“ต่อไปพวกเราจะต้องไปอยู่ในเมืองชั้นในแล้ว” แม่ครัวหั่นผักพูดยิ้มๆ
ความปรารถนาของชาวบ้านเมืองหลวงที่มีต่อเมืองชั้นในก็เหมือนกับที่สวี่หลิงอินมีต่ออาหารอร่อยนั่นแหละ ผู้ที่อาศัยอยู่เมืองชั้นนอกใช่ว่าจะมีแต่ชนชั้นล่างในสังคม แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองชั้นในล้วนมีแต่ครอบครัวฐานะดีกันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่หรือการรักษาความปลอดภัย เมืองชั้นในล้วนเหนือกว่าเมืองชั้นนอกหลายขุม ในเมืองชั้นในแทบจะไม่มีเขตชุมชนแออัดด้วยซ้ำ ยามหญิงสาวออกจากบ้านไปซื้อของก็ไม่ต้องกังวลหวาดกลัว
เมื่อเห็นตรอกเงียบสงบก็สามารถเดินเข้าไปอย่างกล้าหาญได้ แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่คุ้มที่จะส่งเสริม
“ต้าหลางช่างมีอนาคตแท้ๆ ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่าบ้านหลังนั้นราคาแค่ห้าพันตำลึงเองนะ” แม่ครัวล้างผักพูด
“ห้าพันตำลึงหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากบ้านหลังนี้ของพวกเราเลยนี่” แม่ครัวจุดไฟพูด
“เจ้าจะไปรู้อะไร” แม่ครัวล้างผักจิ๊ปาก “ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่าบ้านหลังนั้นอย่างน้อยก็ต้องเจ็ดพันตำลึง โอ่อ่ายิ่งกว่าบ้านหลังนี้ของพวกเราเสียอีก”
ส่วนที่ว่าทำไมจ่ายแค่ห้าพันตำลึงนั้น ย่อมเป็นเพราะต้าหลางมีความสามารถ เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี่ อยากจะซื้อบ้านราคาต่ำก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง
“ฮูหยินบอกข้าว่าอีกไม่กี่วันจะพาพวกเราไปอยู่ในเมืองชั้นใน ข้าจะบอกอะไรให้ เมืองชั้นในน่ะเจริญมาก”
เมืองชั้นนอกมีชาวบ้านชนชั้นล่างอาศัยอยู่มากมาย ส่วนน้อยนักที่จะมีโอกาสได้เข้าไปเมืองชั้นใน ถ้าไม่ขี่ม้าก็นั่งรถม้า แต่ถ้าใช้สองขาของตัวเองอย่างเดียวล่ะก็ จากเมืองชั้นนอกไปถึงเมืองชั้นในต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม ออกเดินทางตอนกลางวัน กว่าจะถึงเมืองชั้นในพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว
เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างรอคอยการย้ายไปอยู่ในเมืองชั้นในมาก สองสามวันนี้ล้วนแต่ทำงานขยันขันแข็งเพราะกลัวจะถูกไล่ออก นอกจากลวี่เอ๋อที่ขายตัวเข้ามาจวนสกุลสวี่ตั้งแต่ยังเด็กและเป็นสาวใช้ที่สวี่ต้าหลางสามารถหลับนอนด้วยได้ตามใจชอบแล้ว ส่วนคนรับใช้คนอื่นๆ ล้วนแต่ทำสัญญาจ้างงานทั้งนั้น
“ข้าสังเกตอะไรได้อย่างหนึ่ง…” จู่ๆ แม่ครัวหั่นผักก็พูดแทรกขึ้นมา พอแม่ครัวสองคนหันมามองแล้ว นางก็เอ่ยเสียงเบา
“ฮูหยินชอบอวดต้าหลางมากขึ้นเรื่อยๆ มักจะพูดถึงเขาบ่อยๆ แต่พอต้าหลางกลับมา ดันไม่ยอมทำหน้าดีๆ เลย”
“อะแฮ่ม…”
ทันใดนั้น ที่นอกประตูก็มีเสียงกระแอมไอดังเข้ามา ขัดจังหวะพูดคุยของเหล่าแม่ครัว
“ต้าหลางมาได้อย่างไรเจ้าคะ” เหล่าแม่ครัวเอ่ยถามอย่างตกใจ
สถานที่ที่ทั้งมันทั้งสกปรกอย่างห้องครัวเช่นนี้ ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้านายสมควรมา
พวกเจ้าแม่เฒ่าทั้งหลายช่างเล่นละครเยอะจังนะ…อาสะใภ้อวดข้าสิถึงแปลก…ในมือของสวี่ชีอันถือชามไว้ เขาพยักหน้าเอ่ย
“ข้าทำส่วนผสมพิเศษมา เอามาช่วยพวกเจ้าทำกับข้าวน่ะ”
สวี่ชีอันกวาดมองรอบหนึ่ง ห้องครัวไม่ถือว่ารก แต่ก็ไม่ได้สะอาด ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้ควันและน้ำมันมาหลายปี ผนังกับเตาก็ถูกเคลือบด้วยคราบไขมันที่ไม่อาจเช็ดออกได้หนึ่งชั้น
แต่ว่าขอเพียงหมั่นล้างพวกหม้อชามทัพพีไหบ่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
“นี่คืออะไรเจ้าคะ” เหล่าแม่ครัวเลื่อนสายตาไปมองที่ชามในมือเขา มันเป็นก้อนเหนียวๆ บางอย่าง
“ของดี อย่ามองส่งเดชนะ นี่เป็นส่วนผสมพิเศษ” สวี่ชีอันหันกายหนี ไม่ให้เหล่าแม่ครัวได้ดูสมบัติของเขา
แม่ครัวก็ไม่สนใจ กลับมายุ่งกับการทำงานต่อ ต้าหลางชอบรอก็ปล่อยให้รอไปสิ เขาเป็นเจ้านาย พวกตนเป็นคนใช้ ไม่มีเหตุผลใดให้คนใช้จะไปควบคุมกับเจ้านายได้ อีกอย่าง ทุกครั้งที่ฮูหยินปะทะฝีปากกับเขา ก็จะถูกยั่วโมโหจนต้องกลอกตาตลอด
ในบ้านนอกจากนายท่านแล้ว ก็น่าจะมีเพียงเอ้อร์หลางที่สามารถพูดภาษาดอกไม้ออกมาได้เท่านั้นที่พอจะฉะฝีปากกับต้าหลางได้
สวี่ชีอันยืนมองอยู่ข้างๆ อาหารจานแรกคือหมูผัดหน่อไม้หลงฤดู เขาใช้โอกาสตอนที่แม่ครัวหันไปทำอาหาร เติม ‘ผงปรุงรสไก่’ ไปหนึ่งช้อนเล็กๆ
จากนั้นใช้ตะเกียบคีบมาชิม แล้วพยักหน้าเบาๆ
รสชาติเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ยังเทียบกับผงปรุงรสไก่จริงๆ ไม่ได้
กรดกัวนิลิกกับ MSG นั้นต้องส่งเสริมกันและกัน…คิดจะให้ได้รสชาติแบบชาติก่อนยังไงก็ต้องทำผงชูรสขึ้นมา… แต่อย่างไรสวี่ชีอันค่อนข้างพอใจแล้ว
เมื่อแม่ครัวเห็นเช่นนั้นจึงหยิบตะเกียบ คีบหน่อไม้ขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วชิมอย่างละเอียด
ดวงตาของนางเบิกโพลงทันใด ลืมอาหารที่ผัดไปเลย
รสชาติเช่นนี้นางทั้งรู้สึกคุ้นเคยและแปลกใหม่ มีรสชาติของเนื้อไก่ แต่เนื้อไก่ไม่มีทางสดขนาดนี้ แค่ช้อนเล็กๆ กลับทำให้ความสดของหน่อไม้เพิ่มระดับขึ้นมาหลายขั้น นี่เป็นสิ่งที่น้ำแกงรสเด็ดไม่มีทางทำได้เลย
สวี่ชีอันเหลือบมองนาง คว้าช้อนไปผัดอาหารแทน ไม่ให้มันเละ
“เหมือนว่าจะ…อร่อยมากใช่ไหม” แม่ครัวอีกสองคนมองดูนาง ท่าทางหวั่นๆ
“อร่อย อร่อยเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยกินอาหารอร่อยขนาดนี้มาก่อน…” แม่ครัวกล่าวอย่างตื่นเต้น
…
โถงด้านหน้า สวี่หลิงเยวี่ยถือชามข้าวเข้ามา มองไปรอบๆ แล้วเอ่ยเสียงหวาน “พี่ใหญ่ล่ะเจ้าคะ”
ปกติในเวลานี้ พี่ใหญ่จะมานั่งที่โต๊ะรอกินข้าวแล้ว พลางถือโอกาสหยอกเล่นกับสวี่หลิงอิน หนีบนางไว้ใต้รักแร้แล้วแกว่งไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
หรือไม่ก็ทะเลาะกับท่านแม่ สองอาสะใภ้กับหลานชายต่างเบื่อหน่ายกันและกัน
“วันนี้วันหยุด อาจไปที่สำนักสังคีตแล้ว” สวี่ผิงจื้อที่ก้มหน้าเช็ดดาบพกเอ่ย
“ท่านพ่อก็พูดไร้สาระ แม้แต่หอคณิกาพี่ใหญ่ยังไม่ไปเลย” สวี่หลิงเยวี่ยพองแก้ม หน้าตาบุญไม่รับ
‘…ใช่ แต่ก่อนข้าก็เคยคิดแบบนี้…พี่ใหญ่ของเจ้าที่ไม่เคยไม่หอคณิกา บัดนี้กลายเป็นบุคคลที่เหล่าคณิกาสำนักสังคีตแข่งขันแย่งชิงกันเสียแล้ว’
สวี่ผิงจื้อแอบทอดถอนใจ กล่าวว่า “ตอนนี้เขาอยู่ระดับหลอมปราณ ไม่จำเป็นต้องรักษาร่างกายแล้ว ไปสำนักสังคีตไม่ใช่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์หรอกหรือ ผู้ชายคนไหนไม่ไปบ้าง…”
จู่ๆ ก็รู้สึกถึงไอสังหารจากด้านข้าง สวี่ผิงจื้อไม่แม้แต่จะเงยหน้า เช็ดดาบพกต่อไป เปลี่ยนคำพูดว่า “พ่อเจ้ากับเอ้อร์หลางก็ไม่เคยไป ถึงหนิงเยี่ยนจะเคยไปบ่อยๆ แต่ก็ไปเพื่อสังสรรค์เข้าสังคมเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้ จะว่าไป ผู้ชายสกุลสวี่ของเราไม่ชอบไปเที่ยวหอนางโลมกันหมดเลย”
สวี่หลิงเยวี่ยเชื่อคำพูดของบิดา นึกถึงพี่รองผู้หยิ่งยโสกับพี่ใหญ่ผู้ซื่อสัตย์แล้ว ก็เห็นว่าไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ชอบอาลัยอาวรณ์หอนางโลมขนาดนั้น
นางส่งเสียง “อืม” แล้วนั่งลงที่โต๊ะอย่างวางใจ
“ท่านแม่ ข้าอยากไปที่ร้านกุ้ยเยว่” สวี่หลิงอินโผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะ ทำเอาอาสะใภ้ตกใจจนสะดุ้ง
อาสะใภ้ไม่อยากสนใจนาง อารองสวี่สั่งสอนบุตรสาวอย่างจริงใจลึกซึ้ง “หลิงอิน จะไปร้านกุ้ยเยว่บ่อยๆ ไม่ได้นะ มันต้องมีเงิน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง