ความหมายของบทกวีนี้คือผู้ประพันธ์ทอดถอนใจว่าเป็นเพราะตัวเองฉลาดเกินไปจึงทำให้ต้องเสียใจไปชั่วชีวิต หากตนเองเป็นคนโง่เขลา ก็จะสามารถเลื่อนขั้นเป็นขุนนางชั้นสูงได้โดยไม่ต้องพบกับภัยพิบัติ
นี่เป็นการเหน็บแนมบรรดาขุนนางบุ๋น ขุนนางบู๊ และข้าราชการชั้นสูงของราชสำนักว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
ขุนนางที่อยู่รอบๆ ต่างมองหน้ากัน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสีหน้านั้นประหลาดเพียงใด พวกเขาต่างมาดูเพื่อเยาะเย้ยเจ้ากรมซุน แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกแทงข้างหลังเช่นนี้
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหน
“คดีทะเลสาบซังผอมอบให้เจ้ากรมซุน” …เขากำลังเหน็บแนมว่าข้านั้นโง่เขลา เหน็บแนมว่าข้ากำลังยกก้อนหินทุบเท้าตัวเอง…เขาต้องการตรึงชื่อข้าไว้กับต้นเสาของความอัปยศอดสู…ชื่อของบทกวีดังก้องอยู่ในสมองของเจ้ากรมซุน ในใจเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ความต้องการสูงสุดของปัญญาชนทั้งหลายก็คือได้บันทึกชื่อลงในหน้าประวัติศาสตร์ นี่เป็นสิ่งที่ดึงดูดพวกเขามากกว่าการอบรมสั่งสอนผู้คน แต่ในทำนองเดียวกัน ยิ่งพวกเขาต้องการบันทึกชื่อลงในหน้าประวัติศาสตร์มากเพียงใด ก็ยิ่งกลัวการมีชื่อเสียงในทางเลวร้ายตลอดไปมากเท่านั้น
เรื่องนี้จะอดทนได้อย่างไร
เรื่องนี้ไม่สามารถทนได้
“มานี่ซิ เอาตัวคนชั่วช้าคนนี้ออกไป เอาออกไป!!!” เจ้ากรมซุนโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นไปทั้งตัว
เนื่องจากเขาทำโดยพลการ หมายที่จะฆ่าสวี่ชีอันขุนนางคนสำคัญของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จึงทำให้คดีทะเลสาบซังผอมีผลตามมาเช่นนี้ เดิมทีในใจก็อยากจะคว่ำโต๊ะด้วยความเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป เวลานี้สิ่งที่รับไม่ได้มากที่สุดคือการซ้ำเติม
และบทกวีของสวี่ชีอันบทนี้ ไม่ได้เป็นการโยนก้อนหินลงมาแต่เป็นภูเขา ถึงแม้จะเป็นผู้มีประสบการณ์สูงในแวดวงขุนนางเช่นเจ้ากรมซุน สภาพจิตใจก็แตกสลายเช่นกัน
คนของกรมอาญากรูเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง จะรุมจับตัวสวี่ชีอันที่นอกเขตพระราชฐาน
“ใต้เท้าซุนระงับความโกรธก่อน” น้ำเสียงราบเรียบและอ่อนโยนของเว่ยเยวียนยับยั้งผู้คนของกรมอาญาที่กำลังโมโหโกรธา
ขุนนางใหญ่ท่านนี้เดินมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วขวางหน้าสวี่ชีอันไว้
“เว่ยเยวียน ชายผู้นี้ใส่ร้ายข้าต่อหน้าคนจำนวนมาก ดูหมิ่นท่านเจ้ากรม ต้องถูกเนรเทศตามระเบียบกฎหมาย” เจ้ากรมแห่งกรมอาญาพยายามระงับความโกรธ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“วันนี้ ต่อให้เป็นเจ้าก็อย่าคิดที่จะปกป้องเขา”
“ใส่ร้ายท่านเจ้ากรมเป็นความผิดมหันต์จริงๆ” เว่ยเยวียนจ้องมองสวี่ชีอันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะตะคอกฆ้องทองแดงที่ปากไม่มีหูรูด กลับเห็นเขามองเจ้ากรมซุนด้วยท่าทีจริงจังว่า “การพูดความจริงไม่ถือเป็นการใส่ร้าย”
“เจ้า…” เจ้ากรมซุนยืนโงนเงน ชี้หน้าเว่ยเยวียนด้วยมืออันสั่นเทา
เว่ยเยวียนยิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป สวี่ชีอันเดินตามพ่อของเขาไปแต่โดยดี ออกจากการโอบล้อมของคนของกรมอาญา
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดอีกครั้ง แล้วหันกลับมาและตะโกนว่า “ยินดีด้วยท่านเจ้ากรมซุน ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า เลื่องลือไปทั่ววงการปัญญาชน”
เจ้ากรมซุนนิ่งไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็ไม่หายใจ แล้วก็ล้มทั้งยืน
“ท่านเจ้ากรม ท่านเจ้ากรม…” ผู้คนของกรมอาญาต่างตื่นตระหนก
…
กลับถึงที่ทำการปกครอง สวี่ชีอันเดินตามเว่ยเยวียนเข้าไปในหอเฮ่าชี่ แล้วรินน้ำชาให้กับเว่ยเยวียนและฆ้องทองคำทั้งสองอย่างกระตือรือร้น
“เว่ยกง ข้ามีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ” สวี่ชีอันขอคำชี้แนะ
เว่ยเยวียนเป็นนักวางแผน และเป็นคนฉลาด มีปัญหาอะไรขอคำชี้แนะไว้ก่อน ย่อมดีกว่าหลับหูหลับตาคาดเดาเอาเอง ก็เหมือนกับเวลาเรียนมีปัญหาก็ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ทั้งสะดวกและรวดเร็ว
“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงมอบหมายให้กรมอาญาสอบสวนคดีนี้ขอรับ” เว่ยเยวียนบีบถ้วยน้ำชา ยิ้มบางๆ
“ความรู้ความสามารถในใต้หล้ามีอยู่ 10 สือ[1] เว่ยกงครอบครองไปแล้ว 8 โต่ว ข้ากับและสำนักอวิ๋นลู่มีร่วมกัน 1 โต่ว” สวี่ชีอันประจบสอพลอ
‘พรืด…’ เจียงลวี่จงพ่นน้ำชาในปากออกมา
หยางเยี่ยนกระตุกมุมปาก
เว่ยเยวียนยิ้มบางๆ ที่มุมปาก แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าพึงพอใจต่อการประจบประแจงของสวี่ชีอันเป็นอย่างยิ่ง
ปัญญาชนเป็นเช่นนี้นี่เอง เจ้ายกยอเขา ยอดเยี่ยมที่สุด ลูกพี่ เยี่ยมๆๆ เขาคร้านจะสนใจเจ้า
แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญญาชนจะไม่ชอบให้คนประจบสอพลอ เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย การประจบสอพลอของสวี่ชีอันนั้นถูกต้องที่สุด ใช้วิธีการที่ปัญญาชนชอบ ประจบประแจงจนทำให้เว่ยเยวียนรู้สึกพึงพอใจ
เว่ยเยวียนเป็นปัญญาชนที่ทะนงตัวมาก
“เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการเป็นสมาชิกของพรรคหวาง หากมอบหมายให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นฝ่ายสอบสวน ก็จะพัวพันถึงพรรคหวางอีกจำนวนมาก” เว่ยเยวียนกล่าว
เมื่อถึงเวลานั้น ฝักฝ่ายในราชสำนักก็จะเสียสมดุล…พรรคหนึ่งเป็นใหญ่หรือสองพรรคเป็นใหญ่ล้วนไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงต้องการเห็น เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมสถานการณ์ของราชสำนักของพระองค์ โดยเฉพาะในขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรตลอดปีเช่นนี้…แม้ว่าพรรคหวางจะสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจระเบิดทะเลสาบซังผอ ระเบิดรูปปั้นบรรพชน แต่เมื่อเทียบกับอำนาจของตัวเองแล้ว บรรพชนจะมีความหมายอะไร…สวี่ชีอันวิเคราะห์และสรุปสาระสำคัญจากคำพูดของเว่ยเยวียน ด้วยเหตุนี้ทำให้ความประทับใจของเขาที่มีต่อจักรพรรดิหยวนจิ่งแย่ลงไปอีก
จักรพรรดิหยวนจิ่งอาจเป็นจักรพรรดิที่มีฝีมือเหนือชั้น แต่พระองค์ไม่ใช่จักรพรรดิที่ดี นักประวัติศาสตร์จอมปลอมอย่างสวี่ชีอันได้แบ่งจักรพรรดิออกเป็นสามประเภทคือ จักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาสามารถ จักรพรรดิธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น และจักรพรรดิที่โง่เขลา
จักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาสามารถเป็นจักรพรรดิที่ดีที่สามารถทำให้ราษฎรอยู่ดีกินดี
จักรพรรดิธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นจักรพรรดิที่ไม่มีผลงาน แล้วก็ไม่เคยมีความผิดมหันต์ จักรพรรดิในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในประเภทนี้ ความจริงแล้วสำหรับประชาชนทั่วไป จักรพรรดิธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่ทำประชาชนเดือดร้อนก็นับว่าเป็นจักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาสามารถแล้ว
จักรพรรดิที่โง่เขลาเป็นจักรพรรดิที่ใกล้ชิดกับคนเลวและอยู่ห่างจากขุนนางที่มีคุณธรรมความสามารถ มักจะทำให้ราชสำนักและบ้านเมืองวุ่นวายวุ่นวาย
ทำไมจึงไม่นับรวมจักรพรรดิที่โหดเหี้ยมไว้ในจำนวนนี้ นั่นเป็นเพราะว่าทั้งสามประเภทแรกล้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นทรราชอยู่แล้ว
ในสายตาของสวี่ชีอัน จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเป็นจักรพรรดิที่โง่เขลา เพราะในฐานะจักรพรรดิในสายตาของพระองค์มีเพียงฐานะและอำนาจของตนเองเท่านั้น สถานการณ์ความวุ่นวายจากการต่อสู้ของพรรคในราชสำนักในเวลานี้ ความจริงแล้วล้วนเกิดขึ้นเพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งทั้งสิ้น
พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียร โดยไม่ใส่พระทัยงานของราชสำนัก ดังนั้นจึงทรงต้องการให้เกิดความวุ่นวายในราชสำนักเพื่อรักษาฐานะของตนเองให้มั่นคง มิเช่นนั้นจะถูกขับออกจากอำนาจได้อย่างง่ายดาย
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการจึงไม่ฆ่าโจวชื่อสวงเพื่อปิดปาก” สวี่ชีอันพูด
เดิมทีคิดว่าจะต้องเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นฝ่ายสอบปากคำเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยถาม แต่คาดไม่ถึงว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะทรงทำเช่นนี้
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “อย่ากังวลกับปัญหาเล็กๆ เหล่านี้เลย คดีทะเลสาบซังผอสิ้นสุดลงแล้ว ฝ่าบาทไม่ได้ทรงกล่าวถึงเรื่องของเจ้า แสดงว่าทรงปล่อยผ่านแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง