ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 154

สรุปบท บทที่ 154 เขื่อนพันลี้พังได้เพราะรังมด: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 154 เขื่อนพันลี้พังได้เพราะรังมด – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 154 เขื่อนพันลี้พังได้เพราะรังมด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 154 เขื่อนพันลี้พังได้เพราะรังมด
สวี่ชีอันตกใจมาก พูดในใจว่าข้าไปหลอกลวงตอนไหน หากจะบอกว่าหลอกลวงจริงๆ ก็ต้องเป็นภาพลักษณ์คนจากสำนักอวิ๋นลู่ต่างหาก

หรือว่าภาพลักษณ์ของข้าพังทลายลงแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว ไม่มีเหตุผลเลย อีกอย่างก็ไม่น่าจะเป็นหมายเลขห้าที่พูดประโยคนี้นะ ถ้าเป็นหมายเลขหนึ่งหรือหมายเลขหกมาชี้ตัวจะสมเหตุสมผลกว่า ยังไงก็ไม่ควรเป็นสาวน้อยจากหนานเจียงผู้นี้

เขาถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเอาไว้ ครุ่นคิดอยู่ไม่ได้ตอบกลับ และสมาชิกคนอื่นๆ ของพรรคฟ้าดินก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย จึงเกิดเป็นสถานการณ์ต่างฝ่ายต่างเฝ้าดูกันเงียบๆ ขึ้นมา

‘หมายเลขสามเป็นจอมหลอกลวงหรือ เขาต่างหากถึงจะเป็นคนที่เก็บเงินได้ หมายเลขห้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้งสองคนก็ไม่ได้ส่งข้อความพูดคุยกันมากมายนี่นา หรือก็คือ หมายเลขห้าจับจุดอ่อนของหมายเลขสามจากการสนทนาในอดีต ไม่สิ ถ้าหากมีจุดอ่อนอะไรก็ต้องเป็นคนอื่นที่สังเกตได้สิ ไม่ควรเป็นหมายเลขห้า’ …หมายเลขสี่คิด

‘นิสัยของหมายเลขสามไม่เลวเลย เป็นคนดีมีน้ำใจ ทุกคนล้วนแต่มีความลับกันทั้งนั้น หมายเลขห้าเป็นผู้หญิงโง่เง่าจริงๆ’ …หมายเลขสองคิด

‘หมายเลขสามเก็บเงินได้ตลอด เก็บเงินได้ตลอด’ …ทันใดนั้นพระเหิงหย่วนไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรดี

หมายเลขหนึ่งแย้มยิ้มไม่พูดจา เฝ้าดูหน้าจออยู่เงียบๆ

นักบวชเต๋าจินเหลียนในเวลานี้กำลังนอนอาบแดดอยู่บนหลังคาท่าทางเกียจคร้าน ดวงตาแมวปิดลงอย่างเป็นสุข

หมายเลขห้าไม่ทำให้ทุกคนรอนาน นางกล่าวหาว่าหมายเลขสามพูดจาไม่จริงใจอย่างร้ายกาจ ‘เพื่อนที่เจ้าบอกว่ามักจะเก็บเงินได้บ่อยๆ คนนั้นก็คือตัวเจ้าเองใช่ไหมล่ะ ข้าเคยถาม…ข้อมูลของข้าแม่นยำอย่างยิ่ง’

สวี่ชีอัน “…”

‘ห้า: ฮั่นแน่ ไม่มีอะไรจะพูดล่ะสิ’

เจ้าเป็นมนุษย์สองมิติ[1]หรือไง สวี่ชีอันเบ้ปาก ถอนหายใจโล่งอก ใช่แล้ว ข้าเป็นจอมหลอกลวง แต่เรื่องแค่นี้จะหลอกหรือไม่ก็ไม่เห็นต่างกัน

ตัวอย่างเช่น ซ่งถิงเฟิงมักพูดว่า ‘ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่ร่างกายไม่ค่อยดี…’

ทุกคนต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าเป็นตัวเขาเอง แต่มีใครเอาผิดเขาว่าหลอกลวงหรือเปล่าล่ะ

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีไม่มีใครตอบสนองต่อหมายเลขห้า ทุกคนคิดไปต่างๆ นานา

‘อิจฉาหมายเลขสามจริงๆ ออกจากบ้านทุกวันๆ ก็เก็บเงินได้…ข้าแทบจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงทหารไม่ไหวแล้ว…’ หมายเลขสองคิดอย่างจริงจัง

‘ที่แท้ผู้ที่เก็บเงินได้ทุกวันก็คือหมายเลขสาม อืม ตอนนั้นอาตมาก็เคยสงสัยอยู่ … หากอาตมาเก็บเงินได้ทุกวันๆ คงสามารถช่วยเหลือเด็กกำพร้าผู้ยากไร้ได้มากขึ้น…’ หมายเลขหกอิจฉาตาร้อน

‘คนที่เก็บเงินได้คือท่านหมายเลขสาม คนอะไรเก็บเงินได้บ่อยขนาดนี้ ข้าไม่เห็นจำได้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อของสำนักอวิ๋นลู่มีเรื่องอัศจรรย์แบบนี้ด้วย…’หมายเลขสี่ตกใจ คิดถึงความเป็นไปได้แต่ละอย่างแล้วรีบส่งข้อความ ‘หมายเลขสาม ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่’

สวี่ชีอันลังเลเล็กน้อย ตอบกลับว่า ‘ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนกว่าๆ’

เขาจงใจย่นเวลาให้สั้นลง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ในภายภาคหน้ามีคนใช้เรื่องนี้สืบพบว่าเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้กับเขาขึ้นหลังจากจบคดีเงินภาษี

…หมายเลขสี่ใจเต้นแรง เพราะเขาคิดสมมติฐานได้อย่างหนึ่ง สมมติฐานดังกล่าวช่างไร้สาระและบ้าบิ่นอย่างยิ่ง ถึงขั้นทำให้เขาตัวสั่นเทาเหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่าน

เดือนกว่าๆ ถ้าจำไม่ผิด นิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ก็เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นหมายเลขสามยังไม่เข้าร่วมพรรคฟ้าดิน และนักบวชเต๋าจินเหลียนก็มอบหมายให้หมายเลขหนึ่งแห่งพรรคฟ้าดินตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง

เป็นที่รู้กันดีว่าหมายเลขสามเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ มีจุดหนึ่งที่ผิดปกติอย่างยิ่ง นั่นก็คือพลังของหมายเลขสามไม่ได้แข็งแกร่ง แต่กลับได้รับทรัพยากรมากมาย รู้ความลับที่มีแต่ระดับสูงของสำนักอวิ๋นลู่ที่รู้มากเกินไปด้วย นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ในฐานะที่หมายเลขสี่เคยเป็นบัณฑิตมาก่อน เขาสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยเช่นนี้นานแล้ว เขาไม่ได้สงสัยเรื่องฐานะของหมายเลขสามในสำนักอวิ๋นลู่ แต่คิดว่าการปฏิบัติต่อเขามันค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย

แต่ถ้าหากหมายเลขสามเกี่ยวข้องกับนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่ล่ะ เช่นนั้นการได้รับความสนใจจากระดับสูงของสำนักอวิ๋นลู่ก็สมเหตุสมผลแล้วใช่หรือไม่

แต่การเก็บเงินได้กับนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกันนะ…หมายเลขสี่คิดไม่ออก

“ดูท่าว่าต้องหาเวลาว่างกลับเมืองจิงจ้าวไปเยี่ยมเจ้าสำนักจ้าวโส่วสักรอบเสียแล้ว” หมายเลขสี่ตัดสินใจลับๆ คิดจะรีบกลับเมืองจิงจ้าวก่อนสิ้นปี

คิดถึงตรงนี้ หมายเลขสี่ที่คิดไปเองว่าเข้าใจความลับของหมายเลขสามก็กระตุกมุมปาก ส่งข้อความลงไป ‘น่าสนใจ ก่อนหน้านี้ดูเบาหมายเลขสามไปหน่อย ดูท่าว่าต้องประเมินคุณค่าและศักยภาพของเจ้าใหม่แล้ว’

‘หมายเลขสี่รู้สาเหตุที่หมายเลขสามเก็บเงินได้บ่อยๆ อย่างนั้นหรือ และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความลับยิ่งใหญ่บางอย่าง…ไม่อย่างนั้นหมายเลขสี่คงไม่ประเมินออกมาเช่นนี้หรอก’ …นอกจากหมายเลขห้าแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พบความผิดปกติในคำพูดของหมายเลขสี่

เมื่อเห็นทุกคนพูดคุยพอหอมปากหอมคอแล้ว สวี่ชีอันก็หรี่ตา ใช้นิ้วต่างพู่กันส่งข้อความไป ‘อา ข้ามีเรื่องสงสัย หมายเลขห้าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่เก็บเงินได้คือข้า’

สติปัญญาของหมายเลขห้าไม่มีทางหลอกเขาได้ หรือกล่าวได้ว่าสาเหตุที่นางรู้ว่าตนเก็บเงินได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องรู้เรื่องวงในอยู่บ้าง

นี่เป็นเรื่องที่เขาอยากรู้อย่างมาก เขาสนใจเรื่องโชคดีแปลกประหลาดของตนมาโดยตลอด

‘ห้า: ข้าพูดไม่ได้ ข้ารับปากไว้กับ…คนอื่น ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ แม้แต่ตัวเจ้าก็ไม่ได้’

หมายเลขห้าปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

‘สาม: มาแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียมสิ’

‘ห้า: ไม่แลกเปลี่ยน เป็นคนต้องซื่อสัตย์’

ยัยเด็กโง่นี่ เชื่อไหมว่าข้าจะขึ้นบัญชีดำเจ้า อนาคตข้าจะใช้เจ้าครั้งเดียวแล้วถีบหัวส่งเลย… สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ

คิดอีกที อาการบาดเจ็บของผู้ดูแลอย่างนักบวชเต๋าจินเหลียนยังไม่หายดี ไม่อาจเปิดใช้งานการพูดคุยส่วนตัวได้ ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีในการซักถาม

รอให้ภายหลังสามารถคุยส่วนตัวได้แล้ว เขาจะคุยเรื่องชีวิตและตรรกะความคิดกับหมายเลขห้าเด็กโง่จากซินเจียงตอนใต้คนนี้ให้เต็มที่ ยังมีจุดที่ต้องจัดการอีกมากเชียวล่ะ

ห้องทรงพระอักษร โถงประชุม

จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดนักบวชเต๋านั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ฟังรายงานจากข้าหลวงเฉินฮั่นกวางเกี่ยวกับหัวคนมากมายที่ไช่ซื่อโข่ว ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึก

“ตำแหน่งเจ้ากรมทหารและจี่ซื่อจงกรมการคลัง ขุนนางทุกท่านมีความเห็นอย่างไร” จักรพรรดิหยวนจิ่งคล้ายจะพูดลอยๆ ออกมา

มีขุนนางใหญ่ออกมาแนะนำคนของตัวเองทันที จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเหล่าขุนนางถกเถียงกันอย่างดุเดือดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพื่อตำแหน่งมากอำนาจสองตำแหน่งที่ว่างลง จำต้องแก่งแย่งกับอีกฝ่าย

แม้แต่คนใหญ่โตอย่างเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินที่มีอำนาจเทียมฟ้าอยู่ในมือก็ลงสนามด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเห็นการโต้แย้งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางใหญ่อารมณ์ร้อนหลายคนก็เริ่มพับแขนเสื้อแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงเคาะโต๊ะ ห้ามทัพไว้ทันท่วงที

“ขุนนางซ่าง เจ้าเป็นเจ้ากรมข้าราชการ มีอะไรแนะนำหรือไม่”

แต่ว่า เจ้ากรมพิธีการผู้สังกัดพรรคหวางก็จะถูกลากลงมาด้วยเช่น เสียหนึ่งได้มาสอง ก็ถือว่าไม่เสียเปรียบ

เว่ยเยวียนออกจะเป็นห่วงฆ้องทองแดงคนหนึ่งมากเกินไปหรือไม่ ขุนนางทุกคนจับสังเกตจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้น การกระทำของเจ้ากรมซุนจากกรมยุติธรรมจึงได้รับความเห็นชอบมากขึ้น แม้ว่าขุนนางบุ๋นจะต่อสู้กันเองอย่างดุเดือด แต่ในฐานะที่เว่ยเยวียนเป็นศัตรูตัวฉกาจของกลุ่มขุนนางบุ๋น เรื่องที่จะทำให้เว่ยเยวียนอยู่ไม่สุข พวกเขาล้วนยินดีกระทำทั้งนั้น

“เราเหนื่อยแล้ว ออกไปเถอะ” จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ

ขุนนางทุกคนคำนับลงอย่างพร้อมเพรียง แล้วถอนตัวออกจากห้องทรงพระอักษรอย่างเป็นระเบียบ เหล่าขุนนางใหญ่จากไปอย่างแยกแยะชั่วดีชัดเจน เมื่อก้าวออกจากประตูอู่เหมิน บรรยากาศก็เปลี่ยนไปราวพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินทันที

บรรยากาศฟาดฟันกันอย่างดุเดือดหายไป ราวกับละครฉากใหญ่ที่เดินมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที เหมือนยกภูเขาออกจากอก

ศัตรูยังคงเป็นศัตรู เพียงแต่ไม่ได้แสดงท่าทีใหญ่โตเหมือนตอนอยู่ในห้องทรงพระอักษรอีก

สมุหราชเลขาธิการหวางผู้มีผมหงอกขาวสีหน้าเคร่งขรึม สวมชุดสีแดงเข้ม ใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินมาหาเว่ยเยวียน “เว่ยกงเหมือนจะใส่ใจฆ้องทองแดงผู้น้อยคนนั้นเป็นพิเศษ เขาสร้างความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ช่างเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจริงๆ”

เว่ยเยวียนเอ่ยเสียงอ่อนโยนยิ้มๆ “น่าเสียดายที่ทำตัวไม่ดี ขัดใจผู้ที่ไม่ควรขัดใจเข้า”

หวังสมุหราชเลขาธิการตกใจ “เหตุใดเว่ยกงพูดเช่นนี้ พวกเราดูแลอัจฉริยะก็เพื่อประเทศชาติ ปกป้องไว้เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว จะปล่อยให้เขาถูกประหารดื้อๆ ได้อย่างไร แต่หากเว่ยกงปกป้องไว้ไม่ได้ ก็ปล่อยให้ข้าทำหน้าที่แทนเถอะ”

เว่ยเยวียนเหลือบมองเขาอย่างล้ำลึก สีหน้ายังคงอ่อนโยน ไม่ยินดียินร้ายใดๆ “ไม่รบกวนใต้เท้าสมุหราชเลขาฯ หรอกขอรับ”

เว่ยเยวียนนั่งรถม้ากลับมายังที่ทำการ แล้วออกคำสั่งกับเจ้าพนักงาน “เรียกสวี่ชีอันมาพบข้า”

เวลานั้นสวี่ชีอันกำลังอยู่ในลานฝึกยุทธ์ ประลองฝีมืออยู่กับจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิง ฝึกฝนวิชาดาบอยู่

“เจ้าซ่ง หลายวันนี้เจ้าไม่ได้ไปที่หอนางโลมหรืออย่างไร หายใจยืดยาดกว่าแต่ก่อนมากนัก” สวี่ชีอันรับมือการโจมตีร่วมกันของสหายร่วมหน่วยสองคนพลางพูดติดตลกไปด้วย

“เงินเดือนส่วนใหญ่ของเขาล้วนมอบให้สาวๆ ในหอนางโลมไปหมดแล้ว ไม่รู้จักประหยัดอดออม” จูกว่างเสี้ยวกล่าวเคร่งขรึม “หนิงเยี่ยน เขาในวันนี้ก็คือเจ้าในอนาคต ดูไว้เป็นบทเรียน”

ในบรรดาชายหนุ่มทั้งสาม จูกว่างเสี้ยวผู้ทำงานหนักนั้นรู้จักประหยัดอดออมมากที่สุด ไม่ใช่ต้องการงดเว้นเรื่องอย่างว่า แต่เพราะอยากจะเก็บเงินแต่งภรรยา

สวี่ชีอันและซ่งถิงเฟิงชอบทำตัวแบบเสิ่นกงเป้าเป็นที่สุด คนหนึ่งหมกมุ่นอยู่กับคณิกา ส่วนอีกคนเสเพลไม่ชอบการผูกมัด

หลังเข้าระดับขั้นหลอมจิตแล้ว จอมยุทธ์ไม่จำเป็นต้องงดเว้นในกามอีก แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องรู้จักควบคุม เขื่อนพันลี้พังได้เพราะรังมด นักรบร้อยสนามยังเสียชื่อให้กับหลุม

ตอนนี้เอง เจ้าพนักงานชุดดำคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา หยุดอยู่ที่ข้างลานฝึกยุทธ์และเอ่ยเสียงดังว่า “ใต้เท้าสวี่ เว่ยกงเรียกพบขอรับ”

…………………………………………

[1] 老二次元 มนุษย์สองมิติ หมายถึงคนที่ชอบใช้คำพูดเลียนแบบอนิเมะ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง