หรือว่าภาพลักษณ์ของข้าพังทลายลงแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว ไม่มีเหตุผลเลย อีกอย่างก็ไม่น่าจะเป็นหมายเลขห้าที่พูดประโยคนี้นะ ถ้าเป็นหมายเลขหนึ่งหรือหมายเลขหกมาชี้ตัวจะสมเหตุสมผลกว่า ยังไงก็ไม่ควรเป็นสาวน้อยจากหนานเจียงผู้นี้
เขาถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเอาไว้ ครุ่นคิดอยู่ไม่ได้ตอบกลับ และสมาชิกคนอื่นๆ ของพรรคฟ้าดินก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย จึงเกิดเป็นสถานการณ์ต่างฝ่ายต่างเฝ้าดูกันเงียบๆ ขึ้นมา
‘หมายเลขสามเป็นจอมหลอกลวงหรือ เขาต่างหากถึงจะเป็นคนที่เก็บเงินได้ หมายเลขห้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้งสองคนก็ไม่ได้ส่งข้อความพูดคุยกันมากมายนี่นา หรือก็คือ หมายเลขห้าจับจุดอ่อนของหมายเลขสามจากการสนทนาในอดีต ไม่สิ ถ้าหากมีจุดอ่อนอะไรก็ต้องเป็นคนอื่นที่สังเกตได้สิ ไม่ควรเป็นหมายเลขห้า’ …หมายเลขสี่คิด
‘นิสัยของหมายเลขสามไม่เลวเลย เป็นคนดีมีน้ำใจ ทุกคนล้วนแต่มีความลับกันทั้งนั้น หมายเลขห้าเป็นผู้หญิงโง่เง่าจริงๆ’ …หมายเลขสองคิด
‘หมายเลขสามเก็บเงินได้ตลอด เก็บเงินได้ตลอด’ …ทันใดนั้นพระเหิงหย่วนไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรดี
หมายเลขหนึ่งแย้มยิ้มไม่พูดจา เฝ้าดูหน้าจออยู่เงียบๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนในเวลานี้กำลังนอนอาบแดดอยู่บนหลังคาท่าทางเกียจคร้าน ดวงตาแมวปิดลงอย่างเป็นสุข
หมายเลขห้าไม่ทำให้ทุกคนรอนาน นางกล่าวหาว่าหมายเลขสามพูดจาไม่จริงใจอย่างร้ายกาจ ‘เพื่อนที่เจ้าบอกว่ามักจะเก็บเงินได้บ่อยๆ คนนั้นก็คือตัวเจ้าเองใช่ไหมล่ะ ข้าเคยถาม…ข้อมูลของข้าแม่นยำอย่างยิ่ง’
สวี่ชีอัน “…”
‘ห้า: ฮั่นแน่ ไม่มีอะไรจะพูดล่ะสิ’
เจ้าเป็นมนุษย์สองมิติ[1]หรือไง สวี่ชีอันเบ้ปาก ถอนหายใจโล่งอก ใช่แล้ว ข้าเป็นจอมหลอกลวง แต่เรื่องแค่นี้จะหลอกหรือไม่ก็ไม่เห็นต่างกัน
ตัวอย่างเช่น ซ่งถิงเฟิงมักพูดว่า ‘ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่ร่างกายไม่ค่อยดี…’
ทุกคนต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าเป็นตัวเขาเอง แต่มีใครเอาผิดเขาว่าหลอกลวงหรือเปล่าล่ะ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีไม่มีใครตอบสนองต่อหมายเลขห้า ทุกคนคิดไปต่างๆ นานา
‘อิจฉาหมายเลขสามจริงๆ ออกจากบ้านทุกวันๆ ก็เก็บเงินได้…ข้าแทบจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงทหารไม่ไหวแล้ว…’ หมายเลขสองคิดอย่างจริงจัง
‘ที่แท้ผู้ที่เก็บเงินได้ทุกวันก็คือหมายเลขสาม อืม ตอนนั้นอาตมาก็เคยสงสัยอยู่ … หากอาตมาเก็บเงินได้ทุกวันๆ คงสามารถช่วยเหลือเด็กกำพร้าผู้ยากไร้ได้มากขึ้น…’ หมายเลขหกอิจฉาตาร้อน
‘คนที่เก็บเงินได้คือท่านหมายเลขสาม คนอะไรเก็บเงินได้บ่อยขนาดนี้ ข้าไม่เห็นจำได้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อของสำนักอวิ๋นลู่มีเรื่องอัศจรรย์แบบนี้ด้วย…’หมายเลขสี่ตกใจ คิดถึงความเป็นไปได้แต่ละอย่างแล้วรีบส่งข้อความ ‘หมายเลขสาม ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่’
สวี่ชีอันลังเลเล็กน้อย ตอบกลับว่า ‘ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนกว่าๆ’
เขาจงใจย่นเวลาให้สั้นลง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ในภายภาคหน้ามีคนใช้เรื่องนี้สืบพบว่าเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้กับเขาขึ้นหลังจากจบคดีเงินภาษี
…หมายเลขสี่ใจเต้นแรง เพราะเขาคิดสมมติฐานได้อย่างหนึ่ง สมมติฐานดังกล่าวช่างไร้สาระและบ้าบิ่นอย่างยิ่ง ถึงขั้นทำให้เขาตัวสั่นเทาเหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่าน
เดือนกว่าๆ ถ้าจำไม่ผิด นิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ก็เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นหมายเลขสามยังไม่เข้าร่วมพรรคฟ้าดิน และนักบวชเต๋าจินเหลียนก็มอบหมายให้หมายเลขหนึ่งแห่งพรรคฟ้าดินตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เป็นที่รู้กันดีว่าหมายเลขสามเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ มีจุดหนึ่งที่ผิดปกติอย่างยิ่ง นั่นก็คือพลังของหมายเลขสามไม่ได้แข็งแกร่ง แต่กลับได้รับทรัพยากรมากมาย รู้ความลับที่มีแต่ระดับสูงของสำนักอวิ๋นลู่ที่รู้มากเกินไปด้วย นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ในฐานะที่หมายเลขสี่เคยเป็นบัณฑิตมาก่อน เขาสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยเช่นนี้นานแล้ว เขาไม่ได้สงสัยเรื่องฐานะของหมายเลขสามในสำนักอวิ๋นลู่ แต่คิดว่าการปฏิบัติต่อเขามันค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย
แต่ถ้าหากหมายเลขสามเกี่ยวข้องกับนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ล่ะ เช่นนั้นการได้รับความสนใจจากระดับสูงของสำนักอวิ๋นลู่ก็สมเหตุสมผลแล้วใช่หรือไม่
แต่การเก็บเงินได้กับนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกันนะ…หมายเลขสี่คิดไม่ออก
“ดูท่าว่าต้องหาเวลาว่างกลับเมืองจิงจ้าวไปเยี่ยมเจ้าสำนักจ้าวโส่วสักรอบเสียแล้ว” หมายเลขสี่ตัดสินใจลับๆ คิดจะรีบกลับเมืองจิงจ้าวก่อนสิ้นปี
คิดถึงตรงนี้ หมายเลขสี่ที่คิดไปเองว่าเข้าใจความลับของหมายเลขสามก็กระตุกมุมปาก ส่งข้อความลงไป ‘น่าสนใจ ก่อนหน้านี้ดูเบาหมายเลขสามไปหน่อย ดูท่าว่าต้องประเมินคุณค่าและศักยภาพของเจ้าใหม่แล้ว’
‘หมายเลขสี่รู้สาเหตุที่หมายเลขสามเก็บเงินได้บ่อยๆ อย่างนั้นหรือ และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความลับยิ่งใหญ่บางอย่าง…ไม่อย่างนั้นหมายเลขสี่คงไม่ประเมินออกมาเช่นนี้หรอก’ …นอกจากหมายเลขห้าแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พบความผิดปกติในคำพูดของหมายเลขสี่
เมื่อเห็นทุกคนพูดคุยพอหอมปากหอมคอแล้ว สวี่ชีอันก็หรี่ตา ใช้นิ้วต่างพู่กันส่งข้อความไป ‘อา ข้ามีเรื่องสงสัย หมายเลขห้าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่เก็บเงินได้คือข้า’
สติปัญญาของหมายเลขห้าไม่มีทางหลอกเขาได้ หรือกล่าวได้ว่าสาเหตุที่นางรู้ว่าตนเก็บเงินได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องรู้เรื่องวงในอยู่บ้าง
นี่เป็นเรื่องที่เขาอยากรู้อย่างมาก เขาสนใจเรื่องโชคดีแปลกประหลาดของตนมาโดยตลอด
‘ห้า: ข้าพูดไม่ได้ ข้ารับปากไว้กับ…คนอื่น ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ แม้แต่ตัวเจ้าก็ไม่ได้’
หมายเลขห้าปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
‘สาม: มาแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียมสิ’
‘ห้า: ไม่แลกเปลี่ยน เป็นคนต้องซื่อสัตย์’
ยัยเด็กโง่นี่ เชื่อไหมว่าข้าจะขึ้นบัญชีดำเจ้า อนาคตข้าจะใช้เจ้าครั้งเดียวแล้วถีบหัวส่งเลย… สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ
คิดอีกที อาการบาดเจ็บของผู้ดูแลอย่างนักบวชเต๋าจินเหลียนยังไม่หายดี ไม่อาจเปิดใช้งานการพูดคุยส่วนตัวได้ ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีในการซักถาม
รอให้ภายหลังสามารถคุยส่วนตัวได้แล้ว เขาจะคุยเรื่องชีวิตและตรรกะความคิดกับหมายเลขห้าเด็กโง่จากซินเจียงตอนใต้คนนี้ให้เต็มที่ ยังมีจุดที่ต้องจัดการอีกมากเชียวล่ะ
…
ห้องทรงพระอักษร โถงประชุม
จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดนักบวชเต๋านั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ฟังรายงานจากข้าหลวงเฉินฮั่นกวางเกี่ยวกับหัวคนมากมายที่ไช่ซื่อโข่ว ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึก
“ตำแหน่งเจ้ากรมทหารและจี่ซื่อจงกรมการคลัง ขุนนางทุกท่านมีความเห็นอย่างไร” จักรพรรดิหยวนจิ่งคล้ายจะพูดลอยๆ ออกมา
มีขุนนางใหญ่ออกมาแนะนำคนของตัวเองทันที จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเหล่าขุนนางถกเถียงกันอย่างดุเดือดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพื่อตำแหน่งมากอำนาจสองตำแหน่งที่ว่างลง จำต้องแก่งแย่งกับอีกฝ่าย
แม้แต่คนใหญ่โตอย่างเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินที่มีอำนาจเทียมฟ้าอยู่ในมือก็ลงสนามด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเห็นการโต้แย้งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางใหญ่อารมณ์ร้อนหลายคนก็เริ่มพับแขนเสื้อแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงเคาะโต๊ะ ห้ามทัพไว้ทันท่วงที
“ขุนนางซ่าง เจ้าเป็นเจ้ากรมข้าราชการ มีอะไรแนะนำหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง