ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 185

บทที่ 185 วิเคราะห์คดี
สำนักงานขนส่งแบ่งเป็นสองสาย คือกองฝั่งและกองส่ง ขุนนางที่มีระดับสูงที่สุดคือผู้ว่าการขนส่ง ระดับสี่ชั้นเอก ควบคุมดูแลคนในสำนักงานขนส่งทั้งนอกในรวมเกือบพันคน

“สำนักงานขนส่งคือหนึ่งในหน่วยงานของราชสำนักที่แฝงผลประโยชน์มากที่สุด ในปีหยวนจิ่งที่ 20 ราชสำนักเคยผลักดันการขายตำแหน่งขุนนาง และที่ขายก็คือตำแหน่งเกี่ยวกับการขนส่ง” ผู้ตรวจการจางเดินไปพลางเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

“พอถึงปีหยวนจิ่งที่ 22 นโยบายซื้อขายตำแหน่งขุนนางก็ถูกเว่ยกงกับสมุหราชเลขาธิการหวังร่วมมือกันห้ามปราม แต่ก็เพียงแค่สองปี พวกแมลงไม่ได้เรื่องที่เข้ามามีมากจนน่าโมโห จนถึงตอนนี้ก็ยังมีพวกเปลืองภาษีขโมยตำแหน่งสูงๆ ไปอยู่”

สวี่ชีอันไม่ใช่สนใจความโกรธเกรี้ยวของผู้ตรวจการจาง แต่กลับดึงประเด็นน่าสนใจบางอย่างออกมาจากคำพูดเขาได้

จำเป็นต้องให้ศัตรูคู่แค้นอย่างเว่ยเยวียนกับสมุหราชเลขาธิการหวังร่วมมือกันปรามเอาไว้ คนที่จะขายตำแหน่งขุนนางผู้นั้นเป็นใครกัน

ไม่จำเป็นต้องถามเลย จักรพรรดิหยวนจิ่งแน่นอน

จักรพรรดิผู้ขายตำแหน่งขุนนางในประวัติศาสตร์มีไม่น้อย จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น จักรพรรดิเหล่านี้ล้วนมีบางอย่างเหมือนกัน นั่นก็คือ ใช้เงินเหมือนน้ำไหล

อีกอย่างคำวิจารณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีต่อจักรพรรดิเหล่านี้ก็ไม่ค่อยดีนัก อย่างน้อยก็มีการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีพฤติกรรมเช่นนี้อยู่

มาถึงสำนักงานขนส่งของอวี่โจวแล้ว พวกเจ้าหน้าที่ก็เห็นกองกำลังดุดัน และมีขุนนางใหญ่สวมชุดคลุมแดงเดินนำ กับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อกปักลายฆ้องทองคำ

ทั้งหมดจึงรีบพุ่งเข้าไปรายงานในที่ทำการทันที โดยไม่มีแม้แต่คำสอบถาม

ผ่านไปพักหนึ่ง ผู้ว่าการขนส่งของสำนักงานขนส่งอวี่โจว ขุนนางระดับสี่ชั้นเอกผู้นั้น ก็รีบวิ่งออกไปรับหน้าด้วยตัวเอง

ผู้ว่าการขนส่งผู้นี้มีอายุเกินห้าสิบปีแล้ว หนวดเคราขาวโพลน หน้าตาธรรมดา หว่างคิ้วมีไฝสีดำ ทำให้หน้าตาที่ดูธรรมดาทั่วไปของเขาพิเศษขึ้นมาหน่อย

“ข้าคือจางสิงอิง รับหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบอวิ๋นโจวตามพระกระแสรับสั่งขององค์จักรพรรดิ นี่คือเอกสารภายใน” ผู้ตรวจการจางหยิบสมุดเล่มบางออกมาแล้วส่งไปให้

“ที่แท้ก็ใต้เท้าผู้ตรวจการนั่นเอง เสียมารยาทแล้วๆ เชิญด้านในขอรับ” เมื่อผู้ว่าการขนส่งอ่านดูเอกสารเสร็จแล้วก็ยื่นคืนด้วยความเคารพ จากนั้นหันกายผายมือเชิญให้

คนทั้งคณะเดินเข้าไปในที่ทำการ ผู้ว่าการขนส่งนำผู้ตรวจการจางมายังห้องโถงใหญ่ของที่ทำการ หลังจากนั่งลงดื่มชาแล้ว ผู้ว่าการขนส่งก็เอ่ยยิ้มๆ

“ใต้เท้าผู้ตรวจการเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงคิดจะพักผ่อนอยู่ที่อวี่โจวสักหลายวันหรือขอรับ”

เขาสังเกตดูผู้ตรวจการที่มาจากเมืองหลวงผู้นี้อย่างใจเย็น คิดเพียงแต่อีกฝ่ายเป็นคนน่าเบื่อที่เคร่งขรึมจริงจังเท่านั้น ตั้งแต่พบหน้าจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยเผยรอยยิ้มออกมาเลย

‘ใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวงล้วนมีท่าทางเช่นนี้หรือ’

‘…ผู้ว่าการขนส่งผู้นี้ยังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องสินะ’ ผู้ตรวจการจางโบกมือ “ข้ามิได้มาพักที่นี่ เพียงมาดูความคืบหน้าของคดีเท่านั้น”

“ไยจึงกล่าวเช่นนี้ล่ะขอรับ” ผู้ว่าการขนส่งเอ่ยอย่างตกใจ

ผู้ตรวจการจางมองไปด้านนอกโถงใหญ่แล้วกล่าวเสียงดัง “นำตัวเข้ามา!”

สมาชิกกองธงเหลืองทั้ง 62 คนซึ่งรวมถึงชายฉกรรจ์หน้าหนวดฟางเฮ่อถูกนำตัวเข้ามาทั้งหมด ร่างกายของเขามีบาดแผลทั้งเบาทั้งหนัก สีหน้าซึมเซา

เมื่อเห็นคนเหล่านี้ ผู้ว่าการขนส่งก็ยืนขึ้นมาด้วยความตกใจและงุนงง มือชี้ไปที่พวกเขาแล้วมองผู้ตรวจการจาง “คนพวกนี้มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดถึงสวมชุดเครื่องแบบของสำนักงานขนส่งของข้าได้”

“นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ามาเยี่ยมเยียนใต้เท้าผู้ว่าการขนส่ง”

จากนั้น ผู้ตรวจการจางก็บอกเรื่องทั้งหมดให้ผู้ว่าการขนส่งฟังอย่างละเอียด คนหลังฟังจบแล้วก็หน้าซีดเผือด ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เอ่ยพึมพำว่า “ไม่ใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องดีเลย…”

จิ๊ๆ บุคลิกท่าทางจะแย่เกินไปแล้วกระมัง เทียบกับขุนนางที่ข้าเคยรู้จักในเมืองหลวงแล้ว ผู้ว่าการขนส่งคนนี้ก็เป็นแค่ระดับสำริดดีๆ นี่เอง…สวี่ชีอันบ่นออกมาในใจ สังเกตดูสีหน้าและท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ว่าการขนส่งไปพลาง

ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงขรึม “ใต้เท้าผู้ว่าการขนส่ง ข้าขอถามท่าน คดีนี้ท่านรู้เห็นหรือไม่?”

ผู้ว่าการขนส่งส่ายหน้าเป็นพัลวัน แก้ตัวอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่รู้เรื่องนะ ใต้เท้าผู้ตรวจการ…”

ผู้ตรวจการจางไม่สนใจ หันหน้าไปมองโหรชุดขาวในกลุ่มคน โหรชุดขาวสองสามคนก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการแสดงว่าเขาไม่ได้โกหก

นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ผู้ตรวจการจางก็เอ่ยว่า “เจ้ากองส่งอยู่ในที่ทำการหรือไม่”

ตอนนี้ผู้ว่าการขนส่งถึงหันความสนใจไปที่ตัวคนร้าย แค้นนักที่มีนกสองหัวคนหนึ่งอยู่ใต้บัญชาของตน เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า

“เจ้ากองส่งเหยียนข่ายผู้นั้นลาพักวันนี้ ไม่อยู่ในที่ทำการ ข้าจะพาผู้ตรวจการจางไปจับกุมเจ้าคนร้ายผู้นั้นเดี๋ยวนี้”

เจ้ากองส่งเหยียนข่ายไม่อยู่ในที่ทำการ ผู้ตรวจการจางจึงโบกมือสั่งให้กองทหารพยัคฆ์ทะยานกระจายตัวไปล้อมจวนสกุลเหยียนเสีย

หยางมู่หัว ผู้ว่าการขนส่งจากสำนักงานขนส่งก็นำมือปราบยี่สิบคนไปด้วยเช่นกัน

หลังจากกองทหารพยัคฆ์ทะยานกระจายตัวไปแล้ว เจียงลวี่จงก็พาคนทำลายประตูบุกเข้าไปซึ่งๆ หน้า กุมตัวคนรับใช้และผู้คุ้มกันในจวนเอาไว้ทั้งหมด

กองทหารพยัคฆ์ทะยาน มือปราบจากสำนักงานขนส่ง และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสามกำลังพลพลิกหาทั่วทั้งจวนสกุลเหยียน รวดเร็วประดุจสายฟ้า ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตอบสนอง

“ใต้เท้า คนอยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ”

มือปราบจากสำนักงานขนส่งเป็นผู้พบเหยียนข่ายก่อน เมื่อสวี่ชีอันตามเพื่อนร่วมงานไปยังห้องหนังสือก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว เขาเห็นเลือดไหลนองเต็มพื้น เหนียวข้นอย่างรวดเร็ว

เจ้ากองส่งเหยียนข่ายนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ใหญ่อย่างไร้กำลัง ศีรษะเอียง ลำคอมีแผลลึกหนึ่งแผล ที่พื้นใต้แขนขวามีกริชด้ามหนึ่งตกอยู่

เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์เช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้ว่าการขนส่งหยางและผู้ตรวจการจาง ความตื่นตะลึงและโกรธเกรี้ยวสุมอยู่เต็มอก

แต่ไฟโทสะของทั้งคู่นั้นแตกต่างกัน ความโกรธของผู้ว่าการขนส่งใกล้เคียงกับความโมโหอย่างไร้ความสามารถมากกว่า เมื่อเจ้ากองส่งตาย สายตาทั้งหมดก็จะมารวมกันที่ตัวเขา เขาจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกสุด

ส่วนผู้ตรวจการจางนั้นเป็นความโกรธประเภทต้มเป็ดสุกแล้วแต่เป็ดกลับบินหนีไปได้

คนมีมากเกินไป จะทำลายที่เกิดเหตุได้ง่าย…อีกอย่างก็รับประกันไม่ได้ว่าฆาตกรไม่ได้อยู่ที่นี่ มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะทำลายเบาะแสสำคัญ…สวี่ชีอันเป็นผู้ที่ใจเย็นที่สุด ขณะที่ความคิดวาบผ่าน เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“ทุกคนออกไปจากห้องหนังสือ ไปรออยู่ข้างนอก”

ผู้ตรวจการจางที่ได้ยินประโยคนี้ก็ตื่นตะลึง เขากวาดมองทุกคนแล้วเอ่ยเสียงเครียด “ไปรออยู่ข้างนอกให้หมด ออกไปจากห้องหนังสือ”

ไม่นาน ในห้องหนังสือก็เหลือเพียงเจียงลวี่จง สวี่ชีอัน และใต้เท้าทั้งสอง

“ใต้เท้าผู้ตรวจการ เหยียนข่ายผู้นี้จะต้องฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดแน่นอนขอรับ คดีนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะ” ผู้ว่าการขนส่งหยางอธิบายไม่หยุด กำจัดความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง