ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 173

บทที่ 173 วิกฤตการณ์ตัวตนถูกเปิดเผย
อยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าหรือ สวี่ชีอันพูดในใจ ไม่ไหวแน่นอน หากเป็นเพียงเจ้า ข้าก็พอถูไถได้ แต่มีอาสะใภ้ที่อำมหิตเช่นนั้นเห็นทีคงไม่ไหว

“ข้ารู้ว่ามากเกินไป พรุ่งนี้พี่ใหญ่ยังต้องไปเข้าเวรที่หน่วย แต่ท่านแม่ก็ยังให้ข้ามาเกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ให้ไปเฝ้าหน้าประตูทางเข้าให้ได้”

หัวใจสวี่หลิงเยวี่ยผ่าออกมาจะต้องเป็นสีดำ[1]อย่างแน่นอน นางเองก็กลัวจนนอนไม่หลับ แต่ก็ยังโยนความผิดไปให้มารดา

เฝ้าหน้าประตู…อารองเฮงซวยคงจะสุขสำราญใจอยู่ที่สำนักสังคีตแน่นอน แต่กลับปล่อยให้ข้าเฝ้ายามให้ภรรยาเขา…สวี่ชีอันทอดถอนใจ แล้วเอ่ยอย่างจำใจ “ได้”

เขาสวมชุดที่ดูดี ตั้งใจพกมีดยาวสีดำทองมาโดยเฉพาะ เพื่อทำให้อาสะใภ้และน้องสาวอุ่นใจ

“ข้าจะนั่งอยู่ด้านนอก พวกเจ้าก็รีบเข้านอนล่ะ” สวี่ชีอันใช้ปลายนิ้วลั่นดาลประตูห้อง

“ได้เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ใหญ่มากนะเจ้าคะ”

“ขอบคุณเจ้าค่ะต้าหลาง”

เสียงของน้องสาวและลวี่เอ๋อที่ดังออกมาจากในห้อง ช่างไพเราะนุ่มนวล อาสะใภ้หัวแข็งไม่ปริปากพูด

สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิ ย้ายพลังโคจรปราณพลางนึกภาพในหัว ผ่านไปชั่วครู่ เสียงพูดอันแผ่วเบาของอาสะใภ้ก็ดังขึ้นข้างหู

“จะลอยมาเข้ามาทางหน้าต่างหรือเปล่าเนี่ย ถ้าหนิงเยี่ยนหลับไปจะทำอย่างไรดี”

“…ท่านแม่อย่าพูดไร้สาระ พี่ใหญ่พกมีดอยู่”

เมื่ออาสะใภ้ได้ยินว่าหลานชายพกมีดเฝ้าอยู่ด้านนอก ก็วางใจทันที

ในห้องเงียบเสียงอยู่นาน มีเพียงเสียงกรนดังลอดออกมา ซึ่งเป็นเสียงของสวี่หลิงอิน นึกภาพนางนอนเหยียดแขนเหยียดขาอยู่บนเตียง นอนอ้าปากดังครอกฟี้ๆ ได้เลย

ผ่านไปสักพักหนึ่ง อาสะใภ้ก็ตะโกนขึ้น “หนิงเยี่ยน”

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอยู่นี่”

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกระแอมไอเป็นระยะๆ เหล่าญาติผู้หญิงในห้องจะได้ไม่กลัวยามได้ยินเสียงกระแอมทุ้มกังวานของเขา

ที่อาสะใภ้และน้องสาวกลัวก็มีเหตุผลอยู่ เพราะบ้านหลังนี้เคยมีผีสิงจริงๆ มิใช่ข่าวโคมลอย

กาลเวลาผ่านไป ความกลัวนี้ย่อมถูกลืมเลือน

ผ่านไปอีกสักพัก เสียงบ่นของอาสะใภ้ก็ดังขึ้น “หลิงเยวี่ย อย่าเบียดแม่สิ แม่ร้อน”

“ท่านแม่” น้ำเสียงของสวี่หลิงเยวี่ยทั้งเง้างอดทั้งน้อยใจ

อย่างไรเสียอาสะใภ้ก็รักลูกสาวสุดหัวใจ ไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ อีก ผ่านไปชั่วขณะเสียงก็พลันอ่อนลง “หลิงเยวี่ย เจ้าโตแล้วนะ โตจนถึงวัยแต่งงานแล้ว”

สวี่ชีอันหูกระดิกยามได้ยินประโยคนี้ ในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร ทว่าน้ำเสียงของอาสะใภ้แปลกชอบกล เขาตั้งใจฟังก็ได้ยินน้องสาวเอ่ยอย่างเหนียมอาย “ท่านแม่ ข้ายังอยากอยู่ข้างกายท่านนานกว่านี้”

“ตอนที่แม่อายุเท่าเจ้าก็แต่งงานกับพ่อของเจ้าแล้ว หญิงสาวบ้านอื่น ถึงจะยังไม่แต่งงานก็หมั้นหมายแล้ว แล้วดูเจ้าซิ” อาสะใภ้เอ่ยพลางทอดถอนใจ

“กลัวแต่เจ้าจะกลายเป็นสาวคานทอง อยากจะขายก็ขายไม่ออก”

สวี่หลิงเยวี่ยนิ่งเงียบไม่พูด

…อันที่จริงก็ยังดี อายุ 17 ในยุคของข้ายังเรียนมัธยมปลายอยู่เลย แน่นอนว่าพวกเด็กสาวมัธยมปลายเปลี่ยนแฟนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มุมปากของสวี่ชีอันกระตุกขึ้น เกือบหลุดเสียงหัวเราะเพราะคำพูดแขวะของตน คิดว่าการเฝ้าประตูก็ไม่ได้น่าเบื่อเท่าไร

อาสะใภ้เอ่ยขึ้นมาอีก “เจ้าอยู่ข้างห้องต้าหลาง จำไว้ว่าเวลาอาบน้ำต้องระวังเสียหน่อย นักรบหูไวตาไว อย่าลืมระมัดระวังตัวเอาไว้”

“ท่านแม่ ท่านจะบอกว่าพี่ใหญ่แอบดูข้าอาบน้ำหรือ” ท่ามกลางความมืด นัยน์ตาของสวี่หลิงเยวี่ยเป็นประกาย

ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ทำ อย่าปรักปรำข้า…ยามข้าอยู่ที่สำนักสังคีตก็อาบน้ำร่วมกับฝูเซียง ไม่จำเป็นต้องแอบดู…สวี่ชีอันคิดว่าอาสะใภ้ยังคงโหดร้ายเหมือนเคย ตอนนี้มิอาจว่าร้ายเขาซึ่งหน้าได้ จึงแอบเล่นลูกไม้ ยุแหย่ให้ความสัมพันธ์พี่น้องอันบริสุทธิ์ของเขากับหลิงเยวี่ยแตกหัก

“ต้าหลางไม่แอบดู เจ้าก็ไม่คิดจะป้องกันอะไรเลยหรือ” อาสะใภ้ต่อว่าลูกสาว จากนั้นหันไปมองทางประตูห้อง ฟังเสียงไอของหลานชายที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ แล้วกล่าวต่ออย่างสบายใจ

สวี่ชีอันไม่ได้นอนทั้งคืน ฝึกลมหายใจพลังปราณ ฝึกฝนจิตเดิม หลังรุ่งอรุณจิตวิญญาณยังคงฮึกเหิม

ยามที่ทานอาหารเช้า สวี่ผิงจื้อก็กลับมา แต่งเครื่องแบบทหารหัวจรดเท้า ไม่ได้ถือส้มเขียวในมือ สวี่ชีอันก็เชื่อว่าอารองเข้าเวรเมื่อคืนจริงๆ ไม่ได้ไปสำนักสังคีต

“เมื่อวานหลิงอินวิ่งออกมายามวิกาล ไปนอนอยู่ที่ริมบ่อ…” อาสะใภ้บอกเรื่องเมื่อคืนกับอารอง “โชคดีที่หนิงเยี่ยนอยู่ที่จวน หากเขาไม่อยู่อีกสักคน คงต้องกลัวผีกันหัวโกร๋นพอดี…”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ อาสะใภ้แสนขี้กลัวก็หวาดกลัวขึ้นมาอีก ตื่นตูมไปเองฝ่ายเดียว

อารองสวี่พยักหน้าให้หลานชาย แล้วเอ่ยถาม “หลิงอินไปนอนริมบ่อกลางดึกทำไม”

สวี่ชีอันกล่าว “เพราะอาสะใภ้หลอกนางว่าทอดผีในน้ำมันอร่อยกว่าสิ่งอื่นใด นางเกิดตะกละขึ้นมา”

“อ้อ” อารองสวี่พยักหน้า คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ลูกสาวตัวน้อยของตนจะทำ จึงไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ

หลังจากที่มาอาศัยอยู่บ้านใหม่ ตอนเช้าก็ตื่นสายได้เล็กน้อย อีกทั้งขี่ม้าไปก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง สะดวกสบายยิ่ง

สวี่ชีอันมาถึงที่ทำการ ไปประชุมศาลที่ห้องชุนเฟิงของหลี่อวี้ชุน ยืนยันว่าวันนี้ไม่ได้ถูกมอบหมายภารกิจ จึงพาซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวออกไปลาดตระเวนข้างนอก

ในตลาดผู้คนสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสาย พ่อค้าหาบเร่เดินเพ่นพ่านไปตามถนนซอกซอย ลูกค้าตามร้านหลั่งไหลกันมาไม่รู้จบ ความเจริญของเมืองชั้นในต่างจากเมืองชั้นนอกลิบลับ

สวี่ชีอันวางแผนพาซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไปสถานรับเลี้ยงเด็กอีกรอบ ทว่าเจ้าน้องชายทั้งสองเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมไป

เขาจึงต้องมุ่งหน้าไปเพียงลำพัง เมื่อพบกับหมายเลขหกเหิงหย่วนและ ‘หมาดำ’ จึงได้ทราบว่าสภาพร่างกายของเด็กน้อยผู้น่าสงสารดีขึ้น สวี่ชีอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อยเหมือนได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก

“ใต้เท้าสวี่ อาตมามีเรื่องอยากถาม” เหิงหย่วนพนมมือกล่าว

“ไต้ซือเชิญกล่าว” สวี่ชีอันยิ้มด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย

“ใต้เท้าสวี่เคยกล่าวไว้ประโยคหนึ่งยามที่ได้พบกับเด็กคนนั้นเป็นครั้งแรก…” เหิงหย่วนจ้องมองเขา “ใต้เท้าสวี่กล่าวว่า ‘นี่คือเด็กคนนั้นหรือ’ ราวกับใต้เท้าสวี่รู้จักเขามาก่อน ทว่าอาตมาจำได้ว่าพวกโยมมิได้เกี่ยวพันกันแต่อย่างใด”

…ชิบ** การกระทบกระเทือนที่ได้รับวันนั้นสาหัสเกินไป ไม่ทันไรก็เผลอพลั้งปากพูดไปเสียแล้ว สวี่ชีอันหัวเราะ โฉมนอกสุขุมราวกับหมาแก่ แต่ในใจเริ่มว้าวุ่น

หมายเลขหกคงจะไม่สงสัยว่าข้าคือหมายเลขสามหรอกนะ…จะว่าไปแล้ว วันนั้นข้ายังเก็บเงินต่อหน้าเขาอยู่เลย…อืม เก็บเงินเพียงอย่างเดียวคงไม่เท่าไรนัก ใครๆ ก็ต้องมีช่วงเวลาแห่งความโชคดีกันบ้าง…ทว่าหมายเลขหกต้องคาดเดาได้แน่นอน คิดว่าข้าไม่ค่อยปกติ ไม่แน่ว่าอาจพาดพิงข้ากับหมายเลขสามก็ได้

ทว่าภาพลักษณ์ของบัณฑิตปรัชญาขงจื๊อที่เขาเสกสรรขึ้นก็ฝังรากลึกลงในใจของสมาชิกพรรคฟ้าดินไปเสียแล้ว ความประทับใจแรกสำคัญที่สุดตลอดกาลและมิอาจแก้ไขได้ ดังนั้นหมายเลขหกจึงน่าสงสัยที่สุด…เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ถอนหายใจ

“ข้าเคยได้ยินหมายเลขสามพูดถึง”

เขาไม่ได้อธิบายเกินความจำเป็น ให้เหิงหย่วนไปจินตนาการที่เหลือต่อเอง อันดับแรก เหิงหย่วนจะต้องเกิดคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘หัวหน้ากับลูกน้อง’ พรรคฟ้าดินมิใช่อิทธิพลลับ ทว่าพรรคฟ้าดินในโลกภายนอกที่ประกอบด้วยนักพรตนิกายปฐพีที่มีนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นตัวแทน

และพรรคฟ้าดินอีกกลุ่มที่ประกอบด้วยผู้ถือชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี ถึงจะเป็นอิทธิพลลับที่แท้จริง หมายเลขสามรายงานเรื่องนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชาตามอำเภอใจได้อย่างไร

จากนั้นหมายเลขหกเหิงหย่วนก็สอบสวนเขาด้วยข้อสงสัยประการนี้ พอซักไซ้ไล่เลียงไปก็พบว่าเดิมทีญาติผู้น้องของใต้เท้าสวี่เป็นบัณฑิตของสำนักปรัชญาขงจื๊อ

บัดนี้ เขาคิดว่าตนค้นพบทางสว่างแล้ว

เหิงหย่วนไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตามคาด พยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทีเคร่งขรึม

…อันที่จริงตัวตนถูกเปิดเผยหรือไม่ ก็มิใช่ปัญหาใหญ่ หมายเลขหกเหิงหย่วนเป็นคนดีคนหนึ่ง อืม ประเด็นคือข้าโอ้อวดในห้องแชตเสียใหญ่โตเกินไปหน่อย…คิดว่าถ้าตัวตนถูกเปิดเผยคงขายขี้หน้าแย่…สวี่ชีอันกล่าวอำลา

หลังจากกลับถึงที่ทำการ สวี่ชีอันก็ได้รับกระดาษจดหมายที่คนชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ส่งมา กล่าวว่าการเล่นแร่แปรธาตุของฉู่ไฉ่เวยได้ทะลวงอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ ซ่งชิงเรียกให้เขาไปหารือที่สำนักโหราจารย์

…รวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ สวี่ชีอันขี่ม้าและเฆี่ยนม้าให้วิ่งมาถึงหอดูดาว

เขาไปพบซ่งชิงกับฉู่ไฉ่เวยที่ห้องเล่นแร่แปรธาตุชั้นเจ็ด ขณะเดียวกันก็เห็นรอยคล้ำใต้ตาแบบเดียวกันสองคู่

แม่นางไฉ่เวย สนใจการพักผ่อนเสียบ้างเถิด สวี่ชีอันกล่าวในใจ ยอมกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการบริหารเวลาเชียวหรือ

ฉู่ไฉ่เวยที่ใต้ตาดำคล้ำ สายตาง่วงงุน เหมือนจะดูน่ารักเด๋อด๋ากว่าเดิม กล่าวอย่างอิดโรย “อดนอนมาสามวันแล้ว…”

ซ่งชิงหยิบขวดลายครามออกมาจากแขนเสื้อและยื่นให้สวี่ชีอัน “เจ้าดูสิ”

สวี่ชีอันถอดจุกไม้ก๊อกออก เทลงบนฝ่ามือเล็กน้อย ในผงเห็ดหอมปะปนด้วยเม็ดผลึกละเอียด เขาใช้ลิ้นเลีย รสชาติอันเข้มข้นกระจายไปทั่วตุ่มรับรส ลิ้นแสบร้อน

“ทำออกมาได้อย่างไร” สวี่ชีอันตื่นตระหนก

“หมักข้าว เติมน้ำผึ้ง ขจัดสิ่งเจือปน…” ซ่งชิงโบกมือปัด ไม่อยากอธิบาย “หากเจ้าอยากรู้กรรมวิธี กลับไปข้าจะให้ไฉ่เวยเขียนให้ เจ้าดูก่อนว่าใช่ของสิ่งนี้หรือไม่”

สวี่ชีอันเอ่ยพึมพำ “รสชาติคล้ายคลึง ของสิ่งนี้มีพิษงั้นหรือ”

“ไม่มีพิษ”

“เช่นนั้นก็ถูกต้อง”

ซ่งชิงพยักหน้าพร้อมเอ่ย “ของสิ่งนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าเกลือ หากแพร่หลายอย่างกว้างขวาง ราชสำนักจะต้องผูกขาดเป็นแน่ สิ่งที่สำนักโหราจารย์สร้างออกมาในอดีต ล้วนรับผิดชอบและดำเนินการโดยราชสำนัก ผลประโยชน์ที่สำนักโหราจารย์ได้รับคิดเป็นสามส่วน (3 ใน 10 ส่วน) ต่อปี ข้าเคยหารือกับศิษย์พี่หยางว่าจะแบ่งเจ้าหนึ่งส่วน (1 ใน 10 ส่วน) ”

สาเหตุที่แบ่งเพียงหนึ่งส่วนเป็นเพราะสวี่ชีอันแค่เสนอความคิดปรุงแต่ง รวมถึงทฤษฎีและขั้นตอนส่วนหนึ่ง ขั้นตอนเหล่านั้นบางส่วนก็ถูกต้อง บางส่วนก็ทำให้ซ่งชิงกับฉู่ไฉ่เวยเดินผิดทางไปไม่น้อย

ฉู่ไฉ่เวยกับซ่งชิงต้องทุ่มเทหนักกว่าเดิมในการเล่นแร่แปรธาตุรูปแบบใหม่นี้

“เป็นการแบ่งสันปันส่วนที่ยุติธรรมดี” สวี่ชีอันพยักหน้า แล้วเอ่ยหยั่งเชิง “เช่นนั้น ในหนึ่งปีข้าจะได้ส่วนแบ่งเท่าไร อืม ข้ารู้ว่าขาดพื้นฐานการประเมิน ศิษย์พี่ซ่งช่วยประเมินคร่าวๆ ที”

“ก็ต้องดูว่าราชสำนักวางแผนจะขายมันอย่างไร” ซ่งชิงเอ่ยพึมพำ “หนึ่งส่วนก็คิดได้ประมาณหลักหมื่นตำลึงเงินละมั้ง ข้าหมายถึงเขตเมืองหลวงนะ”

เมื่อกล่าวจบ เขาพบว่ามือของตนถูกสวี่ชีอันเกาะกุมไว้แน่น คำพูดของฆ้องทองแดงผู้นี้เปี่ยมด้วยความจริงจิ เอ่ยด้วยความรู้สึกอันล้ำลึก

“ขอให้มิตรภาพของพวกเรายั่งยืนจวบจนชั่วฟ้าดินสลาย มหาสมุทรแห้งเหือดหินผุพัง”

“…กล่าว กล่าวเกินจริงไปแล้ว”

ณ พระราชวัง อุทยานหลวง

เว่ยเยวียนเดินเล่นอยู่ในอุทยานหลวงกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง แสงแดดอบอุ่น สวนบุปผชาติของราชวงศ์ที่มีพื้นที่กว่า 20 ไร่ปลูกบุปผาพรรณไม้ล้ำค่านานาชนิด เหมันตฤดูกับวสันตฤดูมอบทิวทัศน์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“น้ำค้างทำลายพืชนานาชนิด บุปผาพรรณไม้โรยรา ช่างเป็นทิวทัศน์ที่ดูซบเซา ภายใต้ความประณีตแฝงด้วยความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง” จักรพรรดิหยวนจิ่งมือไพล่หลัง ทอดถอนใจด้วยความรู้สึกล้ำลึกแฝงความหมาย

เว่ยเยวียนที่เดินตามอยู่เบื้องหลังพระองค์เอ่ยกระซิบ “ฝ่าบาท ความซบเซามิใช่ทิวทัศน์มาแต่ไหนแต่ไร”

เมื่อเผชิญกับคำโต้กลับของขันทีใหญ่ชุดดำ จักรพรรดิหยวนจิ่งเพียงแย้มพระสรวล แล้วตรัสอย่างไม่แยแสมากนัก “ย่างกรายเข้าสู่วสันตฤดู บุปผานานาพันธุ์ย่อมผลิบาน”

เว่ยเยวียนราวกับกำลังโต้เถียง “ยังเร็วเกินไปที่จะเข้าสู่วสันตฤดู ความซบเซานี้จะยืดเยื้อไปถึงเมื่อใดก็มิอาจทราบพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งปรายพระเนตรมองเขา “เช่นนั้นขันทีเว่ยคิดว่าควรทำอย่างไร”

เว่ยเยวียนเอ่ยอย่างนุ่มนวล “แม้ทิวทัศน์ของบุปผานานาพันธุ์ผลิบานจะงดงาม แต่จะให้ทำอย่างไรเมื่อวสันต์ล่วงเลยลมหนาวย่างกราย ความเจริญย่อมทรุดโทรมลง… ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตรต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปีเหล่านั้น ไม่ว่าจะสายลมยามวสันต์ จันทราเดือนสารท ตะวันยามคิมหันต์ หิมะในเหมันต์ พวกมันยังคงดำรงอยู่เช่นนั้น ต้องขุดดอกไม้ต้นหญ้าที่รกชัฏออกไป เหลือไว้เพียงต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี จึงจะเป็นหนทางที่จะคงอยู่ตราบนานเท่านาน”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหุบพระสรวล ปรายพระเนตรมองอย่างเยือกเย็น ขันทีใหญ่ชุดดำยกยิ้ม สายตาอ่อนโยน เดิมตามไม่ห่าง

องค์จักรพรรดิและขันทีจ้องตากันอยู่นาน จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสขึ้นอย่างแผ่วเบา “ไม่กี่วันก่อนฮองเฮาประชวร หลังจากพระวรกายหายเป็นปกติ ก็ไม่เจริญกระยาหาร แทบจะไม่เสวยสิ่งใดติดต่อกันหลายวัน”

ในที่สุดเว่ยเยวียนก็เคลื่อนสายตา ค้อมกายคารวะ “โหรของสำนักโหราจารย์ทูลว่าอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เจริญกระยาหาร ทว่าพระวรกายปกติ ให้พักฟื้นตัว” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัส “ทว่าข้าเห็นฮองเฮาซูบผอมลงไปไม่น้อย เว่ยเยวียน เจ้าไปดูนางแทนข้าหน่อย”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

…………………………………………………………

[1] ผ่าออกมาจะต้องเป็นสีดำ หมายถึง รูปลักษณ์ภายนอกน่ารักใสซื่อแต่ภายในกลับชั่วร้ายหรือดำมืด อ้างอิงจากตัวละครอนิเมชั่นญี่ปุ่น ซึ่งตัวละครผมสีชมพูมักจะมีภาพลักษณ์ใสซื่อแต่จะมีนิสัยชั่วร้ายซุกซ่อนอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง