ครั้นได้ฟังเรื่องของเหิงฮุ่ยจบแล้วมองเห็นเขานั่งสิ้นใจ ความโศกเศร้าก็จับขั้วหัวใจ จึงไม่ได้สนใจชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
ต่อมาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็มาถึง เขารู้ตัวว่าต้องเข้าคุกแน่ เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามหากระจกพบ การทิ้งมันไว้ที่ก้นบ่อจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แผนการของเหิงหย่วนคือ ถ้าหากมีโอกาสหลุดพ้นไปได้ก็จะนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกลับมา หรือไม่ก็ให้นักบวชเต๋าจินเหลียนนำกลับมาแทนเขา
ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายมันจะมาอยู่ในมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
สวี่ชีอันจ้องมองเหิงหย่วน รอคำตอบจากอีกฝ่าย
กระจกหยกเป็นสิ่งที่เว่ยเยวียนส่งให้เขาเช้านี้ ไม่ได้สั่งอะไรไว้ แต่สวี่ชีอันรู้สึกว่าเว่ยเยวียนคิดจะส่งมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคืนแก่หมายเลขหกผ่านทางเขา
เมื่อเห็นชายหัวโล้นเงียบงันไปนาน สวี่ชีอันก็จิบชาอึกหนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ “กระจกบานนี้พบที่ก้นบ่อ ไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของเหิงฮุ่ย และชื่อจริงๆ ของมันก็คือหนังสือปฐพี”
เหิงหย่วนพลันเงยหน้าขึ้น จ้องมองที่เขา สวี่ชีอันหัวเราะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “บนโลกนี้มีคนมากมายที่ไม่รู้จักมัน แต่ไม่รวมพวกเราหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนะ”
เหิงหย่วนก้มหน้าลงอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบา “เป็นของอาตมาเอง”
สวี่ชีอันกล่าว “จากที่ข้ารู้มา นี่เป็นของวิเศษของลัทธิเต๋านิกายปฐพี เหตุใดถึงมาอยู่ในมือของพระอย่างท่านได้ล่ะ”
เหิงหย่วนตอบ “อาตมามีวาสนาได้รับอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนี้มา หวังว่าใต้เท้าจะส่งกลับคืนมาให้”
สวี่ชีอันส่ายหน้า เก็บกระจกหยกกลับไปแล้วถือเล่นอยู่ในมือ เอ่ยยิ้มๆ “ไต้ซือ ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่เท่านี้กระมัง ของวิเศษของลัทธิเต๋านิกายปฐพี จะใช้แค่คำว่า ‘มีวาสนา’ มาอธิบายได้หรือ
“ถ้าหากท่านพูดเรื่องที่เป็นประโยชน์แบบตรงไปตรงมา ข้าก็จะปล่อยท่าน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อีกครึ่งชีวิตที่เหลือของท่านก็จะอยู่ในคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตลอดไป”
เหิงหย่วนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นทำท่าจะเดินไป
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “เจ้าจะไปไหน”
“อาตมาจะกลับเข้าคุก”
…นิสัยของหมายเลขหกไม่เลวเลย เขาไม่ทรยศต่อพรรคฟ้าดิน แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้ถูกทรมาน แต่แบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากได้นี่นา สวี่ชีอันกล่าวเสียงขรึม “เป็นเพียงของวิเศษชิ้นหนึ่ง เหตุใดไต้ซือต้องทำเช่นนี้ บนโลกนี้มีสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าอิสรภาพด้วยหรือ”
เหิงหย่วนไม่ได้หันกลับมา เพียงกล่าวว่า “ใต้เท้าใส่โซ่ตรวนโปรดกลับให้อาตมาเถิด”
สวี่ชีอันมองไปยังเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่บันทึก “เจ้าออกไปก่อน”
เจ้าพนักงานเก็บกระดาษ พู่กัน และแท่นฝนหมึกแล้วก็ออกจากห้องไต่สวนไป
สวี่ชีอันกระแอมไอ น้ำเสียงกลับมาอ่อนโยน “ไต้ซือ นั่งก่อนๆ”
เขาลุกขึ้น ดึงแขนของเหิงหย่วน ทำท่าทางเคารพนอบน้อม
เหิงหย่วนกลับมานั่งที่โต๊ะอย่างงุนงง มองดูฆ้องทองแดงที่มีท่าทีเปลี่ยนไปแบบ 180 องศา ไม่รู้ว่าในใจของเขามีแผนการอะไร
“ใต้เท้า ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย หนังสือปฐพีได้มาเพราะวาสนาจริงๆ” เหิงหย่วนกล่าวอย่างจนปัญญา
…อย่าได้พูดจาแน่นอนอย่างนี้สิ ผู้ละทางโลกไม่มุสา เดี๋ยวเจ้าจะอายเอานะ สวี่ชีอันกล่าวด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม “เจ้าเป็นหมายเลขหกของพรรคฟ้าดินใช่ไหม”
Σ(°△°|||)
เหิงหย่วนเบิกตาโพลง จ้องมองเขาด้วยท่าทางตกใจงุนงง ความใจเย็นบนใบหน้าหายวับไป เหลือแต่ความเป็นปรปักษ์และระแวดระวังตัวแทน
ราวกับขอแค่สวี่ชีอันเผยสัญญาณว่าเป็นอันตรายต่อพรรคฟ้าดินออกมา เขาก็พร้อมจะลงมือปลิดชีพฆ้องทองแดงผู้นี้ด้วยฝ่ามือเดียว เอาชีวิตแลกชีวิต
สวี่ชีอันกดเสียงเบา หมอบลงกับโต๊ะและใช้น้ำเสียงแบบนักสืบลับกล่าวว่า “ตัวข้าชื่อสวี่ชีอัน เป็นสายลับจากสำนักอวิ๋นลู่ที่แฝงตัวอยู่ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไม่ใช่ของที่หน่วยลาดตระเวนหาพบ แต่เป็นข้าที่นำขึ้นมาจากก้นบ่อ และเป็นข้าเองที่พาคนไปตามหาพวกเจ้า ส่วนเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำสั่งจากหมายเลขสาม เขาเป็นหัวหน้าของข้า”
หมายเลขสามหรือ! เหิงหย่วนตะลึงพรึงเพริด เขาไม่นึกแย้งหรือสงสัยในคำพูดของฆ้องทองแดงตรงหน้า เพราะในชั่วพริบตานี้ เขาฉุกนึกถึงอะไรบางอย่างได้
‘หมายเลขสามเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เขาเผยข้อมูลว่าสำนักศึกษาได้แฝงคนไว้ตามหน่วยงานราชการของราชสำนักแต่ละแห่ง… ในฐานะที่เคยเป็นสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อสายตรงของราชสำนัก พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ…’
หลังจากเกิดคดีซังผอ หมายเลขสามก็พูดถึงรายละเอียดคดีซังผอในข้อความของพรรคฟ้าดินด้วย… หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีสายลับจากสำนักอวิ๋นลู่จริงๆ …’
‘แต่หมายเลขสามรู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร ใช่แล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนรู้ตัวตนของพวกเราทุกคน ตอนนั้นเหิงฮุ่ยอยู่กับข้า นักบวชเต๋าจินเหลียนจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเหิงฮุ่ย จึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็รับผิดชอบคดีซังผออยู่ หมายเลขสามที่มีสายลับอยู่ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการขอความช่วยเหลือ…’
‘อีกทั้งข้ายังติดหนี้ชีวิตหมายเลขสามอยู่หนึ่งครั้ง ไม่แปลกที่หมายเลขสามจะเป็นถือบัณฑิต เป็นวีรชนคนกล้า เป็นสหายที่พึ่งพาอาศัยได้ เหตุต้นผลกรรมในครั้งนี้ ต่อไปคงยากจะตอบแทนแล้ว’
คิดมาถึงตรงนี้ เหิงหย่วนก็สูดหายใจลึก สายตาที่มองสวี่ชีอันปราศจากความตื่นตัวและความเป็นปรปักษ์ เขาเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “หมายเลขสามยังกล่าวอะไรอีกหรือ”
“เขาบอกว่าการสอบช่วงวสันต์กำลังมาเยือน ไม่อาจออกไปจากสำนักอวิ๋นลู่ได้ ต่อไปถ้าหากเจอปัญหาแบบนี้อีก อาจจะช่วยไม่ทัน ดังนั้นจึงให้ข้ามาติดต่อกับไต้ซือ ต่อไปหากไต้ซือมีอะไรให้ช่วยล่ะก็ สามารถเรียกหาข้าได้ตลอดเวลา”
สวี่ชีอันเสริมขึ้นในใจว่า และถ้ามีอะไรที่ข้าอยากให้ช่วย ข้าก็จะเรียกหาท่านเหมือนกัน แถมไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของหมายเลขสามอีกต่างหาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเปิดเผยในระยะสั้นนี้ล่ะ
ตอนนี้เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนชั่วคราว มาดที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ออกจะโอ้อวดเกินไปหน่อย สมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนคิดว่าเขาเป็นระดับสุดยอดหัวกะทิในสำนักอวิ๋นลู่และเป็นอัจฉริยะมากความรู้กันทั้งนั้น
สุดท้ายหมายเลขสามกลับกลายเป็นแค่ฆ้องทองแดงคนหนึ่ง
อีกอย่าง ทำอะไรต้องหาทางหนีทีไล่ไว้เสมอ การไม่เปิดเผยตัวจริงก็เท่ากับว่ายังเหลือที่ว่างขนาดใหญ่ให้เคลื่อนไหวอีกมากมาย
กลับกันแล้วสำหรับหมายเลขหก ข้าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรือว่าศิษย์สำนักอวิ๋นลู่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก แถมข้ายังไม่ต้องหลอกลวงเขาด้วย
เหิงหย่วนพยักหน้า รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีที่ฆ้องทองแดงรูปงามส่งมาให้แล้วเอ่ย “ต่อไปถ้าหากมีอะไรให้อาตมาช่วย ใต้เท้าเอ่ยปากได้เลย”
สวี่ชีอันยิ้มพลางโบกมือ “ไต้ซือ ข้าจะพาท่านออกไป”
พอส่งเหิงหย่วนเดินจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็กลับมายังโถงชุนเฟิง พวกมือปราบลวี่ชิงจากที่ว่าการไม่ได้มาที่หน่วยแล้ว เพราะรู้ว่าสวี่ชีอันอาจจะทำผลงานชดเชยความผิดจากคดีของท่านหญิงผิงหยางได้แล้ว
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั่งอยู่ที่โถงข้าง ส่วนหลี่อวี้ชุนกำลังจัดระเบียบข้าวของอยู่ ของประดับทุกชิ้นจะต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย
“หัวหน้า ให้ข้าช่วย…”
“ไม่ต้อง เจ้าไม่ต้องทำ” หลี่อวี้ชุนรีบตะโกนหยุด “ข้าทำเอง ข้าทำเองก็พอแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง