ผู้คุมสองคนเปิดประตู แล้วใช้ไม้กระบองฟาดไปที่กรงขังพร้อมตะโกนว่า “ใต้เท้าทั้งหลาย พวกเจ้าออกจากคุกได้”
ขณะที่ตะโกนบอกนั้น เหล่าผู้คุมต่างรู้สึกดีใจที่ตนรักษากฎ แต่ละหน่วยงานก็มีกฎระเบียบของใครของมัน และแนวทางปฏิบัติของผู้คุมก็คือไม่ยั่วโมโหผู้ฝึกวรยุทธ์ เว้นแต่อีกฝ่ายจะเป็นนักโทษประหารที่ถูกทำลายพลังฝึกตน
ผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับสูงที่ไม่ได้ทำผิดอะไรพวกนี้ บอกจะปล่อยตัวก็ปล่อยตัวได้เลย ดังที่เห็นเป็นตัวอย่าง
ปฏิกิริยาแรกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนคิดว่าฝ่าบาทมีราชโองการลงโทษนักโทษออกมาแล้ว ที่พวกเขาสามารถออกจากคุกได้นั้นเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามบรรลุเป้าหมายเรียบร้อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องคุมขังพวกเขาต่อไป
แต่พอออกจากคุกใต้ดิน และยังถูกบอกให้ไปลงชื่อประทับตรา รับเครื่องแบบและฆ้องทองแดงของตนคืน
กระบวนการนี้เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง มันหมายความว่าพวกเขาพ้นผิดและถูกปล่อยตัว ทั้งยังกลับคืนสู่ตำแหน่งราชการเดิมด้วย
“ฝ่าบาทอภัยโทษพวกเราแล้วหรือ ไม่น่าเป็นไปได้นะ…” ใครบางคนพึมพำเสียงเบา
บรรดาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมองหน้ากัน เห็นแต่สีหน้างุนงงของกันและกัน แต่ละคนรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
คราวเคราะห์ต้องโทษครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากการต่อสู้ระหว่างพรรค ทุกคนต่างก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมานาน รู้ถึงอันตรายและความโหดร้ายของการต่อสู้ระหว่างพรรค ว่าหากคว้าโอกาสได้ก็จะทำให้คู่ต่อสู้ถึงตาย ไม่มีทางไกล่เกลี่ยสงบเรื่องอย่างง่ายดายแน่
‘เว่ยกงละทิ้งบางสิ่งบางอย่างเพื่อนำพวกเราออกมาจากกรมอาญา…’ เจียงลวี่จงคาดเดาได้อย่างรวดเร็ว แล้วมองไปยังฆ้องทองคำสามคนที่อยู่ข้างกาย
บรรดาฆ้องทองคำสบตากันเงียบๆ ล้วนเดาได้พอสมควร ชั่วขณะหนึ่งในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา พลันเกิดความรู้สึกขอบคุณนักรบท่านนั้นผู้ยอมตายได้เพื่อสหาย และแอบรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอันล้นพ้นของเว่ยเยวียนอยู่ในใจ
เมื่อรับเครื่องแบบ อาวุธ และป้ายห้อยเอวคืนมาแล้ว เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ออกจากกรมอาญาด้วยความเงียบงัน ระหว่างทางกลับสู่ที่ทำการ ในที่สุดทุกคนก็มีความสุขอย่าง ‘ผู้รอดชีวิตหลังภัยพิบัติ’ สักที
จากที่นิ่งเงียบในทีแรกก็เปลี่ยนเป็นการพูดคุยด้วยความตื่นเต้น มีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งเดินไปจัดระเบียบเพื่อนร่วมหน่วยรอบๆ บอกว่าจะไปเที่ยวสำนักสังคีตให้สำราญใจ
เหล่าฆ้องทองคำมองเขาอยู่สองสามรอบ เจ้าหนุ่มนี่ชอบเดินหรี่ตา ดูแล้วเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากลนัก
“ซ่งถิงเฟิง เพิ่งจะออกจากคุก เจ้าก็อดใจรอกระทำผิดไม่ไหวเชียวหรือ” ฆ้องทองแดงข้างตัวกล่าวอย่างไม่พอใจ
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร ฆ้องเงินหัวหน้าผู้ยุติธรรมของข้าก็ยังเข้าคุกเลย เจ้าจะทำผิดหรือไม่ ไม่ได้สำคัญเลยสักนิด มันขึ้นอยู่กับว่าพวกใต้เท้าเหนือหัวอยากเล่นงานเจ้าหรือเปล่าเท่านั้นแหละ” ฆ้องทองแดงที่ชอบหรี่ตาผู้นั้นพูดอย่างมั่นใจ
‘พูดจามีเหตุมีผล…’ เหล่าฆ้องทองคำครุ่นคิด
“เช่นนั้นถ้าสวี่หนิงเยี่ยนไป พวกเราก็ไป” มีฆ้องทองแดงพูดขึ้นมา
ดวงตาของเจียงลวี่จงสว่างวาบ ยิ้มพลางเอ่ยกับฆ้องทองคำข้างกาย “สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนโปรดของสำนักสังคีต เป็นผู้ที่เหล่าคณิกาแข่งขันแย่งชิงกัน ก่อนหน้านี้ข้ากับหยางเยี่ยนพาไอ้ตัวแสบนี่ไปดื่มเหล้าที่สำนักสังคีตด้วย ไอ้เด็กนั่น…นอกจากฝูเซียงแล้ว ตอนนั้นยังมีคณิกาที่อยู่ด้วยอีกตั้งสี่นาง”
ท่ามกลางสายตาตั้งคำถามของฆ้องทองคำทั้งสาม เจียงลวี่จงที่ผ่อนคลายสบายใจก็นวดคลึงรอยตีนกาตื้นๆ ที่หางตา พลางเอ่ยยิ้มๆ “คณิกาสำนักสังคีตช่างมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ ทำให้ข้าเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนหนุ่มเชียวล่ะ”
ฆ้องทองคำสามคนไม่อาจปกปิดความอิจฉาในแววตา
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ขาดสตรี แต่คณิกาของสำนักสังคีตไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่เหล่าฆ้องทองคำจะสามารถหาความสำราญด้วยได้อย่างอิสระ ไม่ใช่เพราะอำนาจของฆ้องทองคำไม่มากพอ แต่เป็นเพราะสำนักสังคีตเป็นหน่วยงานภายใต้กรมพิธีการ อำนาจของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่อาจใช้ได้ที่นี่
ซ้ำร้ายเหล่าฆ้องทองคำยิ่งไม่เล่นประชุมชากับแขกได้ ยิ่งถ้าพูดไปตรงๆ ว่าอยากได้คณิกามาปรนนิบัติ ร้อยทั้งร้อยต้องถูกปฏิเสธ ทั้งยังไม่อาจโวยวายได้ เพราะกรมพิธีการอดรนทนรอให้พวกเขาก่อความวุ่นวายแทบไม่ไหว
เมื่อกลับมาถึงที่ทำการ ฆ้องทองคำทั้งสี่คนไปที่หอเฮ่าชี่ก่อน เพื่อฟังคำสั่งสอนของเว่ยเยวียนและแสดงความจงรักภักดี
“พอดีเลย ถือโอกาสนี้ทำขจัดสิ่งชั่วร้ายผิดทำนองคลองธรรมในที่ทำการเสีย และจัดระเบียบผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเจ้าให้ดี” เว่ยเยวียนกล่าว
ฆ้องทองคำทั้งสี่ก้มหน้ารับคำ
เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยว่า “ครั้งนี้ที่พวกเขาออกมาได้ คนที่ควรจะขอบคุณไม่ใช่ข้า แต่เป็นอีกคนหนึ่ง”
‘อีกคนหนึ่ง? ฝ่าบาททรงเมตตาอภัยโทษสินะ’ พวกเจียงลวี่จงคาดเดาในใจ
“นั่นคือสวี่ชีอัน” เว่ยเยวียนกล่าวอย่างอ่อนโยน
สวี่ชีอัน? คำตอบนี้ทำให้ฆ้องทองคำทั้งสี่ประหลาดใจ ยากที่จะเชื่อ
เจียงลวี่จงเหยียดหลังตรง น้ำเสียงเคารพนบน้อม “เว่ยกง ระหว่างที่พวกข้าอยู่ในคุกนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
เว่ยเยวียนเล่าเรื่องคดีเจ้ากรมโยธาลักลอบติดต่อกับสำนักพ่อมดให้กับฆ้องทองคำทั้งสี่ฟัง และอธิบายเน้นย้ำถึงความสำคัญของสวี่ชีอันต่อคดีนี้ด้วย
ฆ้องทองคำทั้งสี่ออกจากหอเฮ่าชี่ สีหน้าของเจียงลวี่จงหดหู่ อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
ฆ้องทองคำคนหนึ่งพูดหยอกไปว่า “อิจฉาที่ฆ้องทองแดงผู้นั้นได้ความดีความชอบบ่อยๆ หรือ”
เจียงลวี่จงส่ายหน้า ปิดนัยน์ตาคมกริบดุจมีดดาบลงแล้วถอนหายใจ “ตอนแรกข้าน่าจะสู้กับหยางเยี่ยนให้ถึงที่สุด แล้วชักชวนสวี่ชีอันมาเป็นลูกน้องซะ”
“ฆ้องทองแดงสวี่เป็นอัจฉริยะยากจะหาได้จริงๆ เพียงแต่พลังต่ำต้อยไปหน่อย”
“เจ้าจะไปรู้อะไร เข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย…” จู่ๆ เจียงลวี่จงก็หุบปากไป
“หืม” ฆ้องทองคำทั้งสามมองไปที่เขา
“พูดไม่ได้ พูดไม่ได้” เจียงลวี่จงส่ายหน้า
“นี่เจ้าคนแซ่เจียง เจ้าไปเรียนมาจากหญิงในหอนางโลมที่ชอบถอดเสื้อผ้าส่ายก้นยั่วยวนผู้คนหรืออย่างไร”
“พูดมาเร็ว ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนั้นเป็นอะไร ข้าก็รู้สึกว่าเขาประหลาด เว่ยเยวียนโปรดปรานฆ้องทองแดงคนหนึ่งมากเกินไปแล้ว”
“อยากรู้เจ้าก็ไปถามเว่ยกงเองสิ”
ไม่ว่าฆ้องทองคำทั้งสามคนจะคาดคั้นอย่างไร ให้ตายเจียงลวี่จงก็ไม่พูด
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง