ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 157

บทที่ 157 มอบบทกวี
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักก็อดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ การสืบคดีทะเลสาบซังผอมาจนถึงเวลานี้ ทุกคนต่างรู้ต้นสายปลายเหตุกันแล้ว ว่าอดีตหัวหน้ากองร้อยโจวองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่หลบหนีไป คือตัวการสำคัญที่แอบติดต่อกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ลักลอบลำเลียงดินปืนเข้าไปในเขตพระราชฐาน ส่วนจะเป็นตัวการสำคัญหรือไม่นั้น เรื่องนี้นานาจิตตัง ถึงอย่างไรบรรดาขุนนางชั้นสูงที่อยู่ในท้องพระโรง น้อยคนนักที่จะมีไอคิวต่ำ ดังนั้น คำพูดของเว่ยเยวียนจึงเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทุบลงไปในท้องพระโรง ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที

แม้ว่าเว่ยเยวียนขันทีเฒ่าที่ไม่มีผู้สืบสกุลคนนี้จะเป็นคนน่ารำคาญ แต่เขาก็เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือเช่นกัน คำพูดของเขา นับว่ามีคุณค่าเป็นอย่างสูง

มีคนกำลังจะจบเห่แล้ว…นี่คือความในใจที่ตรงกันของบรรดาผู้มีอำนาจในราชสำนัก

เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการหน้าบึ้งขึ้นมาทันที หนวดเคราสีเทากระดิก ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเว่ยเยวียน

บุคลิกของชายชราคนนี้เป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไปมาโดยตลอด น้อยมากที่จะแสดงกิริยาเสียมารยาทเช่นนี้

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ไปนำตัวมา!”

สวี่ชีอันนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถ เปิดม่านมองโจวชื่อสวง ‘เจ้าหมอนี่ยังสลบอยู่’ เนื่องจากกลัวว่าคนคนนี้จะฆ่าตัวตาย สวี่ชีอันจึงไปขอยาสลบปริมาณมากมาจากฉู่ไฉ่เวย

เหตุผลที่เลือกให้สำนักอวิ๋นลู่มารับช่วงต่อ แทนที่จะเก็บเขาไว้ในชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี เป็นเพราะสวี่ชีอันมีข้อกังวลสองประการ ประการแรกคนผู้นี้อยู่ในระดับหลอมวิญญาณ ระดับสูงกว่าเขา จึงไม่กล้าเสี่ยง

ประการที่สอง ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีนั้นเป็นความลับ ไม่สามารถแสดงให้คนเห็นอย่างเอิกเกริกได้ ถึงอย่างไรเมื่อเข้าไปในพระตำหนักกระดิ่งทอง แล้วก็ไม่ควรล้วงเอาชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแสดงต่อหน้าจักรพรรดิและขุนนางชั้นสูงของราชสำนัก

แน่นอนว่า ถ้าไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็ยังคงเลือกที่จะใช้หนังสือปฐพี เพียงแต่เวลานี้เขามีสายสัมพันธ์ในการทำงานมากพอ จึงพยายามไม่ใช้หนังสือปฐพี

“ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่หยางเชียนฮ่วนเป็นศิษย์คนที่เท่าไหร่ของท่านโหราจารย์” ระหว่างรอข่าวจากราชสำนัก สวี่ชีอันจึงคุยเรื่องสัพเพเหระกับศิษย์พี่ซ่งไปด้วย

รอยคล้ำใต้ตาของศิษย์พี่ซ่งนั้นพบได้น้อยมากในโลกนี้ หากเป็นชาติก่อน จะต้องถูกมองว่าเป็นคนชอบเซ็กซ์หมู่อย่างแน่นอน แต่ว่าซ่งชิงเป็นปัญญาชนที่ไม่แตะต้องผู้หญิง ในสายตาของเขามีเพียงมนุษย์และสัตว์ ไม่มีผู้หญิง

“เขาเป็นศิษย์พี่ของข้าและไฉ่เวย ศิษย์คนที่สามของอาจารย์” ซ่งชิงเดินเข้ามาหาเขาสองสามก้าว แล้วกระซิบว่า “ศิษย์พี่ของข้าสมองผิดปกติ”

“ศิษย์ของท่านโหราจารย์มีคนที่สมองปกติด้วยหรือ” สวี่ชีอันแสดงความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ มือไขว้หลัง เลียนแบบท่ายืนของหยางเชียนฮ่วน

“ใช่ๆๆ!” ซ่งชิงพยักหน้าหงึกๆ “เขาชอบหันหลังให้คนอื่นเสมอ เวลาพูดก็ไม่พูดดีๆ บรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้องต่างเบื่อหน่ายเขา มีแต่เขาที่ไม่รู้สึกละอาย แต่กลับรู้สึกภาคภูมิใจ”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” สวี่ชีอันนึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ คืนนั้นที่เขาอยู่ร่วมกับหยางเชียนฮ่วนที่สำนักสังคีต

“เขาบอกว่าตนเองต้องหันหลังให้กับสิ่งมีชีวิต จึงดูมีบุคลิกลักษณะงดงามกว่าผู้ใด” ซ่งชิงกล่าว

เขากำลังรับบทจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หรือ… สวี่ชีอันรู้สึกจุกในลำคอ อึดอัดเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่อาการจูนิเบียว จูนิเบียวคือการเกิดการเบี่ยงเบนทางการรับรู้ เกิดปัญหาทางด้านความคิด นี่คือการเสแสร้ง เพราะการตอแหลเป็นการแสร้งทำ ไม่ใช่เพราะการรับรู้มีปัญหา สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ซ่ง ช่วยข้านำความไปบอกเขาหน่อยเถิด”

“พูดมา”

สวี่ชีอันลดเสียงลง “สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”

อวดดี!

หยางเยี่ยนและเจียงลวี่จงฆ้องทองคำทั้งสองหูกระดิก ได้ยินแล้ว ก็หันมามองโดยไม่รู้ตัว

สำหรับทหาร การได้ยินประโยคเช่นนี้ก็เหมือนนักเลงคนหนึ่งเห็นนักเลงอีกคนหนึ่งกำลังอวดเก่ง มันง่ายมากที่จะกระตุ้นนิสัยอยากเอาชนะผู้อื่นให้ตื่นขึ้นมา

ครั้งก่อนสวี่ชีอันร้องเพลงขณะอยู่ที่หอดูดาวว่า ‘ดาบอยู่ในมือ ถามว่าใครคือวีรบุรุษในใต้หล้า’ จึงได้ถูกหนานกงเชี่ยนโหรวทำเสียง ‘ชิ’ อย่างดูแคลน ก็เพราะเหตุผลนี้

‘คำพูดอวดดีเช่นนี้ ศิษย์พี่หยางจะต้องชอบใจอย่างแน่นอน แต่หากพูดไปทั่ว…เขาน่าจะถูกซัดนะ…ถูกซัดก็ดี ข้ารู้สึกหมั่นไส้ท่าทางของเขามานานแล้ว…’ ซ่งชิงพยักหน้าด้วยความยินดี “จะต้องนำความไปบอกเขาอย่างแน่นอน”

ขณะพูด ขันทีคนหนึ่งได้เดินนำหน้าทหารแถวหนึ่งออกมา มองไปรอบๆ ประตูเมือง แล้วพูดเสียงดังว่า

“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ที่ไหน”

เจียงลวี่จง ประสานมือพูดว่า “อยู่ที่นี่ขอรับ!”

หลังจากรอให้ทุกคนหยิบป้ายคล้องเอวและแผ่นป้ายทองคำออกมา เพื่อพิสูจน์ตัวตนแล้ว ขันทีก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ตามข้าเข้าวัง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า”

หยางเยี่ยนรีบเลิกม่าน ประคองโจวชื่อสวงไว้ในมือทันที

“นี่คือผู้ใด” ระหว่างทางเข้าวัง ขันทีได้ถามด้วยความอยากรู้

“ผู้ต้องหาที่ถูกประกาศจับคนสำคัญ โจวชื่อสวง” สวี่ชีอันตอบ

“เหตุใดจึงยังคลุมกระสอบอยู่ ให้ข้าดูหน่อยซิ” ดูเหมือนขันทีจะสนใจมาก เดินเข้ามาแล้วโน้มตัวลงมาดู

เจียงลวี่จงสกัดไว้ ส่ายหัวและพูดว่า “ก่อนที่จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ใครก็ห้ามแตะต้องผู้ต้องหา”

ขันทีขมวดคิ้ว กวาดตามองหน้าทุกคน แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ก่อนเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะต้องพิสูจน์ตัวตนให้ชัดเจนก่อน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนนี้จะเป็นคนที่มีเจตนาร้าย ปลอมตัวเป็นโจวชื่อสวง ปะปนเข้ามาในวังเพื่อหวังจะลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทหรือไม่ แน่นอนว่า ข้าไม่ได้บอกว่าพวกเจ้าเป็นผู้ร่วมกันทำความผิด แต่สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะถูกหลอกก็เป็นได้”

เจียงลวี่จงยังคงส่ายหัว

“ทุกท่านหมายความว่าอย่างไร” ขันทีหยุดเดิน หรี่ตา มองสำรวจทุกคน “ตอนนี้ข้าสงสัยในตัวตนของบุคคลนี้ และต้องการพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงให้แน่ชัด”

ทหารแถวนั้นหยุดเดิน และจ้องไปที่เจียงลวี่จงและคนอื่นๆ อย่างด้วยความยำเกรง

คำพูดเหล่านี้มีเหตุผล ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่พูดออกมาในเวลานี้ กลับทำให้เหตุการณ์อ่อนไหวขึ้นมาทันที

สวี่ชีอันรู้วิธีที่ทำให้คนตายอย่างเงียบๆ หลายวิธี และเชื่อว่าฆ้องทองคำทั้งสองต้องรู้มากยิ่งกว่า แต่พวกเขาในฐานะที่เป็นทหาร ส่วนมากไม่มีความสามารถที่จะยับยั้งได้ ทหารนั้นเชี่ยวชาญในการใช้กำลัง และถ้าโจวชื่อสวงเสียชีวิต และเป็นการเสียชีวิตอย่างเงียบๆ ในขณะที่ยังสลบอยู่ ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้ ต้องไม่ใช่ขันทีคนนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากการพิสูจน์ตัวตนผู้ต้องหานั้นเป็นกระบวนการปกติ

ขันทีคนนี้มีพรรคมีพวก…และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นพวกเดียวกับเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการ…แน่นอนว่า ถ้าข้ามาเพียงคนเดียว โดยไม่นำฆ้องทองคำทั้งสอง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น ศิษย์พี่และศิษย์น้องจากสำนักโหราจารย์มาด้วย…มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะพลาดท่าก่อนวันแห่งชัยชนะ เมื่อคิดถึงตรงนี้สวี่ชีอันยิ้มกริ่มแล้วพูดว่า “ท่านขันที เมื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ข้าจะกราบทูลว่าท่านขันทีพยายามที่จะฆ่าโจวชื่อสวงเพื่อปิดปาก”

“เจ้า!” ท่านขันทีเดือดดาลขึ้นมา “เจ้ากล้าใส่ร้ายข้า มานี่ซิ จับตัวมันไว้”

“ท่านขันที…” สวี่ชีอันพูดเสียงดัง “ท่านคิดให้ดีๆ ว่าต้องปะทะกันที่นี่จริงหรือ ฝ่าบาทไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน ท่านได้ชั่งน้ำหนักของผลที่จะตามมาหรือไม่”

ขันทีท่านนี้ยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “เด็กเมื่อวานซืน แล้วเจ้าได้คิดถึงผลที่จะตามมาแล้วหรือ”

สวี่ชีอันใช้มือข้างหนึ่งกดดาบแล้วเดินไปกระซิบข้างหูของขันที “อย่าป่าเถื่อนกับคนที่ทำอะไรไม่คิดชีวิตเช่นข้า มันไม่คุ้มหรอก ท่านขันทีทำเพื่อผู้อื่น ขอเพียงทำเต็มที่แล้วก็พอ แล้วท่านก็ไม่ใช่สมาชิกหลักของพรรคหวาง ดังนั้นอย่าทำร้ายตัวเองเลย”

สีหน้าของขันทีในวัยสามสิบต้นๆ เปลี่ยนสีไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเสียงแหลมว่า “ข้าไม่อยากเถียงกับคนโง่เช่นเจ้า”

เมื่อมาถึงด้านนอกของพระตำหนักกระดิ่งทอง ขันทีก็เข้าไปกราบทูล ครู่หนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรงโปรดให้สวี่ชีอันและคณะเข้ามาในพระตำหนัก

เมื่อข้ามธรณีประตูที่สูงเท่าเข่าแล้ว สวี่ชีอันก็เข้ามายังพระตำหนักหลักของพระราชวังแห่งนี้ และได้พบกับกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดแห่งต้าฟ่งอีกครั้ง โดยเฉพาะชายวัยกลางคนผู้น่าเกรงขาม สวมชุดคลุมลัทธิเต๋ายืนอยู่เหนือบัลลังก์มังกรคนนั้น

เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักหันข้างเล็กน้อย มองไปที่ประตูของพระตำหนักกระดิ่งทอง มองดูสวี่ชีอันและคณะเข้ามา ยังคงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย… ศูนย์กลางเวทีอำนาจของต้าฟ่ง… สวี่ชีอันหายใจออกยาวๆ เพื่อระงับความกลัวเหล่านั้น

แววตาอ่อนโยนของเว่ยเยวียนมองมาที่ใบหน้าของสวี่ชีอัน แล้วพยักหน้าเล็กน้อย

สวี่ชีอันก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว เขารับตัวหัวหน้ากองร้อยโจวมาจากมือของฆ้องทองคำเจียง ดึงกระสอบออก บีบที่หลังคอของเขา และบังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นทั้งที่ยังสลบอยู่

“ฝ่าบาท นี่คือผู้ต้องหาที่ถูกประกาศจับคนสำคัญของราชสำนัก โจวชื่อสวงอดีตหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มขึ้นในทันที

สีหน้าของเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการ ค่อยๆ ซีดลงทีละน้อย

นิ้วของสวี่ชีอันกดไปยังตำแหน่งต่างๆ บนตัวโจวชื่อสวงอย่างรวดเร็ว ‘โอ๊ย’ หัวหน้ากองร้อยโจวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่ามกลางเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึง เพราะเบื้องหน้าคือจักรพรรดิหยวนจิ่งผู้ประทับบนบัลลังก์ ทั้งสองข้างคือเหล่าขุนนางแห่งราชสำนัก ‘แผ่นป้ายพระตำหนักกระดิ่งทอง’ อันสง่างามอยู่เหนือพระเศียร และเพชรคริสทัลส่องประกายอยู่ใต้พระบาทของพระองค์

‘สงสัยจะลืมตาผิดวิธี’…หัวหน้ากองร้อยโจว หลับตาอีกครั้ง

‘เพียะ!’ สวี่ชีอันตบไปหนึ่งที ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “คนชั่วช้า เจ้ากลับมาถึงบ้านเกิดแล้ว”

โจวชื่อสวงที่มือและเท้าเจ็บจนชาไปหมด ถูกเหวี่ยงลงกับพื้น เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่กลับฟุบตัวลง และร้องไห้จนตัวสั่นเทา “ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้งๆ”

หลังจากที่ค่ายโจรในอวิ๋นโจวถูกทำลาย โจวชื่อสวงก็ถูกทำร้ายจนสลบไป และถูกส่งไปยังเมืองหลวงโดยอาศัยสัตว์ขนไฟ เขาสลบมาตลอดทาง ระหว่างทางได้ป้อนน้ำให้หลายครั้ง แต่ไม่ได้ป้อนอาหาร

กว่าจะมาถึงเมืองหลวงนั้นไม่ง่ายเลย สวี่ชีอันรู้สึกว่าสภาพเขาไม่เลว จึงวางยาสลบทำให้เขาสลบต่อไปเสียเลย

จักรพรรดิหยวนจิ่งพระพักตร์เคร่งขรึม และทรงจ้องมองมาจากเบื้องบน “โจวชื่อสวง ใครเป็นผู้บงการให้เจ้าสมคบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ลักลอบลำเลียงดินปืน”

โจวชื่อสวงหมอบอยู่บนพื้น และพูดไม่หยุดว่า “กระหม่อมสมควรตาย…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ทรงมองเขาอีก แต่ทรงจ้องมองไปที่จางเซิ่นที่อยู่ข้างๆ สวี่ชีอัน แล้วทรงตรัสอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านจาง รบกวนท่านแล้ว”

จางเซิ่นทำเสียง ‘ฮึ่ม’ อย่างเย็นชา ไม่ตอบสนองต่อคำขอของจักรพรรดิอย่างชัดเจน เขาก้าวออกไป มือทั้งสองข้างไขว้หลัง เอื้อนเอ่ยกฎเกณฑ์ของราชสำนัก “สุภาพชนต้องมีความซื่อสัตย์ สามัญชนก็เช่นกัน”

มีสายลมที่มองไม่เห็นพัดผ่านทั่วทั้งพระตำหนักกระดิ่งทอง ทันใดนั้น ในสมองของคนทั้งพระตำหนักต่างถูกคำว่า ‘ความซื่อสัตย์’ เข้าครอบงำ

“ใครเป็นคนบงการให้เจ้าสมคบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ลักลอบลำเลียงดินปืน”

“คือ คือ…หลี่อวี้หลางเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการ” โจวชื่อสวงร้องไห้โฮ

พริบตาเดียว พระตำหนักกระดิ่งทองก็โกลาหลขึ้นมาทันที บรรดาขุนนางชั้นสูงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ทำให้วุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง

ขุนนางใกล้ชิดคนหนึ่งยืนขึ้นพูดว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไร้สาระ โจวชื่อสวงกำลังใส่ร้ายป้ายสี…”

ซ่งชิงพูดตัดบทอย่างเย็นชา “หัวหน้ากองร้อยโจวไม่ได้โกหก”

ฉู่ไฉ่เวยพูดซ้ำเหมือนเครื่องบันทึกเสียง “ไม่ได้โกหก”

วิชามองปราณไม่สามารถตรวจสอบขุนนางระดับสี่ขึ้นไป แต่สามารถตรวจสอบโจวชื่อสวงได้

สีหน้าของเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการหม่นหมอง

ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวแล้ว ตอนที่โจวชื่อสวงถูกจับ เขาก็แพ้แล้ว เว้นแต่จะรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า แล้วจัดการฆ่าตัดตอนระหว่างทางเสีย

“หลี่อวี้หลาง เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสถาม

เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซ่อนสีหน้าสิ้นหวัง “กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”

ดูเหมือนว่ากำลังดิ้นรนก่อนจะสิ้นลมหายใจ แต่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อแก้ตัวใดๆ เพิ่มเติม มีเพียงสามคำคือ หน้าซีดเผือด

เว่ยเยวียนพูดขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาท โปรดมอบหมายให้กระหม่อมเป็นผู้สอบสวนคนชั่วช้านี้เอง เพื่อหาตัวคนที่สมคบคิดกันพ่ะย่ะค่ะ”

จากนั้นเจ้ากรมแห่งกรมอาญาก็ก้าวออกมาจากแถว ตอบโต้เว่ยเยวียนทันที “ฝ่าบาท คดีนี้ควรมอบหมายให้กรมอาญาจัดการพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ทรงตอบ ทรงมองลงไปยังที่ขุนนางชั้นสูงทุกคนของราชสำนักอย่างเงียบขรึม ทำให้ขุนนางทุกคนต้องหยุดวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก้มศีรษะเล็กน้อย

หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสเสียงดังว่า “คดีนี้มอบหมายให้กรมอาญาจัดการ”

หลังการว่าราชการสิ้นสุดลง เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการที่ถูกถอดชุดและหมวกขุนนางออก ก็ถูกควบคุมตัวออกไปจากพระราชวัง

“ช้าก่อน!”

เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการที่มีท่าทีเมินเฉยหันไปมอง เจ้ากรมอาญาและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ก็หันไปมองเช่นกัน พวกเขาเห็นฆ้องทองแดงแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลวิ่งตามมา

เจ้าหน้าที่ของกรมอาญา และคนอื่นๆ ก้าวออกไปสกัดไว้

สวี่ชีอันไม่ได้ขัดขืน เขาหยุดเดิน มองไปยังเจ้ากรมแห่งกรมอาญาและเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการ แล้วพูดเรียบๆ ว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง เมื่อหลายวันก่อนเว่ยกงได้เล่าให้ข้าฟังแล้ว ถ้าพรรคหวางของพวกท่านไกล่เกลี่ยให้เรื่องราวสงบเร็วกว่านี้ ก็คงไม่มีวันนี้”

ฉากนี้ถูกขุนนางจำนวนมากจับตามอง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหยุด คอยดูอยู่ข้างๆ

เว่ยเยวียนหยุดที่ข้างรถม้า และมองมาทางนี้จากระยะไกล

หยางเยี่ยนกระซิบว่า “พ่อบุญธรรม ต้องการเรียกเขากลับมาหรือไม่ขอรับ”

เว่ยเยวียนส่ายหัว “หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะมีความแค้นเคืองอยู่ในใจ หากไม่ระบายออกในยามนี้ แล้วจะต้องรอถึงเมื่อไร เจ้าคอยจับตาดูไว้ อย่าให้เขาทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าก็อยากจะดูว่าเขาจะพูดอะไรบ้าง”

เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาหรี่ตา แล้วพูดอย่างดูแคลนว่า “เด็กน้อย บังอาจมาพูดจาเหลวไหลที่นี่”

สวี่ชีอันพูดโดยไม่รู้สึกโกรธเคืองเแม้แต่น้อย “ท่านเจ้ากรมทั้งสองคงรู้ว่าข้าน้อยมีพรสวรรค์ด้านบทกวีอย่างมาก ไม่บังอาจพูดจาเหลวไหล เพียงแต่ต้องการมอบบทกวีบทหนึ่งให้ท่านเจ้ากรมซุนและเจ้ากรมหลี่ บทกวีนี้ชื่อว่า ‘คดีทะเลสาบซังผอมอบให้เจ้ากรมซุน’ ”

มอบบทกวีหรือ!

บรรดาขุนนางชั้นสูงที่อยู่รอบๆ ต่างพากันตกตะลึง จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น กรูกันเข้ามาประสมโรง โดยไม่ไว้หน้าเจ้ากรมซุน

“ไป ไปฟังกัน” ดวงตาของเว่ยเยวียนเป็นประกาย เดินก้าวยาวๆ เข้าไปร่วมวง

ใบหน้าของเจ้ากรมซุนเปลี่ยนสีเมื่อนึกถึงชื่อเสียงของสวี่ชีอัน และนึกถึงบทกวีของเขา ก็เกิดความวิตกกังวลอย่างรุนแรงขึ้นในหัวใจ

สวี่ชีอันกล่าวเสียงดังว่า “คนทุกผู้เลี้ยงลูกล้วนต้องการให้เป็นคนฉลาด แต่ข้ากลับต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความฉลาดไปชั่วชีวิต ข้าจึงหวังให้เด็กคนนั้นเป็นคนโง่เขลาหยาบคาย แต่ได้เป็นขุนนางชั้นสูงโดยปราศจากภัยอันตราย”

…………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง