ตอน บทที่ 156 ความจริงปรากฏ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 156 ความจริงปรากฏ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หัวหน้าใหญ่คุกเข่าลงบนพื้นเลือดท่วมตัว มองดูกองกำลังทหารที่มีพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา พวกเขาสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่ง อาวุธครบมือ แต่ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ของทางการหรือกองกำลังทหารเลย
กองกำลังมีขนาดไม่ใหญ่ มีเพียงสี่ร้อยกว่าคนเท่านั้น แต่หัวหน้าใหญ่ก็ต้องพบกับความประหลาดใจว่า กองกำลังทหารนี้ไม่มีคนด้อยฝีมือเลย ระดับต่ำสุดอยู่ในระดับหลอมจิต
ระดับหลอมปราณมีมากถึงห้าสิบคน ระดับหลอมวิญญาณนั้นมีสิบกว่าคน ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงสี่คน
และเทพีแห่งสงครามที่เป็นผู้นำท่านนี้ ยิ่งมีการฝึกฝนในระดับที่ลึกซึ้งอย่างยากที่ประมาณ
ด้วยกองกำลังเช่นนี้ การรับมือกับค่ายเล็กๆ นั้นไม่ต้องพูดถึง แม้จะตีเมืองไป๋ตี้ ก็ทำให้เมืองที่ใหญ่ที่สุดขออวิ๋นโจวเสียขวัญได้ทีเดียว
ไม่มีธง พลังการต่อสู้นั้นยอดเยี่ยม และนำโดยผู้หญิง… หัวหน้าใหญ่รู้สึกท้อใจ นึกถึงข่าวลือในอวิ๋นโจว
“เจ้า เจ้าคือ… จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินหรือ”
“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินอะไรกัน ไม่น่าฟังเอาเสียเลย”
เทพีแห่งสงครามถือหอกเงินขมวดคิ้ว นางเป็นคนสวยมาก หน้าตาน่าเอ็นดู ปากแดงฉ่ำ จมูกโด่งทำให้ใบหน้ามีมิติชัดเจน เพียงแต่ความห้าวหาญของนางอาจทำให้คนมองข้ามความงดงามของนาง
ปีศาจสาวอยู่เคียงข้างนางอย่างเชื่อฟัง แต่เดิมเป็นผีที่งดงามอย่างยิ่ง แต่ถูกนิสัยของนางปิดบังไว้จนสิ้น
“นายท่าน ข้าน้อยทำงานใช้ได้ใช่หรือไม่” ปีศาจสาวกล่าว
“ส่งข่าวได้ทันกาลพอดี” เทพีแห่งสงครามพยักหน้ากล่าวชื่นชม
“ถ้าเช่นนั้นมอบผู้ชายให้ข้าน้อยสักคนได้หรือไม่” ปีศาจสาวพูดงึมงำ “ข้าน้อยหิวโหยมาหลายวันแล้ว”
ข้ายกจักรพรรดิหยวนจิ่งให้เจ้า รีบไปดูดพลังของเขาเสียให้สิ้น…เทพีแห่งสงครามคิดในใจ พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าไปเลือกโจรสองสามคนได้ตามต้องการ”
หัวหน้าใหญ่มั่นใจแล้วว่า เทพีแห่งสงครามคนนี้ก็คือนกนางแอ่นเหินในตำนานนั่นเอง
หลายปีก่อน จู่ๆ ในยุทธภพก็มีจอมยุทธหญิงผู้กล้าปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าจอมยุทธหญิงผู้นี้ไปปรากฏตัวที่ไหน ความเป็นธรรมก็จะได้รับการค้ำจุน ความจริงก็จะได้รับการปกป้อง
ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือนามในยุทธภพ กลายเป็นจอมยุทธที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เนื่องจากนางชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงได้รับการขนานนามว่านกนางแอ่นเหิน
เมื่อต้นปี จอมยุทธหญิงผู้นี้มาที่อวิ๋นโจว เกิดการปล้นสะดมไปทั่ว ประชาชนลำบากยากแค้นแสนสาหัส นางจึงรวบรวมกำลังคน จัดตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้นทันที แล้วเริ่มต้นเดินทางปราบปรามกองโจรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสมุหเทศาภิบาลอวิ๋นโจว
“ข้าถาม เจ้าตอบ แบบนี้จะทำให้เจ้าตายอย่างสบายใจหน่อย” หอกสีเงินของเทพีแห่งสงครามชี้หัวหน้าใหญ่ น้ำเสียงเย็นชา “มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นปีศาจร้าย ไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล”
หัวหน้าใหญ่รู้สึกสับสน ต่อรองว่า “อย่าได้หวัง!”
‘สวบ’ …หอกเงินแทงทะลุกะโหลกของหัวหน้าใหญ่ ของเหลวสีแดงกระเด็นเป็นฝอยไปทางด้านหลัง
เทพีแห่งสงครามเก็บหอก แล้วพึมพำว่า “ให้พูดไม่ยอมพูด”
“!!!” โจวชื่อสวงตกใจจนขาทั้งสองข้างหมดเรี่ยวแรง เขาพูดในใจว่า ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ท่านดูไม่ออกหรือว่าเขากำลังต่อรองอยู่ อย่างน้อยท่านก็น่าจะให้โอกาสเขาสักหน่อย แต่กลับหุนหันพลันแล่นเช่นนี้!
บรรดาทหารที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการกระทำของเทพีแห่งสงครามแล้ว ต่างพากันมุงดูด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ โจวชื่อสวง รู้สึกว่าเทพีแห่งสงครามได้กวาดตามองตนเองอย่างไร้ความรู้สึก เขารีบหมอบลงกับพื้นทันที “จอมยุทธหญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าจะบอกทุกอย่าง ข้าจะบอกทุกอย่าง”
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก” เทพีแห่งสงครามยืนอย่างทะนงองอาจ ชุดเกราะเข้ารูปเผยให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้างดงาม ในความงามนั้นมีกลิ่นอายของความน่าเกรงขามเล็ดลอดออกมา
“ข้าจะส่งเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง”
…
สวี่ชีอันเพิ่งอาเจียนเสร็จ จิตใจห่อเหี่ยวจนนอนไม่หลับ ฟังเสียงน้ำหยด เสียงหัวใจเต้นเร็วที่คุ้นเคยดังขึ้น
เขาคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบกระจกหยกอันเล็กออกมาจากใต้หมอนอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็ได้เห็นสิ่งที่เขาต้องการเห็น
‘สอง: หมายเลขสามจับโจวชื่อสวงได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำตัวไปให้เจ้าที่เมืองหลวง’
จับโจวชื่อสวงได้แล้วเหรอ ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมมาก…หมายเลขสองเป็นคนที่ข้าเอื้อมไม่ถึงจริงๆ รักเลยๆ… อารมณ์ของสวี่ชีอันไม่สามารถใช้คำว่าดีใจจนแทบบ้ามาอธิบายได้ มันแทบจะกลายเป็นดีใจจนเกือบจะร้องไห้แล้ว
การเป็นบุตรในเงามืด[1] ของเว่ยเยวียนการเลือกที่เลวร้ายที่สุด ความจริงแล้วสวี่ชีอันไม่ต้องการเดินเส้นทางนี้ เวลานี้เขาอยู่ในระดับหลอมปราณเท่านั้น รู้ตัวว่าความมั่นใจยังไม่มากพอ การอยู่ในเมืองหลวง การอยู่ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรหรือสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตย่อมดีกว่าการระเหเร่ร่อนไปทั่วมากนัก
หากสามารถมีชีวิตที่สงบสุข ใครจะอยากระเหเร่ร่อนกันเล่า
เดิมทีโลกนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไร้ญาติขาดมิตร หากเขาไปจากอารองและอาสะใภ้ เอ้อร์หลางและน้องสาว ก็คงจะรู้สึกเหงามาก
‘สาม: สามารถไปถึงเมืองหลวงภายในหกวันได้หรือไม่’
อวิ๋นโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงมาก แม้ว่าถนนของราชสำนักจะเจริญมาก แต่เวลาหกวันนั้นเร่งรีบเกินไป
‘สอง: ถ้านั่งสัตว์ขนไฟ เวลาหกวันก็จะถึงพอดี แต่เจ้าต้องจ่ายข้าสามร้อยตำลึงเงิน ข้าจะให้พี่น้องของข้าเหนื่อยเปล่าไม่ได้ ค่าเดินทางเจ้าก็ต้องจ่ายด้วย’
‘สาม: นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว’
พูดจบ สวี่ชีอันก็เริ่มลังเลใจ จะส่งโจวชื่อสวงไปเมืองหลวงตรงๆ ไม่ได้ เมืองหลวงมีปัญหามาก เมื่อโจวชื่อสวงเข้าสู่เมืองหลวง ก็จะถูกพวกที่คอยสอดส่องอยู่สังเกตเห็นอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เขาถูกทางราชสำนักประกาศจับกุม และถูกจัดให้เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ
มีสองทางเลือก แจ้งเว่ยเยวียนให้ทราบล่วงหน้า หรือไม่ก็หาวิธีอื่นในการพาโจวชื่อสวงเข้าเมืองหลวง…หลังจากพิจารณาแล้ว สวี่ชีอัน ก็เลือกอย่างหลัง
เวลาอิ๋นสือ[2]ของวันนี้ สวี่ชีอันขับรถม้าเข้าไปในเขตพระราชฐานและหยุดรถอยู่ที่ด้านนอกพระราชวัง คนที่มากับเขาคือซ่งชิงและฉู่ไฉ่เวยจากสำนักโหราจารย์ จางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ ฆ้องทองคำเจียงลวี่จงและ หยางเยี่ยน
คนที่อยู่ในรถม้าคือ โจวชื่อสวงอดีตหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่หมดสติอยู่ เขาถูกมัดไว้แล้วคลุมศีรษะด้วยกระสอบ
เมื่อมาถึงที่นี่ สวี่ชีอันรู้สึกโล่งอก ประสานหมัดพูดกับเหล่าผู้ช่วยว่า “ขอบคุณทุกท่าน คดีทะเลสาบซังผอจะสิ้นสุดในวันนี้แล้ว”
เขาต้องการยุติคดีทะเลสาบซังผอ และยุติความขัดแย้งระหว่างฆ้องเงินเสียที
พระตำหนักกระดิ่งทอง
หลังจากถวายรายงานตามปกติแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสถามว่า “คดีทะเลสาบซังผอมีความคืบหน้าหรือไม่”
ในท้องพระโรง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากต่างมองเว่ยเยวียนโดยพร้อมเพรียงกัน ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงความเย้ยหยัน
เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการเดินออกจากแถวแล้วยืนตรง พูดเสียงดังว่า “ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบให้กระจ่างแจ้ง และหวังว่าเว่ยกงจะคืนความยุติธรรมให้กับกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยเยวียนเหลือบมองเจ้ากรมแห่งกรมพิธีการที่กระโดดออกมาสร้างปัญหา แล้วหันไปทางจักรพรรดิหยวนจิ่งจากนั้นก็ออกจากแถวยืนตรง แล้วถวายบังคม
“ทูลฝ่าบาท คดีทะเลสาบซังผอนั้นความจริงได้ปรากฏแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นในทันที
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงชะงักไปชั่วขณะ แล้วจึงทรงหรี่พระเนตร พร้อมโน้มพระวรกายมาข้างหน้าเล็กน้อย “ผู้บงการใหญ่คือใคร”
เว่ยเยวียนกล่าวว่า “กระหม่อมบอกไปก็ไม่น่าสนใจ ฝ่าบาททรงเรียกตัวอดีตหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์โจวชื่อสวงมาดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมแห่งกรมพิธีการคิ้วกระตุก ยิ้มเยาะว่า “โจวชื่อสวงหนีออกไปจากเมืองหลวงนานแล้ว จะเรียกตัวมาได้อย่างไร”
เว่ยเยวียนจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ และพูดเสียงดังว่า “โจวชื่อสวงอยู่นอกวัง ขอฝ่าบาททรงเรียกตัวเขาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบสงบลง
………………………………………………..
[1] บุตรในเงามืด คือ คนที่ทำหน้าที่ปกป้องเจ้านายของตัวเอง คอยรับคำสั่งทำงานลับให้เจ้านาย ส่วนใหญ่เป็นงานที่เสี่ยงอันตราย
[2] เวลาอิ๋นสือ ช่วงเวลา 3.00 – 5.00 น.
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...