ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 162

บทที่ 162 การลงมือของคนทรยศ
เว่ยเยวียนหยิบพระราชสาส์นขึ้นมากางอ่านอย่างใจเย็น ม่านตาพลันหดตัวอย่างรวดเร็ว

เขาไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ คุกเข่าลงร้องตะโกนเสียงดัง “ข้าน้อยสมควรตาย ทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจของฝ่าบาท ข้าน้อยขอตายสถานเดียว”

ท่าทางเช่นนี้ของเว่ยเยวียน กลับทำให้เหล่าขุนนางใกล้ชิดที่เตรียมออกมาแฉโพย ร้องขอให้จักรพรรดิหยวนจิ่งตัดเสี้ยนหนามนี้ ไม่รู้ว่าควรจะเอื้อนเอ่ยอย่างไรดี

จักรพรรดิหยวนจิ่งเย้ยหยัน “เจ้าก็ซื่อตรงดี เว่ยเยวียน หากวันนี้เจ้าเล่นสำบัดสำนวน ข้าจะส่งเจ้าเข้าคุกสวรรค์[1]”

เว่ยเยวียนก้มหน้า ไม่เอ่ยวาจา

จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งเสียงฮึอย่างเยือกเย็น “ผู้ที่รายงานเจ้าก็คือฆ้องทองคำจูหยางจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”

เว่ยเยวียนยังคงเงียบ

ในพระราชสาส์นฉบับนั้น เขียนหลักฐานกระทำผิดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตั้งแต่ฆ้องทองคำจนถึงฆ้องเงินกินสินบาทคาดสินบนบิดเบือนกฎหมายไม่กี่ปีมานี้ บางส่วนมีหลักฐานชี้ชัด ผู้บริสุทธิ์บางส่วนถูกใส่ร้าย

แน่นอนว่ารวมไปถึงฆ้องทองแดงที่เข้ามาใหม่ก็โดนข้อกล่าวหาไปไม่น้อย ใช้ประโยชน์จากหน้าที่การงานขูดรีดเงินนับพันตำลึงเงินในเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ เที่ยวเตร่สำนักสังคีต หลับนอนกับคณิกาไปวันๆ

บัดนี้ ขุนนางใกล้ชิดจากกรมอาญาผู้หนึ่งก้าวออกมาจากแถว แล้วเอ่ย “ฝ่าบาท หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เจตนาทำผิดกฎหมาย ข้าน้อยเสนอให้ประหารเว่ยเยวียน ข่มขวัญหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล กวาดล้างประเพณีอันมิชอบผิดทำนองคลองธรรม”

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างเห็นด้วยในทันใด

จักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองเว่ยเยวียนที่ยอมรับโทษประหารชีวิต แล้วตรัสเสียงขรึม “คดีนี้ส่งต่อให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่กรมอาญาและทำเนียบร่วมมือกันจัดการ ข้าต้องการผลภายในสามวัน”

สิ้นสุดการประชุม

หนานกงเชี่ยนโหรวตามหลังเว่ยเยวียนด้วยสีหน้าหมองตรม เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินคนตะโกนจากด้านหลัง “เว่ยกงช้าก่อน”

สองพ่อลูกหยุดชะงักและหันกลับไป ผู้ที่ตามมาคือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ เขาสวมชุดคลุมสีแดงปักลายถักรูปห่าน ข้าราชการระดับสี่ชั้นเอก

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่เหมือนกับข้าหลวงเมืองจิงจ้าว ไม่ใช่ข้าราชการยศสูง แต่อำนาจในมือมหาศาล มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง

ณ เมืองหลวง ตำแหน่งขุนนางและอำนาจวาทกรรม ไม่ได้ดูที่ยศถามาแต่ไหนแต่ไร ทว่าดูจากอำนาจที่อยู่ในมือว่ามีมากเท่าไร

ชนชั้นสูงต้องมีดีมากกว่ายศตำแหน่ง ไม่อย่างนั้นก็ต้องถูกผลักให้ออกไปอยู่ชายขอบเวทีอำนาจ

ชายชราผมหงอกขาว ใบหน้าซูบผอมประสานมือคารวะพร้อมหัวเราะเหอะๆ “ข้าอยากทราบรายละเอียดของผู้ก่อเหตุในรายชื่อกับเว่ยกง”

เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างเฉยชา “อีกสักประเดี๋ยวให้คนส่งไปที่ศาลต้าหลี่”

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าเห็นว่าฆ้องทองคำจูเป็นคนมีพรสวรรค์ ซื่อตรงไม่ประจบสอพลอ อยากโยกย้ายเขาไปที่ศาลต้าหลี่ ข้าจะทูลแก่ฝ่าบาทในภายหลัง จึงมาบอกกล่าวให้เว่ยกงทราบเสียก่อน”

เมื่อเห็นเว่ยเยวียนยังคงสงบนิ่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ก้าวไปข้างหน้าพร้อมเอ่ย “เว่ยกงก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร”

เว่ยเยวียนหัวเราะ “คุ้มค่ากับการแลก”

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ทอดมองภาพด้านหลังของเว่ยเยวียนด้วยสีหน้าหม่นหมอง

เมื่อกลับไปที่รถม้า หนานกงเชี่ยนโหรวก็ขับมุ่งไปทางที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ภายในรถม้า เว่ยเยวียนนวดคลึงหว่างคิ้ว พร้อมถอนใจยาว

“ถูกจับตาแล้วๆ…”

หนานกงเชี่ยนโหรวเย้ยหยัน “พ่อบุญธรรม ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาอาจจะเล่นไม่ซื่อ แต่ก็อุตส่าห์คำนึงถึงมิตรภาพเก่าด้วย เยี่ยมเสียจริง ท่านยอมเสียขุนพลง่ายดายเช่นนี้เชียว”

ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล นอกจากคนหัวรั้นเช่นหลี่อวี้ชุน ก็ยังมีอู่ชือ[2]ผู้แข็งทื่อ ไม่สนใจหญิงงามและเงินทองเช่นหยางเยี่ยน

และยังขี้ระแวงคล้ายหนานกงเชี่ยนโหรว ชอบขลุกตัวอยู่ในคุกใต้ดินทรมานนักโทษประหารทั้งวัน เงินทองไม่โปรด หญิงงาม…งามเท่าข้าหรือเปล่า

“จะฆ่าเขาหรือไม่” หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวด้วยความเกลียดชัง

“จะเล่นงานต้องรอหลังสารทฤดู” เว่ยเยวียนตอบกลับอย่างใจเย็น

ไม่มีบทสนทนาตลอดทาง หนานกงเชี่ยนโหรวขับรถม้าทะลุผ่านตลาด เข้าสู่ถนนอันเงียบเหงา แล้วกล่าวต่อ “แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เพราะเจ้านั่น แต่เขาก็เป็นคนจุดชนวน พ่อบุญธรรมเดิมทีท่านสามารถหลีกเลี่ยงได้ เจ้านั่นมีค่าพอที่จะให้พ่อบุญธรรมสนใจหรือ”

“ฆ้องทองคำมีมากมาย แต่คนที่น่าสนใจเช่นนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ข้าตั้งตารอการเติบโตของเขา” เว่ยเยวียนยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ฝ่าบาทของพวกเรา คงไม่วางพระทัยที่เห็นข้าเป็นใหญ่”

ยามที่กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยเยวียนก็กลัดกลุ้มใจเป็นที่สุด

“เมื่อครู่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่อยากใช้รายชื่อชุดนั้น แลกกับจดหมายลับที่อยู่ในมือพ่อบุญธรรม เหตุใดพ่อบุญธรรมจึงปฏิเสธ” หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยถาม

เขารู้ว่าประโยคสุดท้ายของพ่อบุญธรรมที่ว่า ‘คุ้มค่ากับการแลก’ นั้น มิใช่การตอบรับการแลกเปลี่ยนของผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ ทว่าจำใจแลกกับเหล่าฆ้องเงินและฆ้องทองคำ บอบช้ำทั้งสองฝ่าย

สิ่งที่ตอบเขามีเพียงความเงียบงัน

ปีนี้ช่างเป็นปีที่มีเหตุเภทภัยมากมายเหลือเกิน ไม่สิ ทุกครั้งที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนักล้วนหมายถึงความวุ่นวายครั้งใหญ่ กว่าพ่อบุญธรรมจะฝึกฝนสมาชิกกลุ่มออกมาได้ไม่ง่ายเลย ครานี้คงจะเสียหายอย่างหนัก…หนานกงเชี่ยนโหรวทอดถอนใจ

ทุกครั้งที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนักล้วนมีผู้ชนะ พรรคหวางก็คือพรรคที่เรืองอำนาจขึ้นมาในการตรวจสอบข้าราชสำนักครั้งก่อน ทว่ามีจุดหนึ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง คือเมื่อการตรวจสอบข้าราชสำนักสิ้นสุดลง พรรคการเมืองทุกพรรคล้วนเสียหายยับเยิน ผู้ชนะก็ได้มาซึ่งชัยชนะอันย่อยยับ

“กลับไปที่ทำการแล้ว เจ้าไปพบสวี่ชีอัน ให้เขาซ่อนตัวสักพัก ข้าจะคิดหาวิธีพาเขาหลบออกไป”

“ขอรับ” หนานกงเชี่ยนโหรวพยักหน้าอย่างเศร้าใจ

ยามตะวันรอน สวี่ชีอันชมบ้านเสร็จเร็ว จึงเดินซื้อของเป็นเพื่อนฉู่ไฉ่เวยเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เห็นสิ่งใดน่าอร่อยก็ซื้อสิ่งนั้น

สาวงามตากลมโตเริงร่า เที่ยวเล่นอย่างมีความสุข รอยยิ้มสวยหวานประดับอยู่บนใบหน้าตลอด

เดินซื้อของเหนื่อยกว่าการวิวาทจริงๆ มิใช่ความเหนื่อยทางกาย ทว่าเป็นทางใจ…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจ ตราบใดที่หญิงสาวผู้นี้มีความสุข ก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยล้า

ภพก่อนเคยได้ยินประโยคหนึ่ง การหลอกล่อหญิงสาวมีอยู่ 70 วิธี หนึ่งในนั้นคือการซื้อของ ส่วน 69 วิธีที่เหลือ

สวี่ชีอันคนใหม่ไม่อาจทำได้ จึงไม่สามารถพิสูจน์วิธีเหล่านั้น ทว่าการเดินซื้อของก็ได้ผลดี

เมื่อเข้าสู่ภัตตาคารเยว่ ก็สั่งอาหารเย็นเต็มโต๊ะมูลค่า 5 ตำลึงเงิน สวี่ชีอันปล่อยให้ท้องประชันกับฉู่ไฉ่เวยเพื่อไม่ให้ขาดทุน

ทันใดนั้นก็เกิดรู้สึกใจสั่นระรัว

เขาหยุดทานอาหารหน้าตาเฉย แล้วหยิบกระจกหยกออกมาตรวจสอบข้อความ

‘หนึ่ง : ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ฆ้องทองคำจูหยางรายงานว่าเว่ยเยวียนกินสินบาทคาดสินบนบิดเบือนกฎหมาย คดีนี้เกี่ยวพันกับฆ้องทองคำ 4 นาย ฆ้องเงิน 12 นาย และฆ้องทองแดงอีก 30 นาย ที่ทำการปกครอง กรมอาญา และศาลต้าหลี่ร่วมมือกันจัดการ นี่แปลว่าเว่ยเยวียนกำลังจะถูกตัดหางปล่อยวัด หมดอำนาจในระหว่างการตรวจสอบข้าราชสำนักใช่หรือไม่’

จูหยางคือทรยศ…จดหมายรายงานเชื่อมโยงกับคนมากมายเช่นนี้…สวี่ชีอันจ้องมองอักษรข้อความบนกระจก คลื่นซัดสาดโหมกระหน่ำขึ้นภายในใจ

ณ ช่วงเวลานี้ สงครามอำนาจในเมืองหลวงเป็นไปอย่างเร่าร้อน มีทั้งแพ้มีทั้งชนะ เพราะสวี่ชีอันระดับตำแหน่งไม่สูงพอ จึงมองเป็นเรื่องสนทนายามว่างหลังอาหารทั่วไป เคยได้ยินก็มิได้จะแยแส

เดิมที่คิดว่าตำแหน่งพิเศษของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คงจะฝ่าคลื่นลมในครั้งนี้ได้อย่างมั่นคง ไม่ถูกขัดแข้งขัดขาท่ามกลางความวุ่นวายนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในท้องพระโรงกับสงครามการเมืองดีพอ

‘จูหยางในฐานะฆ้องทองคำ แน่นอนว่าต้องกุมความลับอันดำมืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไว้ในมือมากมาย จู่ๆ บัดนี้กลับแปรพักตร์ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคงจะเสียหายอย่างหนัก’

‘หากเป็นไปตามที่คาด สาเหตุต้องเป็นเพราะข้า ได้ยินว่าอวัยวะภายในของฆ้องเงินจูถูกแทงด้วยมีด บาดเจ็บเรื้อรัง สิ้นหวังในเส้นทางวรยุทธในอนาคต ส่วนข้าไม่เพียงแต่ไม่มีกิจ แต่กลับได้เลื่อนตำแหน่งพร้อมขึ้นเงินเดือน’

‘…อันที่จริง หากข้าเป็นจักรพรรดิหยวนจิ่ง ข้าคงไม่อาจทนมองเว่ยเยวียนเป็นใหญ่อย่างแน่นอน ตั้งแต่คดีเงินภาษีไปจนถึงคดีซังผอ กระทั่งการต่อสู้ในช่วงเวลานี้อีก เหล่าขุนนางบุ๋นต่างใช้หัวสมองอันโง่เขลากันอย่างเต็มที่ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่รักษาเนื้อรักษาตัวเอาไว้ได้ ทว่าอำนาจในมือไม่เพียงพอ จึงไม่กล้าที่จะก่อเหตุวิวาท’

‘เว่ยเยวียนเคยบอกข้าว่า พรรคหวางกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีอิทธิพลมากที่สุดในรัชสมัยปัจจุบัน ตอนนี้พรรคหวางเสียทหารขุนพล พรรคขันทีที่เว่ยเยวียนเป็นตัวแทน จะต้องอ่อนแอลงอย่างแน่นอน’

‘ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ อย่างข้าสมควร…สมควรตาย จูหยางปล่อยข้าไปสิแปลก’

ระหว่างที่สวี่ชีอันประกายความคิด หมายเลขสี่ที่เคยเป็นขุนนางในราชสำนักส่งข้อความมา ‘กินสินบาทคาดสินบนบิดเบือนกฎหมายเป็นเพียงเปลือกนอกแอบอ้างเท่านั้น ในเมื่อเรื่องกินสินบาทคาดสินบนบิดเบือนกฎหมาย หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีเว่ยเยวียนจัดการอยู่ เหล่าเดรัจฉานสวมเสื้อผ้า[3]ในท้องพระโรงที่ไหนจะกล้ากินตะกละตะกลาม จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่พลาดที่จะหยิบยกโอกาสนี้ มากำราบเว่ยเยวียนบ้างเพียงเท่านั้น’

หมายเลขสี่สมกับที่เป็นผู้อาวุโสในวงขุนนาง ตัวอยู่ไกลออกไปพันลี้ วิเคราะห์ได้ลึกเข้าเนื้อไม้สามส่วน[4]…นี่ใกล้เคียงกับที่ข้าคิดไว้…เอ๊ะ ด้วยยศตำแหน่งของหมายเลขหนึ่งจะมองเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ไม่ออกเชียวหรือ นึกไม่ถึงว่าจะถามคำถามโง่เง่าเช่นนั้น…สวี่ชีอันป้อนข้อความ

‘หากเป็นเจตนาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง เว่ยเยวียนนั่นคงจะทำอะไรไม่ได้ อย่างไรก็ต้องยอมสละบริวารเหล่านี้’

‘สี่ : เหอะๆ เรื่องนี้ต้องดูท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งกับเว่ยเยวียน หากเป็นเพียงกินสินบาทคาดสินบน การลงโทษคงไม่หนักหนามาก แต่จะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยถูกไล่ออกจากหน่วย’

การสอบวินัยงั้นหรือ…ทันใดนั้นสวี่ชีอันเกิดกังวลในยศตำแหน่งของตนเอง

“เจ้าขีดเขียนอะไรบนกระจกอยู่นั่น” ฉู่ไฉ่เวยกำลังทานขาหมูเต้าเจี้ยวอยู่

ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่าหญิงสาวล้วนเป็นกีบหมู[5]…สวี่ชีอันเก็บกระจกพร้อมเอ่ย “ไม่มีอะไร ทานข้าวเสร็จพวกเราไปดูบ้านผีสิงหลังนั้นกันเถอะ”

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องซื้อบ้านเสียก่อน มีทรัพย์สินที่ดินสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

ความสัมพันธ์ของข้าหลวงเฉินจากทำเนียบกับข้าก็เป็นไปด้วยดี…หากข้าอยู่ในรายชื่อจริง เข้าทำเนียบข้าไม่กลัว กลัวแต่จะได้เข้าไปนอนคุกของกรมอาญานี่สิ…ข้าไม่ได้กินสินบนอย่างแน่นอน ทว่าความจริงไม่สำคัญได้อย่างไร…หากไม่ไหวจริงๆ ก็หายไปสักพัก พรุ่งนี้เช้าค่อยไปถามเว่ยเยวียนว่าจะเอายังไง

เมื่อออกจากร้านกุ้ยเยว่ สวี่ชีอันยื่นกระจกหยกให้ฉู่ไฉ่เวย “ช่วยดูแลให้ข้าสักพักนะ”

“โอ้” ฉู่ไฉ่เวยรับเอาไว้ แล้วจับยัดลงในกระเป๋าหนังกวางที่เอวข้างซ้าย

หลังตะวันลาลับ ทั้งสองมายังบ้านผีสิงหลังนั้น ปีนกำแพงเข้าไป

“ตอนนี้บอกข้าได้หรือยัง เหตุใดจึงต้องมาตอนกลางคืน”

เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังก้องอยู่ภายในบ้านร้างอันเปล่าเปลี่ยว ค่ำคืนนี้ไร้สายลม ช่วงกลางฤดูหนาวปราศจากเสียงร้องแมลง ความน่ากลัวอันเงียบสงัด

ในมือฉู่ไฉ่เวยถือถังหูลู่ไม้หนึ่ง เสียงไพเราะดังกังวาน “ในเวลากลางวันเต็มเปี่ยมด้วยพลังหยาง ผีสาวในบ่อน้ำจะไม่ปรากฏตัว จะกำจัดนางก็ต้องรอนางปรากฏตัว นอกจากนี้ ข้าสงสัยว่าก้นบ่อมีบางอย่างแปลกๆ อีกประเดี๋ยวคิดว่าจะลงไปดูเสียหน่อย”

ลงไปดูเสียหน่อย…สวี่ชีอันที่เป็นโรคกลัวน้ำลึกพลันตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ อยู่ที่ก้นบ่อ

รอเดี๋ยวก่อน ราตรีค่อยๆ มืดมิด ฉู่ไฉ่เวยจึงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ลงไปสักทีเถอะ เจ้าจะไปหรือไม่”

“ถ้าข้าไม่ไป… ปล่อยเจ้ากระโดดลงบ่อไปคนเดียวข้าก็ไม่วางใจ”

ฉู่ไฉ่เวยพยักหน้า มือค้ำยันขอบบ่อ แล้วกระโดดลงไปดังจ๋อม

เด็กโง่คนนี้ยามได้ยินเรื่องผียังกลัวหัวหด…สวี่ชีอันกุมมีดยาวสีดำทองไว้ในมือ แล้วกระโดดตามลงไปในบ่อน้ำ บ่อน้ำเย็นเฉียบ แสงสว่างข้างหน้าที่เขาเห็น สะท้อนร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวชุดกระโปรงเหลือง นางส่ายเอวไปมาอยู่ในน้ำ ประดุจนางเงือกที่ปราดเปรียว

แสงสว่างนั้นคือเข็มทิศฮวงจุ้ยรอบเอวนาง

แหวกว่ายอยู่ประมาณสิบนาที ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็เห็นฉู่ไฉ่เวยหยุดว่าย นางถอดเข็มทิศฮวงจุ้ยรอบเอวออก ราวกับเผชิญหน้ากับบางสิ่ง

สวี่ชีอันว่ายไปใกล้แสงสว่างที่ปล่อยออกมาจากเข็มทิศฮวงจุ้ย มองเห็นหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้าอยู่ก้นบ่อ

คล้ายกับว่านางรู้ตัว จึงแหงนหน้ามองมาอย่างช้าๆ มันเป็นใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือด ลูกตาห้อยอยู่ตรงแก้ม ในเบ้าตาที่ดำโบ๋มีหนอนชอนไช

………………………………………

[1] 天牢 แปลว่า คุกสวรรค์ หมายถึงคุกที่จัดตั้งขึ้นในเมืองหลวงและอยู่ภายใต้การดูแลของราชสำนักโดยตรง โดยจะเป็นห้องขังเหนือพื้นดิน ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังนักโทษคดีร้ายแรง

[2] 武痴อ่านว่า อู่ชือ ตัวละครจากเรื่อง Thunderbolt Fantasy เป็นยอดฝีมือผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด กล้าหาญมีคุณธรรม หลงใหลในศิลปะการต่อสู้

[3] 衣冠禽兽 แปลว่า เดรัจฉานสวมเสื้อผ้า หมายถึง คนที่ไร้ศีลธรรมจรรยาเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉานหรือบุคคลที่มีพฤติกรรมเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน

[4] 入木三分 แปลว่า ลึกเข้าเนื้อไม้สามส่วน อุปมาถึงผู้ที่มีความรู้อย่างลึกซึ้งถ่องแท้ หรือข้อวิพากษ์วิจารณ์อันเฉียบแหลม

[5] 大猪蹄子 แปลว่า กีบหมูหรือขาหมู โดยขาหมูในภาษาจีนเรียกอีกอย่างได้ว่า 猪脚 (จู-เจี่ยว) ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า 男主角 (หนาน-จู๋-เจี่ยว) หมายถึงพระเอก ซึ่งพระเอกมักจะมีข่าวชู้สาว จึงใช้ 大猪蹄子 แทนคำดังกล่าว หมายถึงคนหลายใจ หรือคนเจ้าชู้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง