ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 159

บทที่ 159 บันทึกประจำวันที่ไม่ได้พบกันนาน
วันรุ่งขึ้น หยุดพักชำระร่างกาย

สวี่ชีอันและพรรคพวกตื่นสายเล็กน้อย หลังจากยืดเหยียดกล้ามเนื้อแล้ว แต่ละคนก็กินอาหารเช้าในห้องของตัวเอง จากนั้นจึงทยอยออกมารวมตัวกันที่ห้องโถงด้านนอก

เมื่อคืนเจียงลวี่จงนอนกับหญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มคนหนึ่ง เช้าวันนี้จึงปฏิบัติต่อสวี่ชีอันราวกับลูกชาย ต้องรู้ว่าขณะการประชุมชา คณิกามักจะไม่สนใจทหาร และเจียงลวี่จงเป็นฆ้องทองคำของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จะมาร่วมต่อสู้ในการประชุมชากับพ่อค้าและผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างไร

นอกจากนี้ สำนักสังคีตยังเป็นเขตอิทธิพลของกรมพิธีการ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและขุนนางฝ่ายบุ๋นนั้นไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่จะบังคับคณิกาก็ไม่ได้ ดังนั้นยิ่งเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลระดับสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ชอบมาที่สำนักสังคีตเท่านั้น ทุกคนจะไปมั่วสุมกันที่หอนางโลมอื่น

“มิน่าเล่าคนข้างนอกจึงเล่าลือกันว่าเจ้าเป็นมือสังหารคณิกา” เจียงลวี่จงตบไหล่สวี่ชีอัน หัวเราะหน้าแดงระเรื่อ

มือสังหารคณิกา? ข้ามีฉายาแปลกๆ นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สวี่ชีอันพูดอย่างงุนงง “อะไรหนา”

“ตำนานเก้าหญิงแย่งชิงชายได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว” เจียงลวี่จงกล่าว

ข้าถูกใส่ร้าย…แต่ว่า มือสังหารคณิกาก็ดี ถึงอย่างไรก็ฟังดูดีกว่า สวี่ผู้ชอบของฟรีเยอะ…สวี่ชีอันนึกขึ้นได้ ก็คือวันที่จับปีศาจจิ้งจอกนั้น เป็นวันที่คณิกาเก้าคนมาเยี่ยมเยียน

ในเวลานี้ หลี่อวี้ชุนเดินออกมาด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ

“หัวหน้า เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่” ซ่งถิงเฟิงเดินเข้าไปทักทาย

หลี่อวี้ชุนพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลวเลย แต่มีเสียงเอะอะนิดหน่อย”

สวี่ชีอันเย้ยหยันในใจ

เมื่อฝูเซียงตื่นขึ้น พ่อตัวดีที่ไม่สนใจไยดีหญิงงามแม้แต่น้อยคนนั้นก็ได้จากไปแล้ว นางกอดผ้าห่มลุกขึ้น หาวด้วยท่าทางเกียจคร้าน แล้วอาบน้ำโดยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ

“แม่นางหมิงเยี่ยนเพิ่งส่งคนมาบอกความ ว่ามื้อกลางวันเชิญนายหญิงไปดื่มเหล้าที่สำนักชิงฉือเจ้าค่ะ” สาวใช้พูด

‘ต้อนรับขับสู้โดยไม่มีธุระไม่ใช่คนชั่วก็เป็นโจร’… ฝูเซียงแอบคิดในใจ แล้วพูดเรียบๆ ว่า “ข้ารู้แล้ว”

เช็ดตัวตามร่างกายขาวผ่องอรชรจนแห้ง สวมกระโปรงยาวสีขาว สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก

นั่งอ่านหนังสือในห้องนอนอันอบอุ่น รอจนถึงเวลาอาหารจนมื้อเที่ยง

ที่สำนักชิงฉือ คณิกาหมิงเยี่ยนจัดงานเลี้ยงในห้องโถง โดยเชิญคณิกาหกถึงเจ็ดคน รวมฝูเซียงอยู่ในนั้นด้วย

หญิงสาวทุกคนรูปร่างแตกต่างกัน ทุกคนต่างมีความงามในแบบของตัวเอง

คนที่หน้าตาสวยงามก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเป็นคณิกาได้ แต่คนที่ทั้งสวยและมีความสามารถ ย่อมสามารถเป็นคณิกาได้อย่างแน่นอน

“ได้ยินมาว่าคุณชายสวี่ได้เขียนบทกวีขึ้นบทหนึ่งในเขตพระราชฐาน เป็นการประณามเจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาอย่างรุนแรง ทุกท่านเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่” ฝูเซียงดื่มเหล้าเล็กน้อย นำเรื่องสนุกที่ได้ยินมาจากงานเลี้ยงเมื่อวานนี้มาคุยเล่นกัน

“คุณชายสวี่เขียนบทกวีอีกแล้วหรือ” คณิกาหลายคนต่างให้ความสนใจขึ้นมาในทันที

คณิกาเสียวหย่าได้ยินเรื่องนี้ ขณะอยู่ในงานเลี้ยง คิดด้วยสีหน้าเลื่อมใส ยิ้มตาหยีแล้วพูดด้วยท่าทีเอียงอายว่า

“คุณชายสวี่ไม่เพียงแต่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความกล้าหาญชาญชัย ฉีกหน้าเจ้ากรมแห่งกรมอาญาต่อหน้าในบริเวณเขตพระราชฐาน”

“ไม่เพียงแค่ฉีกหน้าเขา แต่ทันทีที่บทกวีนี้ออกมา ชื่อเสียงของท่านเจ้ากรมเกรงว่าจะ…”

หัวข้อสนทนานี้จบลงแค่นี้ พนักงานต้อนรับวิจารณ์ขุนนางชั้นสูงตามอำเภอใจ เป็นไปตามสมควร และทุกคนก็เป็นเพียงพี่น้องจอมปลอม จะให้จริงใจต่อกันนั้นเป็นไปไม่ได้

ดังนั้นหัวข้อสนทนาจึงเปลี่ยนไปที่สวี่ชีอัน คณิกาที่อยู่ในที่นี้ส่วนใหญ่ล้วนกระหายอยากได้พรสวรรค์ด้านบทกวีของสวี่ชีอัน ส่วนตัวเขาเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้นอกจากฝูเซียง

“พี่ฝูเซียง คุณชายสวี่…เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง”

เหล่าคณิกาต่างแอบหัวเราะ

ฝูเซียงขมวดคิ้ว จะให้นางจะพูดเรื่องพวกนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้

หากพูดขึ้นมาจริงๆ คืนนี้สาวสวยชั้นต่ำกลุ่มนี้ก็สามารถเผยแพร่ออกไปได้ทันที คนอื่นจะเย้ยหยันว่าเขาป่าเถื่อน ทำให้เสียชื่อ

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฝูเซียงก็คิดอะไรขึ้นมาได้

หลังจากทำทั้งทุกอย่างเสร็จแล้ว ฝูเซียงก็ยิ้มกริ่ม

‘วันที่ 29 เดือนธันวาคม ไม่ได้เขียนบันทึกประจำวันมานานแล้ว บันทึกประจำวันก่อนหน้านี้ข้าเผาไปหมดแล้ว ทำอย่างไรได้ก็ข้าไม่ใช่คนจริงจังนี่นา อืม วันนี้หยวนจิ่ง (ขีดฆ่า) ข้าได้เรียกฝ่าบาทด้วยความเคารพแล้ว จะทิ้งหลักฐานความไม่เคารพยำเกรงไว้ไม่ได้ แม้ว่าข้าฉันจะเผามันทิ้งหลังจากเขียนเสร็จไม่กี่วันก็ตาม’

‘ฝ่าบาททรงยกเว้นโทษตายแก่ข้าแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการได้ฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดในคุกใต้ดินของกรมอาญา…เฮ้อ นี่เป็นจุดจบที่ทุกคนต้องการให้เป็น แต่นับว่าสมุหราชเลขาธิการหวังยังมีน้ำยา แก้ไขจุดจบของเขาให้เป็นการเนรเทศทั้งครอบครัว และไม่ได้ตัดศีรษะทั้งครอบครัว ข้าถามเว่ยเยวียนว่าทำไมไม่ซ้ำเติมเขา เว่ยเยวียนกล่าวว่าการทำลายทายาทให้สิ้นซากไม่ใช่การกระทำของสุภาพชน’

‘เจ้าช่างเป็นสุภาพชนเสียนี่กระไร (ขีดฆ่า) เว่ยเยวียนเป็นคนดีทีเดียว’

‘วันที่ 30 เดือนธันวาคม วันนี้ไปเยี่ยมเอ้อร์หลางที่สำนัก เอ้อร์หลางพูดกับข้ามากมาย ข้าสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ คนสารเลวเหล่านี้ วันนี้สอบวิจารณ์ฝ่ายปกครอง วันพรุ่งสอบบทกวี มะรืนนี้สอบตำราสี่เล่ม ไม่ใช่เจ้าสอบก็เขาสอบ จะสอบอะไรกันนักกันหนา ดูเหมือนว่าความกดดันทางวิชาการจะหนักหนาสาหัสมาก แม้แต่เอ้อร์หลางก็เริ่มทนไม่ได้แล้ว รู้สึกเหมือนเขาอยู่ในสภาพเดียวกับข้าตอนเรียนมัธยมปลายเทอมสุดท้าย…ห้ามนึกถึงความหลัง นั่นเป็นเงามืดในชีวิตข้า สอบทุกวัน สอบอะไรกันนักกันหนา’

‘ในวันที่ 31 ธันวาคม รู้สึกว่านับวันฝูเซียงยิ่งอ่อนโยนและเอาใจใส่ข้ามากขึ้นเรื่อยๆ หรือนี่คือที่กล่าวกันว่าอยู่กันนานๆ ไปก็รักกันเอง ไม่ได้ๆ ข้าต้องทำเย็นชากับนางสักสองสามวัน วันพรุ่งต้องเปลี่ยนคณิกาคนใหม่’

‘วันที่ 1 เดือนมกราคม แม่นางหมิงเยี่ยนนั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่เสียทีที่เรียนฟ้อนรำมา แล้วนางก็เลื่อมใสและศรัทธาข้าเช่นเดียวกัน’

‘วันที่ 2 เดือนมกราคม วันนี้ข้าเริ่มเขียนนิยายแล้ว เพราะได้รับปากกับหลิงเยวี่ยไว้ว่าจะเขียนนิยายน่าสนใจให้นางอ่าน ข้าได้ว่าการเปิดเรื่องคือ นานมาแล้วหนุ่มสาวผมขาวก่อนวัยที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ คู่หนึ่ง…’

‘วันที่ 3 เดือนมกราคม วันนี้ได้พายเรือเป็นเพื่อนยายตัวร้าย องค์หญิงพระองค์นี้ทรงมีอุปนิสัยรักสบาย พาลรีพาลขวางและเอาแต่ใจ แต่หลอกง่าย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและเชื่อใจข้ามาก ข้าประสบความสำเร็จในการหลอกเอาภาพวาดที่มีชื่อเสียงมูลค่ายี่สิบตำลึงทองมาจากพระองค์ได้ แล้วนำมามอบให้กับท่านพ่อเว่ย’

‘วันที่ 4 เดือนมกราคม วันนี้สนทนาเป็นเพื่อนองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง พูดคุยเกี่ยวกับผลกระทบของคดีทะเลสาบซังผอที่มีต่อสถานการณ์ในราชสำนัก หลังจากนั้นก็ทรงเชิญข้าประลองฝีมือกับพระองค์ พระองค์อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับหลอมจิต…ดูเหมือนว่าข้าจะค้นพบอะไรบางอย่าง เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าระดับหลอมจิตนั้นห้ามเสียตัว จุดนี้เหมือนกันทั้งชายและหญิง เอ่อ แต่ที่ข้าจะพูดนั้นไม่ใช่เรื่องที่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งยังทรงเป็นสาวพรหมจารีอยู่ แน่นอนว่าองค์หญิงที่ยังไม่ออกเรือนย่อมต้องเป็นสาวพรหมจารีอย่างแน่นอน แต่ข้าหมายถึงด้วยความสามารถของพระองค์ไม่ควรจะติดอยู่ในระดับหลอมจิต บางทีพระองค์อาจจะเจตนา เพื่อที่จะไม่ต้องแต่งงาน ข้ามองเห็นความทะเยอทะยานขององค์หญิงพระองค์นี้ ถ้านางเกิดในสมัยของข้า คงจะเป็นประธานาธิบดีหญิงที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างแน่นอน’

‘วันที่ 5 เดือนมกราคม เมื่อได้ยินว่าเมื่อวานนี้ข้าไปเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงตัวร้ายก็ทรงพิโรธราวกับถูกแฟนหนุ่มสวมเขา ทรงชี้หน้าข้าและทรงด่าข้าว่าสุนัขรับใช้เนรคุณ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังประทานภาพวาดที่มีชื่อเสียงให้ข้าอยู่เลย ข้าเล่าว่าองค์หญิงใหญ่ทรงประทานเงินให้ข้าสองร้อยตำลึง พระองค์ทรงสดับแล้วก็ทรงเพิ่มเงินให้ข้า…ทรงพระปรีชาอะไรเช่นนี้ ข้าก็ไม่ได้เอาเปรียบพระองค์ ได้ทำลูกขนไก่ให้พระองค์ ในวังไม่มีของเล่นแบบนี้ ยายตัวร้ายเล่นอย่างสนุกสนาน แล้วยังลากข้าไปเล่นเป็นเพื่อนพระองค์จนพลบค่ำ ช่างเป็นวันที่ว่างเปล่าเสียจริง’

‘วันที่ 6 เดือนมกราคม พาสวี่หลิงอินและฉู่ไฉ่เวยไปกินข้าวที่ร้านกุ้ยเยว่ ผู้หญิงที่น่ากลัวสองคน กินเงินของข้าไปห้าตำลึง รู้สึกหมดกำลังใจ จากการอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่งจึงได้พบเรื่องที่ไม่ค่อยดีเรื่องหนึ่ง ปีนี้ฉู่ไฉ่เวยอายุ 18 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนยังไม่รู้จักความรัก นางเชื่องช้าในด้านความรู้สึก หากข้ายั่ว นางก็จะหน้าแดง แต่แป๊บเดียวก็ลืมเสียแล้ว อาจเป็นเพราะว่าข้าหล่อไม่พอ หรือไม่ก็เป็นเพราะนางยังไม่เข้าใจความหมาย ข้าคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะข้ายังไม่เคยเห็นใครที่หน้าตาดีกว่าข้าเลย หนานกงเชี่ยนโหรวนั้นรูปงาม แต่ไม่หล่อ ยังคงต้องพยายามต่อไปประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกข้าว่า ถ้าข้าล่อลวงฉู่ไฉ่เวยขึ้นเตียงเร็วกว่านี้ ก็คงจะไม่ยุ่งยากขนาดนั้น

แน่นอนว่า การล่อลวงองค์หญิงก็เหมือนกัน แต่ผลที่ตามมานั้นรุนแรงเกินไป ระดับขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งนั้นสูงเกินไป และยากกว่านิดหน่อย แต่ถ้าเป็นยายตัวร้ายพอจะลองได้ จุดจบคงจะเป็นการตัดศีรษะทั้งตระกูล ตามค่านิยมในสมัยนี้ จึงไม่ใช่ข้าทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก แต่ข้าเป็นของเล่นขององค์หญิง ไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชน’

‘วันที่ 7 เดือนมกราคม หัวโล้นเหิงหย่วนมาหาข้า เพื่อยืมเงินข้า…อยากจะเรียกคืนประโยคที่ว่า ‘ถ้าพบกับความยากลำบาก ขอให้มาหาข้า’ จะคืนเงินหรือ ขี้หมา ภิกษุชราไม่เอาถ่านที่อาศัยที่พักคนชราเช่นเจ้าจะเอาเงินจากที่ไหนมาคืนข้า เฮ้อ…ช่างเถอะๆ ถือซะว่าเป็นการทำบุญทำทานก็แล้วกัน จริงสิ ระยะนี้ สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงไปมากจนยากจะคาดเดา การต่อสู้ของแต่ละพรรคก็รุนแรงขึ้นทุกขณะ บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่หยวนจิ่ง (ขีดฆ่า) ต้องเป็นฝ่าบาท อยากจะเห็นก็ได้’

‘วันที่ 8 เดือนมกราคม สวี่ชีอันเอ๋ยสวี่ชีอัน เจ้ากำลังจะไปถึงขั้นสุดยอดของระดับหลอมปราณแล้ว คุณสมบัติที่ดีเช่นนี้ ไม่ควรลุ่มหลงในความงามของสตรี รีบบำเพ็ญเพียรเสียเถิด ขอสัญญาว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่ไปคอยติดตามองค์หญิงทั้งสองพระองค์ ไม่คอยติดตามฉู่ไฉ่เวย ไม่คอยติดตามสวี่หลิงเยวี่ย ไม่ไปนอนกับคณิกาคนไหนที่สำนักสังคีตอีก หากผิดคำสัญญานี้ ขอให้พบกับความพิบัติ’

‘วันที่ 9 เดือนมกราคม ฟังเพลงที่หอคณิกา’

เช้าวันนี้ สวี่ชีอันถูกฆ้องทองคำหยางเยี่ยนเรียกไปที่โถงเสินเชียง หยางเยี่ยนซึ่งใบหน้าเย็นชาราวกับรูปปั้นแกะสลัก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ท่านพ่อบุญธรรมเลือกให้เจ้าเลื่อนตำแหน่งเป็นฆ้องเงิน”

เว่ยกงจะเลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็นฆ้องเงินเหรอ สวี่ชีอันตกตะลึง จากนั้นก็รู้สึกดีอกดีใจที่ได้เลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือน พร้อมก้าวสู่จุดสูงสุดของชีวิต

ประการแรก เงินเดือนของฆ้องเงินคือเงินสิบตำลึง ซึ่งยังไม่รวมรายได้แฝง แม้ว่าในอนาคตเขาจะซื้อบ้านในตัวเมืองชั้นในก็ตาม สวี่ชีอันก็ยังสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวร่วมกับอารองได้

ประการที่สอง อำนาจของฆ้องเงินนั้นยิ่งใหญ่มาก ไม่เพียงมีฆ้องทองแดงในสังกัดที่สามารถเรียกใช้ได้ แต่ยังมีฐานะมั่นคงยิ่งกว่าเดิม เพราะถึงจะเป็นฆ้องทองคำก็ไม่มีอำนาจที่จะไล่ฆ้องเงินออกได้ตามต้องการ

ประการสุดท้าย ฆ้องเงินต้องรับผิดชอบงานการลาดตระเวนยามวิกาลภายในเขตพระราชฐาน นี่ย่อมหมายความว่าสวี่ชีอันสามารถเข้าออกเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระ และเข้าเฝ้าฮว๋ายชิ่งและหลินอันได้สะดวกยิ่งขึ้น

สิ่งนี้เป็นประโยชน์สำหรับต่อการสานสัมพันธ์และประจบสอพลอกับบรรดาองค์หญิง

“ต้องรอการตรวจสอบข้าราชสำนักก่อน” หยางเยี่ยนกล่าว “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็มีการตรวจสอบเช่นเดียวกัน โดยท่านพ่อบุญธรรมเป็นผู้ตรวจสอบ การเลื่อนขั้นและลดขั้นจะเกิดขึ้นในช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก ข้าบอกเจ้าให้รู้ไว้ก่อน”

ความคิดแรกของสวี่ชีอันก็คือ การซื้อบ้าน

หลังจากเลิกเวรกลับถึงบ้าน กินอาหารเย็นเสร็จ สวี่ชีอันวางชามและตะเกียบ ก็กระแอมครั้งหนึ่ง “ข้ามีเรื่องจะประกาศ”

ทุกคนในครอบครัวหันมามอง มีเพียงสวี่หลิงอินเท่านั้นที่จมอยู่ในโลกของตัวเอง แทะขาไก่อยู่

“หลังการตรวจสอบข้าราชสำนัก ข้าก็จะเป็นฆ้องเงินแล้ว แน่นอน นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือ ข้าวางแผนจะซื้อบ้านในเขตเมืองชั้นใน”

อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยแม่ลูกคู่งามดวงตาเป็นประกาย และมีความตื่นเต้นมากกว่าอารองสวี่และสวี่หลิงอินผู้โง่เขลามากนัก

หลังจากเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองชั้นใน สภาพแวดล้อมและการรักษาความปลอดภัยก็ย่อมดีขึ้น การฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านตามท้องถนนนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก ไม่ใช่เพราะประสิทธิภาพการทำงานของทางการสูงขึ้น แต่เป็นเพราะอย่างน้อยก็ต้องมีความหวั่นเกรงกันอยู่บ้าง

นอกจากนี้ร้านค้าในตัวเมืองชั้นในยังห่างไกลจากร้านค้าในเมืองรอบนอกชนิดไม่อาจเทียบได้อีกด้วย คุณภาพของที่ขาย ของที่กิน ล้วนสูงขึ้นอีกขั้น

ตอนกลางคืน สวี่ชีอันอนอยู่บนเตียง แล้วก็คิดฝันไปต่างๆ นานา

“ข้าได้เลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือน นอกจากเป็นเพราะความดีความชอบในคดีทะเลสาบซังผอและคดีของท่านหญิงผิงหยางแล้ว ยังมีอีกอย่างก็คือประจบสอพลอเก่ง ภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่ยายตัวร้ายมอบให้ข้านั้น เว่ยเยวียนถูกใจมากๆ เขาเห็นว่าข้ารู้จักประจบสอพลอขนาดนี้ ย่อมต้องส่งเสริมข้าอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความสามารถที่โดดเด่น และมีผู้นำคอยสนับสนุน ก็ยังต้องรู้จักปฏิบัติตัวให้ดีด้วย พรุ่งนี้ข้าจะไปหารายละเอียดการซื้อบ้านจากนายหน้า จากนั้นก็ไปเลือกบ้าน เวลานี้ข้ายังมีเงินเก็บอยู่มากกว่า 7,400 ตำลึง น่าจะซื้อบ้านสามส่วนได้ไม่ยาก”

คิดไปคิดมา เขาก็ผล็อยหลับไป

…………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง