องรายงานเรื่องนี้กับเว่ยกงหรือไม่

เว่ยเยวียนชื่นชมข้ามากก็จริงอยู่ แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเขา จะชื่นชมอย่างไรก็มีขีดจำกัด และเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับของที่ถูกผนึกใต้ซังผอด้วย…หากเขานำมือท่อนนี้ออกไปจากตัวข้าได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าทำไม่ได้ เขาจะปกป้องข้าหรือว่าจะผนึกข้าไว้ที่ซังผอนะ แต่ข้าเป็นแค่ฆ้องทองแดงระดับหลอมปราณคนหนึ่งเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กินไม่ดื่มห้าร้อยปีแล้วยังมีชีวิตอยู่

ท่านโหราจารย์คงนำมือปีศาจออกมาให้ข้าได้สินะ อย่างไรเขาก็เป็นถึงนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหนึ่ง แต่ปัญหาคือ ข้าไม่สนิทกับเขานี่สิ…สวี่ชีอันหนอสวี่ชีอัน ทำตัวตกต่ำอีกแล้ว มัวหลงระเริงอยู่ในอ้อมอกอบอุ่นของฝูเซียงจนโงหัวไม่ขึ้น ลืมว่าฉู่ไฉ่เวยกำลังรอให้เจ้าไปจีบแล้วหรือ ได้เป็นเขยสำนักโหราจารย์เมื่อไหร่ ท่านโหราจารย์ก็จะเป็นคนกันเองแล้ว

ตาเฒ่าโหราจารย์รู้ถึงความโชคดีประหลาดๆ ของข้า ข้าไม่อาจไว้ใจเขาโดยไม่เผื่อใจได้ เพราะเขาจะต้องแอบวางแผนบางอยู่แน่นอน…

นอกจากนั้น ยังมีอีกปัญหาที่ไปไกลกว่านั้น

อาณาจักรหมื่นปีศาจทุ่มเทกายใจปลดปล่อยของถูกผนึกออกมาอย่างยากเย็น คงไม่ได้ทำเพราะคิดจะช่วยเหลือเขาแน่ๆ

แอบนำมือปีศาจมาให้เขาถึงที่นี่ จะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่นอน เรื่องนี้ใช้หัวแม่โป้งคิดก็รู้แล้ว แต่จุดประสงค์ที่ว่านี้เป็นเรื่องดีหรือร้ายต่อเขากันแน่

พระเสินซูกล่าวว่าข้าสามารถหล่อเลี้ยงแขนและจิตเดิมของเขาได้…นี่คือเหตุผลที่อาณาจักรหมื่นปีศาจเอามันมาให้ข้าถึงที่นี่หรือเปล่า

เช่นนั้นวันหนึ่งในอนาคตพวกเขาจะนำมือกลับไปหรือไม่ พอถึงตอนนั้น จุดจบของข้าจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้

และในขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนของพระเสินซูดังขึ้นในหัว

“จงเก็บเป็นความลับ”

…สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ

………………………………………….

[1] ฉู่เหรินเหม่ย ผีสาวในหนังเรื่อง ผีร้าย A Wicked Ghost

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง