ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 157

บทที่ 157 มอบบทกวี
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักก็อดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ การสืบคดีทะเลสาบซังผอมาจนถึงเวลานี้ ทุกคนต่างรู้ต้นสายปลายเหตุกันแล้ว ว่าอดีตหัวหน้ากองร้อยโจวองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่หลบหนีไป คือตัวการสำคัญที่แอบติดต่อกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ลักลอบลำเลียงดินปืนเข้าไปในเขตพระราชฐาน ส่วนจะเป็นตัวการสำคัญหรือไม่นั้น เรื่องนี้นานาจิตตัง ถึงอย่างไรบรรดาขุนนางชั้นสูงที่อยู่ในท้องพระโรง น้อยคนนักที่จะมีไอคิวต่ำ ดังนั้น คำพูดของเว่ยเยวียนจึงเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทุบลงไปในท้องพระโรง ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที

แม้ว่าเว่ยเยวียนขันทีเฒ่าที่ไม่มีผู้สืบสกุลคนนี้จะเป็นคนน่ารำคาญ แต่เขาก็เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือเช่นกัน คำพูดของเขา นับว่ามีคุณค่าเป็นอย่างสูง

มีคนกำลังจะจบเห่แล้ว…นี่คือความในใจที่ตรงกันของบรรดาผู้มีอำนาจในราชสำนัก

เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการหน้าบึ้งขึ้นมาทันที หนวดเคราสีเทากระดิก ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเว่ยเยวียน

บุคลิกของชายชราคนนี้เป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไปมาโดยตลอด น้อยมากที่จะแสดงกิริยาเสียมารยาทเช่นนี้

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ไปนำตัวมา!”

สวี่ชีอันนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถ เปิดม่านมองโจวชื่อสวง ‘เจ้าหมอนี่ยังสลบอยู่’ เนื่องจากกลัวว่าคนคนนี้จะฆ่าตัวตาย สวี่ชีอันจึงไปขอยาสลบปริมาณมากมาจากฉู่ไฉ่เวย

เหตุผลที่เลือกให้สำนักอวิ๋นลู่มารับช่วงต่อ แทนที่จะเก็บเขาไว้ในชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี เป็นเพราะสวี่ชีอันมีข้อกังวลสองประการ ประการแรกคนผู้นี้อยู่ในระดับหลอมวิญญาณ ระดับสูงกว่าเขา จึงไม่กล้าเสี่ยง

ประการที่สอง ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีนั้นเป็นความลับ ไม่สามารถแสดงให้คนเห็นอย่างเอิกเกริกได้ ถึงอย่างไรเมื่อเข้าไปในพระตำหนักกระดิ่งทอง แล้วก็ไม่ควรล้วงเอาชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแสดงต่อหน้าจักรพรรดิและขุนนางชั้นสูงของราชสำนัก

แน่นอนว่า ถ้าไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็ยังคงเลือกที่จะใช้หนังสือปฐพี เพียงแต่เวลานี้เขามีสายสัมพันธ์ในการทำงานมากพอ จึงพยายามไม่ใช้หนังสือปฐพี

“ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่หยางเชียนฮ่วนเป็นศิษย์คนที่เท่าไหร่ของท่านโหราจารย์” ระหว่างรอข่าวจากราชสำนัก สวี่ชีอันจึงคุยเรื่องสัพเพเหระกับศิษย์พี่ซ่งไปด้วย

รอยคล้ำใต้ตาของศิษย์พี่ซ่งนั้นพบได้น้อยมากในโลกนี้ หากเป็นชาติก่อน จะต้องถูกมองว่าเป็นคนชอบเซ็กซ์หมู่อย่างแน่นอน แต่ว่าซ่งชิงเป็นปัญญาชนที่ไม่แตะต้องผู้หญิง ในสายตาของเขามีเพียงมนุษย์และสัตว์ ไม่มีผู้หญิง

“เขาเป็นศิษย์พี่ของข้าและไฉ่เวย ศิษย์คนที่สามของอาจารย์” ซ่งชิงเดินเข้ามาหาเขาสองสามก้าว แล้วกระซิบว่า “ศิษย์พี่ของข้าสมองผิดปกติ”

“ศิษย์ของท่านโหราจารย์มีคนที่สมองปกติด้วยหรือ” สวี่ชีอันแสดงความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ มือไขว้หลัง เลียนแบบท่ายืนของหยางเชียนฮ่วน

“ใช่ๆๆ!” ซ่งชิงพยักหน้าหงึกๆ “เขาชอบหันหลังให้คนอื่นเสมอ เวลาพูดก็ไม่พูดดีๆ บรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้องต่างเบื่อหน่ายเขา มีแต่เขาที่ไม่รู้สึกละอาย แต่กลับรู้สึกภาคภูมิใจ”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” สวี่ชีอันนึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ คืนนั้นที่เขาอยู่ร่วมกับหยางเชียนฮ่วนที่สำนักสังคีต

“เขาบอกว่าตนเองต้องหันหลังให้กับสิ่งมีชีวิต จึงดูมีบุคลิกลักษณะงดงามกว่าผู้ใด” ซ่งชิงกล่าว

เขากำลังรับบทจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หรือ… สวี่ชีอันรู้สึกจุกในลำคอ อึดอัดเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่อาการจูนิเบียว จูนิเบียวคือการเกิดการเบี่ยงเบนทางการรับรู้ เกิดปัญหาทางด้านความคิด นี่คือการเสแสร้ง เพราะการตอแหลเป็นการแสร้งทำ ไม่ใช่เพราะการรับรู้มีปัญหา สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ซ่ง ช่วยข้านำความไปบอกเขาหน่อยเถิด”

“พูดมา”

สวี่ชีอันลดเสียงลง “สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”

อวดดี!

หยางเยี่ยนและเจียงลวี่จงฆ้องทองคำทั้งสองหูกระดิก ได้ยินแล้ว ก็หันมามองโดยไม่รู้ตัว

สำหรับทหาร การได้ยินประโยคเช่นนี้ก็เหมือนนักเลงคนหนึ่งเห็นนักเลงอีกคนหนึ่งกำลังอวดเก่ง มันง่ายมากที่จะกระตุ้นนิสัยอยากเอาชนะผู้อื่นให้ตื่นขึ้นมา

ครั้งก่อนสวี่ชีอันร้องเพลงขณะอยู่ที่หอดูดาวว่า ‘ดาบอยู่ในมือ ถามว่าใครคือวีรบุรุษในใต้หล้า’ จึงได้ถูกหนานกงเชี่ยนโหรวทำเสียง ‘ชิ’ อย่างดูแคลน ก็เพราะเหตุผลนี้

‘คำพูดอวดดีเช่นนี้ ศิษย์พี่หยางจะต้องชอบใจอย่างแน่นอน แต่หากพูดไปทั่ว…เขาน่าจะถูกซัดนะ…ถูกซัดก็ดี ข้ารู้สึกหมั่นไส้ท่าทางของเขามานานแล้ว…’ ซ่งชิงพยักหน้าด้วยความยินดี “จะต้องนำความไปบอกเขาอย่างแน่นอน”

ขณะพูด ขันทีคนหนึ่งได้เดินนำหน้าทหารแถวหนึ่งออกมา มองไปรอบๆ ประตูเมือง แล้วพูดเสียงดังว่า

“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ที่ไหน”

เจียงลวี่จง ประสานมือพูดว่า “อยู่ที่นี่ขอรับ!”

หลังจากรอให้ทุกคนหยิบป้ายคล้องเอวและแผ่นป้ายทองคำออกมา เพื่อพิสูจน์ตัวตนแล้ว ขันทีก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ตามข้าเข้าวัง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า”

หยางเยี่ยนรีบเลิกม่าน ประคองโจวชื่อสวงไว้ในมือทันที

“นี่คือผู้ใด” ระหว่างทางเข้าวัง ขันทีได้ถามด้วยความอยากรู้

“ผู้ต้องหาที่ถูกประกาศจับคนสำคัญ โจวชื่อสวง” สวี่ชีอันตอบ

“เหตุใดจึงยังคลุมกระสอบอยู่ ให้ข้าดูหน่อยซิ” ดูเหมือนขันทีจะสนใจมาก เดินเข้ามาแล้วโน้มตัวลงมาดู

เจียงลวี่จงสกัดไว้ ส่ายหัวและพูดว่า “ก่อนที่จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ใครก็ห้ามแตะต้องผู้ต้องหา”

ขันทีขมวดคิ้ว กวาดตามองหน้าทุกคน แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ก่อนเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะต้องพิสูจน์ตัวตนให้ชัดเจนก่อน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนนี้จะเป็นคนที่มีเจตนาร้าย ปลอมตัวเป็นโจวชื่อสวง ปะปนเข้ามาในวังเพื่อหวังจะลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทหรือไม่ แน่นอนว่า ข้าไม่ได้บอกว่าพวกเจ้าเป็นผู้ร่วมกันทำความผิด แต่สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะถูกหลอกก็เป็นได้”

เจียงลวี่จงยังคงส่ายหัว

“ทุกท่านหมายความว่าอย่างไร” ขันทีหยุดเดิน หรี่ตา มองสำรวจทุกคน “ตอนนี้ข้าสงสัยในตัวตนของบุคคลนี้ และต้องการพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงให้แน่ชัด”

ทหารแถวนั้นหยุดเดิน และจ้องไปที่เจียงลวี่จงและคนอื่นๆ อย่างด้วยความยำเกรง

คำพูดเหล่านี้มีเหตุผล ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่พูดออกมาในเวลานี้ กลับทำให้เหตุการณ์อ่อนไหวขึ้นมาทันที

สวี่ชีอันรู้วิธีที่ทำให้คนตายอย่างเงียบๆ หลายวิธี และเชื่อว่าฆ้องทองคำทั้งสองต้องรู้มากยิ่งกว่า แต่พวกเขาในฐานะที่เป็นทหาร ส่วนมากไม่มีความสามารถที่จะยับยั้งได้ ทหารนั้นเชี่ยวชาญในการใช้กำลัง และถ้าโจวชื่อสวงเสียชีวิต และเป็นการเสียชีวิตอย่างเงียบๆ ในขณะที่ยังสลบอยู่ ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้ ต้องไม่ใช่ขันทีคนนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากการพิสูจน์ตัวตนผู้ต้องหานั้นเป็นกระบวนการปกติ

ขันทีคนนี้มีพรรคมีพวก…และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นพวกเดียวกับเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการ…แน่นอนว่า ถ้าข้ามาเพียงคนเดียว โดยไม่นำฆ้องทองคำทั้งสอง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น ศิษย์พี่และศิษย์น้องจากสำนักโหราจารย์มาด้วย…มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะพลาดท่าก่อนวันแห่งชัยชนะ เมื่อคิดถึงตรงนี้สวี่ชีอันยิ้มกริ่มแล้วพูดว่า “ท่านขันที เมื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ข้าจะกราบทูลว่าท่านขันทีพยายามที่จะฆ่าโจวชื่อสวงเพื่อปิดปาก”

“เจ้า!” ท่านขันทีเดือดดาลขึ้นมา “เจ้ากล้าใส่ร้ายข้า มานี่ซิ จับตัวมันไว้”

“ท่านขันที…” สวี่ชีอันพูดเสียงดัง “ท่านคิดให้ดีๆ ว่าต้องปะทะกันที่นี่จริงหรือ ฝ่าบาทไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน ท่านได้ชั่งน้ำหนักของผลที่จะตามมาหรือไม่”

ขันทีท่านนี้ยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “เด็กเมื่อวานซืน แล้วเจ้าได้คิดถึงผลที่จะตามมาแล้วหรือ”

สวี่ชีอันใช้มือข้างหนึ่งกดดาบแล้วเดินไปกระซิบข้างหูของขันที “อย่าป่าเถื่อนกับคนที่ทำอะไรไม่คิดชีวิตเช่นข้า มันไม่คุ้มหรอก ท่านขันทีทำเพื่อผู้อื่น ขอเพียงทำเต็มที่แล้วก็พอ แล้วท่านก็ไม่ใช่สมาชิกหลักของพรรคหวาง ดังนั้นอย่าทำร้ายตัวเองเลย”

สีหน้าของขันทีในวัยสามสิบต้นๆ เปลี่ยนสีไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเสียงแหลมว่า “ข้าไม่อยากเถียงกับคนโง่เช่นเจ้า”

เมื่อมาถึงด้านนอกของพระตำหนักกระดิ่งทอง ขันทีก็เข้าไปกราบทูล ครู่หนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรงโปรดให้สวี่ชีอันและคณะเข้ามาในพระตำหนัก

เมื่อข้ามธรณีประตูที่สูงเท่าเข่าแล้ว สวี่ชีอันก็เข้ามายังพระตำหนักหลักของพระราชวังแห่งนี้ และได้พบกับกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดแห่งต้าฟ่งอีกครั้ง โดยเฉพาะชายวัยกลางคนผู้น่าเกรงขาม สวมชุดคลุมลัทธิเต๋ายืนอยู่เหนือบัลลังก์มังกรคนนั้น

เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักหันข้างเล็กน้อย มองไปที่ประตูของพระตำหนักกระดิ่งทอง มองดูสวี่ชีอันและคณะเข้ามา ยังคงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย… ศูนย์กลางเวทีอำนาจของต้าฟ่ง… สวี่ชีอันหายใจออกยาวๆ เพื่อระงับความกลัวเหล่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง