ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 158

บทที่ 158 หลี่อวี้ชุนผู้ตรงไปตรงมา
‘ข้าจึงหวังให้เด็กคนนั้นเป็นคนโง่เขลาหยาบคาย แต่ได้เป็นขุนนางชั้นสูงโดยปราศจากภัยอันตราย…’ ‘หึ’ ปากคอร้ายกาจยิ่งนัก

ความหมายของบทกวีนี้คือผู้ประพันธ์ทอดถอนใจว่าเป็นเพราะตัวเองฉลาดเกินไปจึงทำให้ต้องเสียใจไปชั่วชีวิต หากตนเองเป็นคนโง่เขลา ก็จะสามารถเลื่อนขั้นเป็นขุนนางชั้นสูงได้โดยไม่ต้องพบกับภัยพิบัติ

นี่เป็นการเหน็บแนมบรรดาขุนนางบุ๋น ขุนนางบู๊ และข้าราชการชั้นสูงของราชสำนักว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา

ขุนนางที่อยู่รอบๆ ต่างมองหน้ากัน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสีหน้านั้นประหลาดเพียงใด พวกเขาต่างมาดูเพื่อเยาะเย้ยเจ้ากรมซุน แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกแทงข้างหลังเช่นนี้

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหน

“คดีทะเลสาบซังผอมอบให้เจ้ากรมซุน” …เขากำลังเหน็บแนมว่าข้านั้นโง่เขลา เหน็บแนมว่าข้ากำลังยกก้อนหินทุบเท้าตัวเอง…เขาต้องการตรึงชื่อข้าไว้กับต้นเสาของความอัปยศอดสู…ชื่อของบทกวีดังก้องอยู่ในสมองของเจ้ากรมซุน ในใจเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

ความต้องการสูงสุดของปัญญาชนทั้งหลายก็คือได้บันทึกชื่อลงในหน้าประวัติศาสตร์ นี่เป็นสิ่งที่ดึงดูดพวกเขามากกว่าการอบรมสั่งสอนผู้คน แต่ในทำนองเดียวกัน ยิ่งพวกเขาต้องการบันทึกชื่อลงในหน้าประวัติศาสตร์มากเพียงใด ก็ยิ่งกลัวการมีชื่อเสียงในทางเลวร้ายตลอดไปมากเท่านั้น

เรื่องนี้จะอดทนได้อย่างไร

เรื่องนี้ไม่สามารถทนได้

“มานี่ซิ เอาตัวคนชั่วช้าคนนี้ออกไป เอาออกไป!!!” เจ้ากรมซุนโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นไปทั้งตัว

เนื่องจากเขาทำโดยพลการ หมายที่จะฆ่าสวี่ชีอันขุนนางคนสำคัญของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จึงทำให้คดีทะเลสาบซังผอมีผลตามมาเช่นนี้ เดิมทีในใจก็อยากจะคว่ำโต๊ะด้วยความเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป เวลานี้สิ่งที่รับไม่ได้มากที่สุดคือการซ้ำเติม

และบทกวีของสวี่ชีอันบทนี้ ไม่ได้เป็นการโยนก้อนหินลงมาแต่เป็นภูเขา ถึงแม้จะเป็นผู้มีประสบการณ์สูงในแวดวงขุนนางเช่นเจ้ากรมซุน สภาพจิตใจก็แตกสลายเช่นกัน

คนของกรมอาญากรูเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง จะรุมจับตัวสวี่ชีอันที่นอกเขตพระราชฐาน

“ใต้เท้าซุนระงับความโกรธก่อน” น้ำเสียงราบเรียบและอ่อนโยนของเว่ยเยวียนยับยั้งผู้คนของกรมอาญาที่กำลังโมโหโกรธา

ขุนนางใหญ่ท่านนี้เดินมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วขวางหน้าสวี่ชีอันไว้

“เว่ยเยวียน ชายผู้นี้ใส่ร้ายข้าต่อหน้าคนจำนวนมาก ดูหมิ่นท่านเจ้ากรม ต้องถูกเนรเทศตามระเบียบกฎหมาย” เจ้ากรมแห่งกรมอาญาพยายามระงับความโกรธ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“วันนี้ ต่อให้เป็นเจ้าก็อย่าคิดที่จะปกป้องเขา”

“ใส่ร้ายท่านเจ้ากรมเป็นความผิดมหันต์จริงๆ” เว่ยเยวียนจ้องมองสวี่ชีอันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะตะคอกฆ้องทองแดงที่ปากไม่มีหูรูด กลับเห็นเขามองเจ้ากรมซุนด้วยท่าทีจริงจังว่า “การพูดความจริงไม่ถือเป็นการใส่ร้าย”

“เจ้า…” เจ้ากรมซุนยืนโงนเงน ชี้หน้าเว่ยเยวียนด้วยมืออันสั่นเทา

เว่ยเยวียนยิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป สวี่ชีอันเดินตามพ่อของเขาไปแต่โดยดี ออกจากการโอบล้อมของคนของกรมอาญา

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดอีกครั้ง แล้วหันกลับมาและตะโกนว่า “ยินดีด้วยท่านเจ้ากรมซุน ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า เลื่องลือไปทั่ววงการปัญญาชน”

เจ้ากรมซุนนิ่งไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็ไม่หายใจ แล้วก็ล้มทั้งยืน

“ท่านเจ้ากรม ท่านเจ้ากรม…” ผู้คนของกรมอาญาต่างตื่นตระหนก

กลับถึงที่ทำการปกครอง สวี่ชีอันเดินตามเว่ยเยวียนเข้าไปในหอเฮ่าชี่ แล้วรินน้ำชาให้กับเว่ยเยวียนและฆ้องทองคำทั้งสองอย่างกระตือรือร้น

“เว่ยกง ข้ามีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ” สวี่ชีอันขอคำชี้แนะ

เว่ยเยวียนเป็นนักวางแผน และเป็นคนฉลาด มีปัญหาอะไรขอคำชี้แนะไว้ก่อน ย่อมดีกว่าหลับหูหลับตาคาดเดาเอาเอง ก็เหมือนกับเวลาเรียนมีปัญหาก็ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ทั้งสะดวกและรวดเร็ว

“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงมอบหมายให้กรมอาญาสอบสวนคดีนี้ขอรับ” เว่ยเยวียนบีบถ้วยน้ำชา ยิ้มบางๆ

“ความรู้ความสามารถในใต้หล้ามีอยู่ 10 สือ[1] เว่ยกงครอบครองไปแล้ว 8 โต่ว ข้ากับและสำนักอวิ๋นลู่มีร่วมกัน 1 โต่ว” สวี่ชีอันประจบสอพลอ

‘พรืด…’ เจียงลวี่จงพ่นน้ำชาในปากออกมา

หยางเยี่ยนกระตุกมุมปาก

เว่ยเยวียนยิ้มบางๆ ที่มุมปาก แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าพึงพอใจต่อการประจบประแจงของสวี่ชีอันเป็นอย่างยิ่ง

ปัญญาชนเป็นเช่นนี้นี่เอง เจ้ายกยอเขา ยอดเยี่ยมที่สุด ลูกพี่ เยี่ยมๆๆ เขาคร้านจะสนใจเจ้า

แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญญาชนจะไม่ชอบให้คนประจบสอพลอ เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย การประจบสอพลอของสวี่ชีอันนั้นถูกต้องที่สุด ใช้วิธีการที่ปัญญาชนชอบ ประจบประแจงจนทำให้เว่ยเยวียนรู้สึกพึงพอใจ

เว่ยเยวียนเป็นปัญญาชนที่ทะนงตัวมาก

“เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการเป็นสมาชิกของพรรคหวาง หากมอบหมายให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นฝ่ายสอบสวน ก็จะพัวพันถึงพรรคหวางอีกจำนวนมาก” เว่ยเยวียนกล่าว

เมื่อถึงเวลานั้น ฝักฝ่ายในราชสำนักก็จะเสียสมดุล…พรรคหนึ่งเป็นใหญ่หรือสองพรรคเป็นใหญ่ล้วนไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงต้องการเห็น เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมสถานการณ์ของราชสำนักของพระองค์ โดยเฉพาะในขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรตลอดปีเช่นนี้…แม้ว่าพรรคหวางจะสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจระเบิดทะเลสาบซังผอ ระเบิดรูปปั้นบรรพชน แต่เมื่อเทียบกับอำนาจของตัวเองแล้ว บรรพชนจะมีความหมายอะไร…สวี่ชีอันวิเคราะห์และสรุปสาระสำคัญจากคำพูดของเว่ยเยวียน ด้วยเหตุนี้ทำให้ความประทับใจของเขาที่มีต่อจักรพรรดิหยวนจิ่งแย่ลงไปอีก

จักรพรรดิหยวนจิ่งอาจเป็นจักรพรรดิที่มีฝีมือเหนือชั้น แต่พระองค์ไม่ใช่จักรพรรดิที่ดี นักประวัติศาสตร์จอมปลอมอย่างสวี่ชีอันได้แบ่งจักรพรรดิออกเป็นสามประเภทคือ จักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาสามารถ จักรพรรดิธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น และจักรพรรดิที่โง่เขลา

จักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาสามารถเป็นจักรพรรดิที่ดีที่สามารถทำให้ราษฎรอยู่ดีกินดี

จักรพรรดิธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นจักรพรรดิที่ไม่มีผลงาน แล้วก็ไม่เคยมีความผิดมหันต์ จักรพรรดิในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในประเภทนี้ ความจริงแล้วสำหรับประชาชนทั่วไป จักรพรรดิธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่ทำประชาชนเดือดร้อนก็นับว่าเป็นจักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาสามารถแล้ว

จักรพรรดิที่โง่เขลาเป็นจักรพรรดิที่ใกล้ชิดกับคนเลวและอยู่ห่างจากขุนนางที่มีคุณธรรมความสามารถ มักจะทำให้ราชสำนักและบ้านเมืองวุ่นวายวุ่นวาย

ทำไมจึงไม่นับรวมจักรพรรดิที่โหดเหี้ยมไว้ในจำนวนนี้ นั่นเป็นเพราะว่าทั้งสามประเภทแรกล้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นทรราชอยู่แล้ว

ในสายตาของสวี่ชีอัน จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเป็นจักรพรรดิที่โง่เขลา เพราะในฐานะจักรพรรดิในสายตาของพระองค์มีเพียงฐานะและอำนาจของตนเองเท่านั้น สถานการณ์ความวุ่นวายจากการต่อสู้ของพรรคในราชสำนักในเวลานี้ ความจริงแล้วล้วนเกิดขึ้นเพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งทั้งสิ้น

พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียร โดยไม่ใส่พระทัยงานของราชสำนัก ดังนั้นจึงทรงต้องการให้เกิดความวุ่นวายในราชสำนักเพื่อรักษาฐานะของตนเองให้มั่นคง มิเช่นนั้นจะถูกขับออกจากอำนาจได้อย่างง่ายดาย

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการจึงไม่ฆ่าโจวชื่อสวงเพื่อปิดปาก” สวี่ชีอันพูด

เดิมทีคิดว่าจะต้องเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นฝ่ายสอบปากคำเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยถาม แต่คาดไม่ถึงว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะทรงทำเช่นนี้

เว่ยเยวียนส่ายหน้า “อย่ากังวลกับปัญหาเล็กๆ เหล่านี้เลย คดีทะเลสาบซังผอสิ้นสุดลงแล้ว ฝ่าบาทไม่ได้ทรงกล่าวถึงเรื่องของเจ้า แสดงว่าทรงปล่อยผ่านแล้ว”

สวี่ชีอันหัวเราะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ พูดขึ้นทันทีว่า “ข้าวางแผนที่จะเชิญเหล่าสหายร่วมงานในหน่วยที่ร่วมสืบสวนและคลี่คลายคดีกับข้าไปดื่มเหล้าที่สำนักสังคีต แต่ข้าไม่มีเงิน ท่านเว่ยกงได้โปรดจัดสรรเงินให้ด้วยขอรับ”

นี่ก็เหมือนกับตอนที่บริษัททำงานเสร็จงานหนึ่ง แล้วทุกคนก็ไปกินข้าวที่ร้านอาหารด้วยกัน แน่นอนว่าบริษัทย่อมต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

เว่ยเยวียนเหลือบมองเขา “ไปให้พ้น”

หลังจากไล่สวี่ชีอันออกไปแล้ว เว่ยเยวียนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หยางเยี่ยน เจ้ามอบเงินให้เขาไปสองร้อยตำลึงเงิน ถือเป็นรางวัลจากที่ทำการปกครอง” พูดจบก็หันไปมองเจียงลวี่จงและหยางเยี่ยน “เจ้าสองคนจะไปด้วยก็ได้”

เจียงลวี่จงส่ายหน้าไปมา “เว่ยกง ข้าไม่มีวันไปสถานที่เช่นสำนักสังคีตขอรับ”

หยางเยี่ยนก็ส่ายหน้า

เว่ยเยวียนไม่ได้บังคับ เขาดื่มชาอย่างสบายใจ “มีเขาอยู่ คาดว่าคงจะมีคณิการายล้อมมากมาย”

เมื่อยามราตรีมาถึง ดวงไฟของสำนักสังคีตก็สว่างไสว เสียงเครื่องดนตรีทั้งประเภทดีดสีตีเป่าก็ดังกังวานไพเราะจับใจ

หออิ่งเหมย ฝูเซียงดีดพิน หมินเยี่ยนร่ายรำ เสียวหย่าทำหน้าที่คอยรินเหล้า บรรยากาศคึกคัก

ข้างกายหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จงมีคณิกาหน้าตางดงามคอยปรนนิบัติและดื่มเหล้าเป็นเพื่อน สวี่ชีอันชูแก้วขึ้น หัวเราะแล้วพูดว่า “ทุกท่านอย่าได้สำรวมมากเกินไป กิน ดื่ม ให้เต็มที่”

ตอนแรกฆ้องทองแดงและฆ้องเงินยังรู้สึกไม่ค่อยชิน เพราะมีฆ้องทองคำสองคนอยู่ด้วย ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันค่อนข้างมาก

แต่เจียงลวี่จงเป็นผู้มีประสบการณ์ในวงเหล้า จึงรู้วิธีทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้น ชูแก้วเหล้าเชื้อเชิญไม่หยุด แล้วยังพูดจาหยาบคาย แตกต่างกับเวลาอยู่เวรราวกับคนละคน

ไม่นาน บรรดาฆ้องเงินและฆ้องทองแดงก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย

ในที่นี้มีเพียงสองคนที่มีท่าทีจริงจัง ไม่เหมือนคนมาเที่ยวผู้หญิงแม้แต่น้อย พวกเขาคือหยางเยี่ยนและหลี่อวี้ชุน

“พวกท่านทั้งสองสมกับที่เป็นหัวหน้าและผู้ใต้บังคับบัญชา ความประพฤติเหมือนกันเลย” เจียงลวี่จงหัวเราะแล้วพูดหยอกล้อ

“คำพูดของฆ้องทองคำเจียงไม่ถูกต้อง” สวี่ชีอันดื่มเหล้าไปไม่น้อย เริ่มเมาเล็กน้อยจึงกล้าหยอกล้อหัวหน้าทั้งสองคน

“ฆ้องทองคำหยางนั้นไม่ชอบเรื่องผู้หญิง ส่วนหัวหน้าก็แสร้งทำท่าจริงจังเกินไป ทั้งสองคนยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง”

ณ เวลานี้ บรรยากาศในงานผ่อนคลายลงแล้วอย่างแน่นอน ทุกคนหัวเราะเสียงดัง เต็มไปด้วยบรรยากาศสนุกสนาน

ดื่มกันจนถึงยามไห้สองเค่อ (เวลาปัจจุบัน 21:30 น. ) ในที่สุดงานเลี้ยงก็เลิกรา เจียงลวี่จงโอบคณิการ่างอวบออกไป ส่วนหยางเยี่ยนก็กลับไปที่ที่ทำการปกครอง

หลี่อวี้ชุนเองก็อยากจะกลับไปเช่นกัน แต่ถูกสวี่ชีอัน ซ่งถิงเฟิง และจูกว่างเสี้ยวรั้งตัวเอาไว้ ยัดเยียดหญิงสาวงามเฉิดฉายให้เขา แล้วกักขังเขาไว้ในห้องห้องหนึ่ง

ในฐานะ ‘เจ้าภาพ’ หลังจากสวี่ชีอันจัดการกับทุกคนเรียบร้อยแล้ว จึงเข้ามาในห้องของฝูเซียง

“เหตุใดวันนี้จึงมีคนมามากมายนักเจ้าคะ” ฝูเซียงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ นั่งขัดสมาธิเช็ดผมดำขลับของเธออยู่บนขอบเตียง

“เพื่อให้สาวๆ ในบ้านเป็นระเบียบอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันถอดเสื้อคลุมและดาบพกออก แล้วหันหลังเดินออกจากห้อง

“เดี๋ยวข้ากลับมา”

เขากดฝีเท้า ค่อยๆ ย่องไปยังห้องของหลี่อวี้ชุน แล้วก็เห็นซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงมุมห้อง

สวี่ชีอันใช้สายตาส่งสัญญาณ “พวกเจ้าก็มาแอบฟังเหมือนกันหรือ”

ทั้งสองพยักหน้า และส่งสายตาถามกลับ “หัวหน้าอยู่ในระดับหลอมวิญญาณ ระวังหน่อย ควบคุมการหายใจด้วย…”

ในที่สุด ก็ค่อยๆ เดินมาถึงใต้หน้าต่างห้องของหลี่อวี้ชุน แล้วก็พบว่าไม่มีเสียงขย่มเตียง กลับมีเสียงสนทนาดังมาจากด้านในห้อง

“นายท่าน ข้าอาบเสร็จแล้ว ท่านไปอาบเถิดเจ้าค่ะ”

“อืม…” หลี่อวี้ชุนตอบเสียงทุ้มเล็กน้อย

หลังจากนั้นพักใหญ่ เมื่ออาบเสร็จแล้ว เสียงผู้หญิงก็ดังขึ้น “นายท่าน เตียงอุ่นแล้ว ท่านเดินไปเดินมาในห้องด้วยเหตุใดเจ้าคะ”

“ของตกแต่งในห้องรกมาก รกไปหมด อยู่ในห้องนี้ ข้ารู้สึกจิตใจไม่สงบเลย” หลี่อวี้ชุนพูดอย่างขมขื่น

“ฮะ” หญิงสาวตกตะลึง “มันเป็นระเบียบเรียบร้อยมากแล้วนี่หนา และสาวใช้ก็ทำความสะอาดห้องทุกวันเจ้าค่ะ”

“ไม่จริง…” หลี่อวี้ชุนพูดอย่างจริงจัง “ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะควรวางล้อมรอบกาน้ำชา โดยมีการเว้นระยะห่าง …กระถางต้นไม้ริมหน้าต่าง ควรวางไปทางซ้ายอีกสองนิ้ว… เก้าอี้วางระเกะระกะเกินไป ควรวางในลักษณะเดียวกับถ้วยน้ำชารอบกาน้ำชา… ภาพที่แขวนไว้ที่ฝาผนัง มันควรจะแขวนไว้ตรงกลางไม่ใช่หรือ… ฉากกั้นตั้งไม่ตรง เมื่อกี้ข้าตั้งให้ตรงแล้ว …อ้อ รองเท้าปักของเจ้าก็วางไม่เป็นระเบียบเช่นกัน…”

“…ของ ของพวกนี้จะเป็นระเบียบได้อย่างไร ผู้ใดจะทำได้บ้างเจ้าคะ” หญิงสาวพูดอย่างอ่อนโยน “นายท่านเจ้าขา ข้ารอท่านมาระยะหนึ่งแล้ว”

หลี่อวี้ชุนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ผู้ใดว่าทำไม่ได้ เจ้าคอยดูและทำตามด้วย ข้าจะสอนวิธีทำความสะอาดห้องให้เจ้าเอง”

หญิงสาว “???”

ที่ใต้หน้าต่าง พวกสวี่ชีอันทั้งสามคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด ค่อยๆ ย่องออกมา สวี่ชีอันพูดอย่างขมขื่นว่า “หัวหน้ายังไม่ได้แต่งงานเหรอ”

“แต่งงานแล้วนะ”

“เหตุใดรู้สึกเหมือนเขาเป็นมือใหม่” สวี่ชีอันพูด

“นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่มาสำนักสังคีตใช่หรือไม่” ซ่งถิงเฟิงไม่อยากจะเชื่อเลย แม้ว่าจะทำงานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหลี่อวี้ชุนมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขาเลย

สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เดี๋ยวพวกเรากลับไปที่ห้อง ส่งเสียงเคลื่อนไหวให้ดังหน่อย”

“เป็นความคิดที่ดี” ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวคิดว่าวิธีนี้ดีมาก

ดังนั้นเสียงขย่มเตียงในหออิ่งเหมยในค่ำคืนนี้จึงดุเดือดเป็นพิเศษ

……………………………………………..

[1] สือ คือมาตราชั่งตวง 1 สือ เท่ากับ 10 โต่ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง