เขาไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ คุกเข่าลงร้องตะโกนเสียงดัง “ข้าน้อยสมควรตาย ทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจของฝ่าบาท ข้าน้อยขอตายสถานเดียว”
ท่าทางเช่นนี้ของเว่ยเยวียน กลับทำให้เหล่าขุนนางใกล้ชิดที่เตรียมออกมาแฉโพย ร้องขอให้จักรพรรดิหยวนจิ่งตัดเสี้ยนหนามนี้ ไม่รู้ว่าควรจะเอื้อนเอ่ยอย่างไรดี
จักรพรรดิหยวนจิ่งเย้ยหยัน “เจ้าก็ซื่อตรงดี เว่ยเยวียน หากวันนี้เจ้าเล่นสำบัดสำนวน ข้าจะส่งเจ้าเข้าคุกสวรรค์[1]”
เว่ยเยวียนก้มหน้า ไม่เอ่ยวาจา
จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งเสียงฮึอย่างเยือกเย็น “ผู้ที่รายงานเจ้าก็คือฆ้องทองคำจูหยางจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
เว่ยเยวียนยังคงเงียบ
ในพระราชสาส์นฉบับนั้น เขียนหลักฐานกระทำผิดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตั้งแต่ฆ้องทองคำจนถึงฆ้องเงินกินสินบาทคาดสินบนบิดเบือนกฎหมายไม่กี่ปีมานี้ บางส่วนมีหลักฐานชี้ชัด ผู้บริสุทธิ์บางส่วนถูกใส่ร้าย
แน่นอนว่ารวมไปถึงฆ้องทองแดงที่เข้ามาใหม่ก็โดนข้อกล่าวหาไปไม่น้อย ใช้ประโยชน์จากหน้าที่การงานขูดรีดเงินนับพันตำลึงเงินในเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ เที่ยวเตร่สำนักสังคีต หลับนอนกับคณิกาไปวันๆ
บัดนี้ ขุนนางใกล้ชิดจากกรมอาญาผู้หนึ่งก้าวออกมาจากแถว แล้วเอ่ย “ฝ่าบาท หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เจตนาทำผิดกฎหมาย ข้าน้อยเสนอให้ประหารเว่ยเยวียน ข่มขวัญหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล กวาดล้างประเพณีอันมิชอบผิดทำนองคลองธรรม”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างเห็นด้วยในทันใด
จักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองเว่ยเยวียนที่ยอมรับโทษประหารชีวิต แล้วตรัสเสียงขรึม “คดีนี้ส่งต่อให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่กรมอาญาและทำเนียบร่วมมือกันจัดการ ข้าต้องการผลภายในสามวัน”
สิ้นสุดการประชุม
หนานกงเชี่ยนโหรวตามหลังเว่ยเยวียนด้วยสีหน้าหมองตรม เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินคนตะโกนจากด้านหลัง “เว่ยกงช้าก่อน”
สองพ่อลูกหยุดชะงักและหันกลับไป ผู้ที่ตามมาคือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ เขาสวมชุดคลุมสีแดงปักลายถักรูปห่าน ข้าราชการระดับสี่ชั้นเอก
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่เหมือนกับข้าหลวงเมืองจิงจ้าว ไม่ใช่ข้าราชการยศสูง แต่อำนาจในมือมหาศาล มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง
ณ เมืองหลวง ตำแหน่งขุนนางและอำนาจวาทกรรม ไม่ได้ดูที่ยศถามาแต่ไหนแต่ไร ทว่าดูจากอำนาจที่อยู่ในมือว่ามีมากเท่าไร
ชนชั้นสูงต้องมีดีมากกว่ายศตำแหน่ง ไม่อย่างนั้นก็ต้องถูกผลักให้ออกไปอยู่ชายขอบเวทีอำนาจ
ชายชราผมหงอกขาว ใบหน้าซูบผอมประสานมือคารวะพร้อมหัวเราะเหอะๆ “ข้าอยากทราบรายละเอียดของผู้ก่อเหตุในรายชื่อกับเว่ยกง”
เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างเฉยชา “อีกสักประเดี๋ยวให้คนส่งไปที่ศาลต้าหลี่”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าเห็นว่าฆ้องทองคำจูเป็นคนมีพรสวรรค์ ซื่อตรงไม่ประจบสอพลอ อยากโยกย้ายเขาไปที่ศาลต้าหลี่ ข้าจะทูลแก่ฝ่าบาทในภายหลัง จึงมาบอกกล่าวให้เว่ยกงทราบเสียก่อน”
เมื่อเห็นเว่ยเยวียนยังคงสงบนิ่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ก้าวไปข้างหน้าพร้อมเอ่ย “เว่ยกงก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร”
เว่ยเยวียนหัวเราะ “คุ้มค่ากับการแลก”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ทอดมองภาพด้านหลังของเว่ยเยวียนด้วยสีหน้าหม่นหมอง
เมื่อกลับไปที่รถม้า หนานกงเชี่ยนโหรวก็ขับมุ่งไปทางที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ภายในรถม้า เว่ยเยวียนนวดคลึงหว่างคิ้ว พร้อมถอนใจยาว
“ถูกจับตาแล้วๆ…”
หนานกงเชี่ยนโหรวเย้ยหยัน “พ่อบุญธรรม ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาอาจจะเล่นไม่ซื่อ แต่ก็อุตส่าห์คำนึงถึงมิตรภาพเก่าด้วย เยี่ยมเสียจริง ท่านยอมเสียขุนพลง่ายดายเช่นนี้เชียว”
ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล นอกจากคนหัวรั้นเช่นหลี่อวี้ชุน ก็ยังมีอู่ชือ[2]ผู้แข็งทื่อ ไม่สนใจหญิงงามและเงินทองเช่นหยางเยี่ยน
และยังขี้ระแวงคล้ายหนานกงเชี่ยนโหรว ชอบขลุกตัวอยู่ในคุกใต้ดินทรมานนักโทษประหารทั้งวัน เงินทองไม่โปรด หญิงงาม…งามเท่าข้าหรือเปล่า
“จะฆ่าเขาหรือไม่” หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวด้วยความเกลียดชัง
“จะเล่นงานต้องรอหลังสารทฤดู” เว่ยเยวียนตอบกลับอย่างใจเย็น
ไม่มีบทสนทนาตลอดทาง หนานกงเชี่ยนโหรวขับรถม้าทะลุผ่านตลาด เข้าสู่ถนนอันเงียบเหงา แล้วกล่าวต่อ “แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เพราะเจ้านั่น แต่เขาก็เป็นคนจุดชนวน พ่อบุญธรรมเดิมทีท่านสามารถหลีกเลี่ยงได้ เจ้านั่นมีค่าพอที่จะให้พ่อบุญธรรมสนใจหรือ”
“ฆ้องทองคำมีมากมาย แต่คนที่น่าสนใจเช่นนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ข้าตั้งตารอการเติบโตของเขา” เว่ยเยวียนยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ฝ่าบาทของพวกเรา คงไม่วางพระทัยที่เห็นข้าเป็นใหญ่”
ยามที่กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยเยวียนก็กลัดกลุ้มใจเป็นที่สุด
“เมื่อครู่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่อยากใช้รายชื่อชุดนั้น แลกกับจดหมายลับที่อยู่ในมือพ่อบุญธรรม เหตุใดพ่อบุญธรรมจึงปฏิเสธ” หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยถาม
เขารู้ว่าประโยคสุดท้ายของพ่อบุญธรรมที่ว่า ‘คุ้มค่ากับการแลก’ นั้น มิใช่การตอบรับการแลกเปลี่ยนของผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ ทว่าจำใจแลกกับเหล่าฆ้องเงินและฆ้องทองคำ บอบช้ำทั้งสองฝ่าย
สิ่งที่ตอบเขามีเพียงความเงียบงัน
ปีนี้ช่างเป็นปีที่มีเหตุเภทภัยมากมายเหลือเกิน ไม่สิ ทุกครั้งที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนักล้วนหมายถึงความวุ่นวายครั้งใหญ่ กว่าพ่อบุญธรรมจะฝึกฝนสมาชิกกลุ่มออกมาได้ไม่ง่ายเลย ครานี้คงจะเสียหายอย่างหนัก…หนานกงเชี่ยนโหรวทอดถอนใจ
ทุกครั้งที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนักล้วนมีผู้ชนะ พรรคหวางก็คือพรรคที่เรืองอำนาจขึ้นมาในการตรวจสอบข้าราชสำนักครั้งก่อน ทว่ามีจุดหนึ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง คือเมื่อการตรวจสอบข้าราชสำนักสิ้นสุดลง พรรคการเมืองทุกพรรคล้วนเสียหายยับเยิน ผู้ชนะก็ได้มาซึ่งชัยชนะอันย่อยยับ
“กลับไปที่ทำการแล้ว เจ้าไปพบสวี่ชีอัน ให้เขาซ่อนตัวสักพัก ข้าจะคิดหาวิธีพาเขาหลบออกไป”
“ขอรับ” หนานกงเชี่ยนโหรวพยักหน้าอย่างเศร้าใจ
…
ยามตะวันรอน สวี่ชีอันชมบ้านเสร็จเร็ว จึงเดินซื้อของเป็นเพื่อนฉู่ไฉ่เวยเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เห็นสิ่งใดน่าอร่อยก็ซื้อสิ่งนั้น
สาวงามตากลมโตเริงร่า เที่ยวเล่นอย่างมีความสุข รอยยิ้มสวยหวานประดับอยู่บนใบหน้าตลอด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง