“ข้ารู้ว่ามากเกินไป พรุ่งนี้พี่ใหญ่ยังต้องไปเข้าเวรที่หน่วย แต่ท่านแม่ก็ยังให้ข้ามาเกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ให้ไปเฝ้าหน้าประตูทางเข้าให้ได้”
หัวใจสวี่หลิงเยวี่ยผ่าออกมาจะต้องเป็นสีดำ[1]อย่างแน่นอน นางเองก็กลัวจนนอนไม่หลับ แต่ก็ยังโยนความผิดไปให้มารดา
เฝ้าหน้าประตู…อารองเฮงซวยคงจะสุขสำราญใจอยู่ที่สำนักสังคีตแน่นอน แต่กลับปล่อยให้ข้าเฝ้ายามให้ภรรยาเขา…สวี่ชีอันทอดถอนใจ แล้วเอ่ยอย่างจำใจ “ได้”
เขาสวมชุดที่ดูดี ตั้งใจพกมีดยาวสีดำทองมาโดยเฉพาะ เพื่อทำให้อาสะใภ้และน้องสาวอุ่นใจ
“ข้าจะนั่งอยู่ด้านนอก พวกเจ้าก็รีบเข้านอนล่ะ” สวี่ชีอันใช้ปลายนิ้วลั่นดาลประตูห้อง
“ได้เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ใหญ่มากนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะต้าหลาง”
เสียงของน้องสาวและลวี่เอ๋อที่ดังออกมาจากในห้อง ช่างไพเราะนุ่มนวล อาสะใภ้หัวแข็งไม่ปริปากพูด
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิ ย้ายพลังโคจรปราณพลางนึกภาพในหัว ผ่านไปชั่วครู่ เสียงพูดอันแผ่วเบาของอาสะใภ้ก็ดังขึ้นข้างหู
“จะลอยมาเข้ามาทางหน้าต่างหรือเปล่าเนี่ย ถ้าหนิงเยี่ยนหลับไปจะทำอย่างไรดี”
“…ท่านแม่อย่าพูดไร้สาระ พี่ใหญ่พกมีดอยู่”
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินว่าหลานชายพกมีดเฝ้าอยู่ด้านนอก ก็วางใจทันที
ในห้องเงียบเสียงอยู่นาน มีเพียงเสียงกรนดังลอดออกมา ซึ่งเป็นเสียงของสวี่หลิงอิน นึกภาพนางนอนเหยียดแขนเหยียดขาอยู่บนเตียง นอนอ้าปากดังครอกฟี้ๆ ได้เลย
ผ่านไปสักพักหนึ่ง อาสะใภ้ก็ตะโกนขึ้น “หนิงเยี่ยน”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอยู่นี่”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกระแอมไอเป็นระยะๆ เหล่าญาติผู้หญิงในห้องจะได้ไม่กลัวยามได้ยินเสียงกระแอมทุ้มกังวานของเขา
ที่อาสะใภ้และน้องสาวกลัวก็มีเหตุผลอยู่ เพราะบ้านหลังนี้เคยมีผีสิงจริงๆ มิใช่ข่าวโคมลอย
กาลเวลาผ่านไป ความกลัวนี้ย่อมถูกลืมเลือน
ผ่านไปอีกสักพัก เสียงบ่นของอาสะใภ้ก็ดังขึ้น “หลิงเยวี่ย อย่าเบียดแม่สิ แม่ร้อน”
“ท่านแม่” น้ำเสียงของสวี่หลิงเยวี่ยทั้งเง้างอดทั้งน้อยใจ
อย่างไรเสียอาสะใภ้ก็รักลูกสาวสุดหัวใจ ไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ อีก ผ่านไปชั่วขณะเสียงก็พลันอ่อนลง “หลิงเยวี่ย เจ้าโตแล้วนะ โตจนถึงวัยแต่งงานแล้ว”
สวี่ชีอันหูกระดิกยามได้ยินประโยคนี้ ในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร ทว่าน้ำเสียงของอาสะใภ้แปลกชอบกล เขาตั้งใจฟังก็ได้ยินน้องสาวเอ่ยอย่างเหนียมอาย “ท่านแม่ ข้ายังอยากอยู่ข้างกายท่านนานกว่านี้”
“ตอนที่แม่อายุเท่าเจ้าก็แต่งงานกับพ่อของเจ้าแล้ว หญิงสาวบ้านอื่น ถึงจะยังไม่แต่งงานก็หมั้นหมายแล้ว แล้วดูเจ้าซิ” อาสะใภ้เอ่ยพลางทอดถอนใจ
“กลัวแต่เจ้าจะกลายเป็นสาวคานทอง อยากจะขายก็ขายไม่ออก”
สวี่หลิงเยวี่ยนิ่งเงียบไม่พูด
…อันที่จริงก็ยังดี อายุ 17 ในยุคของข้ายังเรียนมัธยมปลายอยู่เลย แน่นอนว่าพวกเด็กสาวมัธยมปลายเปลี่ยนแฟนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มุมปากของสวี่ชีอันกระตุกขึ้น เกือบหลุดเสียงหัวเราะเพราะคำพูดแขวะของตน คิดว่าการเฝ้าประตูก็ไม่ได้น่าเบื่อเท่าไร
อาสะใภ้เอ่ยขึ้นมาอีก “เจ้าอยู่ข้างห้องต้าหลาง จำไว้ว่าเวลาอาบน้ำต้องระวังเสียหน่อย นักรบหูไวตาไว อย่าลืมระมัดระวังตัวเอาไว้”
“ท่านแม่ ท่านจะบอกว่าพี่ใหญ่แอบดูข้าอาบน้ำหรือ” ท่ามกลางความมืด นัยน์ตาของสวี่หลิงเยวี่ยเป็นประกาย
ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ทำ อย่าปรักปรำข้า…ยามข้าอยู่ที่สำนักสังคีตก็อาบน้ำร่วมกับฝูเซียง ไม่จำเป็นต้องแอบดู…สวี่ชีอันคิดว่าอาสะใภ้ยังคงโหดร้ายเหมือนเคย ตอนนี้มิอาจว่าร้ายเขาซึ่งหน้าได้ จึงแอบเล่นลูกไม้ ยุแหย่ให้ความสัมพันธ์พี่น้องอันบริสุทธิ์ของเขากับหลิงเยวี่ยแตกหัก
“ต้าหลางไม่แอบดู เจ้าก็ไม่คิดจะป้องกันอะไรเลยหรือ” อาสะใภ้ต่อว่าลูกสาว จากนั้นหันไปมองทางประตูห้อง ฟังเสียงไอของหลานชายที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ แล้วกล่าวต่ออย่างสบายใจ
…
สวี่ชีอันไม่ได้นอนทั้งคืน ฝึกลมหายใจพลังปราณ ฝึกฝนจิตเดิม หลังรุ่งอรุณจิตวิญญาณยังคงฮึกเหิม
ยามที่ทานอาหารเช้า สวี่ผิงจื้อก็กลับมา แต่งเครื่องแบบทหารหัวจรดเท้า ไม่ได้ถือส้มเขียวในมือ สวี่ชีอันก็เชื่อว่าอารองเข้าเวรเมื่อคืนจริงๆ ไม่ได้ไปสำนักสังคีต
“เมื่อวานหลิงอินวิ่งออกมายามวิกาล ไปนอนอยู่ที่ริมบ่อ…” อาสะใภ้บอกเรื่องเมื่อคืนกับอารอง “โชคดีที่หนิงเยี่ยนอยู่ที่จวน หากเขาไม่อยู่อีกสักคน คงต้องกลัวผีกันหัวโกร๋นพอดี…”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ อาสะใภ้แสนขี้กลัวก็หวาดกลัวขึ้นมาอีก ตื่นตูมไปเองฝ่ายเดียว
อารองสวี่พยักหน้าให้หลานชาย แล้วเอ่ยถาม “หลิงอินไปนอนริมบ่อกลางดึกทำไม”
สวี่ชีอันกล่าว “เพราะอาสะใภ้หลอกนางว่าทอดผีในน้ำมันอร่อยกว่าสิ่งอื่นใด นางเกิดตะกละขึ้นมา”
“อ้อ” อารองสวี่พยักหน้า คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ลูกสาวตัวน้อยของตนจะทำ จึงไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ
หลังจากที่มาอาศัยอยู่บ้านใหม่ ตอนเช้าก็ตื่นสายได้เล็กน้อย อีกทั้งขี่ม้าไปก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง สะดวกสบายยิ่ง
สวี่ชีอันมาถึงที่ทำการ ไปประชุมศาลที่ห้องชุนเฟิงของหลี่อวี้ชุน ยืนยันว่าวันนี้ไม่ได้ถูกมอบหมายภารกิจ จึงพาซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวออกไปลาดตระเวนข้างนอก
ในตลาดผู้คนสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสาย พ่อค้าหาบเร่เดินเพ่นพ่านไปตามถนนซอกซอย ลูกค้าตามร้านหลั่งไหลกันมาไม่รู้จบ ความเจริญของเมืองชั้นในต่างจากเมืองชั้นนอกลิบลับ
สวี่ชีอันวางแผนพาซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไปสถานรับเลี้ยงเด็กอีกรอบ ทว่าเจ้าน้องชายทั้งสองเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมไป
เขาจึงต้องมุ่งหน้าไปเพียงลำพัง เมื่อพบกับหมายเลขหกเหิงหย่วนและ ‘หมาดำ’ จึงได้ทราบว่าสภาพร่างกายของเด็กน้อยผู้น่าสงสารดีขึ้น สวี่ชีอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อยเหมือนได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก
“ใต้เท้าสวี่ อาตมามีเรื่องอยากถาม” เหิงหย่วนพนมมือกล่าว
“ไต้ซือเชิญกล่าว” สวี่ชีอันยิ้มด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย
“ใต้เท้าสวี่เคยกล่าวไว้ประโยคหนึ่งยามที่ได้พบกับเด็กคนนั้นเป็นครั้งแรก…” เหิงหย่วนจ้องมองเขา “ใต้เท้าสวี่กล่าวว่า ‘นี่คือเด็กคนนั้นหรือ’ ราวกับใต้เท้าสวี่รู้จักเขามาก่อน ทว่าอาตมาจำได้ว่าพวกโยมมิได้เกี่ยวพันกันแต่อย่างใด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง