ตอน บทที่ 184 โจรกรรมยักยอกทรัพย์ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 184 โจรกรรมยักยอกทรัพย์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ในคำจำกัดความของวิชามองปราณ แสงสีเลือดหมายถึงอะไรนั้น ฆ้องทองคำผู้มีประสบการณ์มากมายย่อมรู้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าใช้วิชามองปราณเป็นได้อย่างไร” เจียงลวี่จงเอ่ยถามแล้วหันหน้าไปยังเรือหลวง ก่อนกางฝ่ามือไปทางโหรชุดขาวคนหนึ่งบนดาดฟ้าเรือที่ออกมาดูความวุ่นวาย
พลังปราณไร้รูปทำให้อากาศบิดเบี้ยว แล้วชักนำโหรชุดขาวที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่คนหนึ่งมายังเรือโป๊ะ
“ไปดูแสงปราณของพวกเขา” เจียงลวี่จงเอ่ยอย่างอ่อนโยน
โหรชุดขาวขมวดคิ้ว แสดงความไม่พอใจของตนออกมา ในฐานะโหรผู้เย่อหยิ่ง แม้จะเผชิญหน้ากับทหารระดับสูงผู้หนึ่ง เขาก็ยังมีความมั่นใจแบบที่ว่าต่อให้ใช้อำนาจข่มขู่แค่ไหนก็ไม่ยอมถอย
“ยืนบื้ออะไรอยู่ เร็วๆ สิ” สวี่ชีอันเร่ง
“อ้อๆ…” โหรชุดขาวพยักหน้าเชื่อฟัง เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ในแววตาก็มีประกายแสงใสสาดออกมา
เขาสังเกตดูเรืออย่างละเอียดถี่ถ้วน ผ่านไปพักหนึ่งก็ถอนแสงใสออกแล้วเอ่ยขึ้น “มีแสงสีเลือดมหาศาลจริงๆ”
นัยน์ตาของเจียงลวี่จงคมกริบขึ้นมาทันใด มีท่าทีระแวดระวังขึ้นมา เอ่ยถามว่า “ยังมีความผิดปกติใดอีกหรือไม่”
“มีขอรับ!”
สวี่ชีอันย่อมลงมือหลังจากมั่นใจ “ยังมีจุดที่ค่อนข้างน่าสงสัยบางอย่างอยู่ หนึ่ง ในห้องโดยสารมีร่องรอยการต่อสู้ เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
สอง คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนผืนน้ำมาตลอดปี เพราะพวกเขาไม่รู้แม้แต่วิธีการกำจัดกลิ่นคาวของปลาแม่น้ำ
สาม พวกเขามีท่าทางร้อนตัวเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอาการตื่นตระหนกตอนเจอพวกเราครั้งแรก และหลังจากนั้นไม่ว่าข้าจะเสนอข้อเรียกร้องใดออกมา พวกเขาก็จะทำตามโดยไม่โกรธเคืองแม้แต่สักนิด…อา จากที่ข้าเข้าใจเกี่ยวกับพวกขุนนางราชการแล้ว พวกเขาล้วนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แม้จะไม่กล้าขัดใจหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่ถ้าหากบริสุทธิ์ใจจริงๆ เช่นนั้นก็ควรมีคำพูดแฝงความไม่พอใจเพราะไม่กลัวเกรงด้วยสิ ถึงอย่างไรเรื่องการขนส่งก็ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่แล้ว แต่การแสดงออกของพวกเขาแทบอยากจะให้พวกเราเข้ามาจัดการตรวจค้นดู แล้วเรียกร้องสิ่งที่ต้องการเชียวล่ะขอรับ”
‘…กำจัดกลิ่นคาวปลาไม่เป็น แม้แต่รายละเอียดเช่นนี้ก็ยังจดจำไว้ในใจ สวี่หนิงเยี่ยนช่างเป็นอัจฉริยะในการสืบคดีจริงๆ’ เจียงลวี่จงทอดถอนใจ พยักหน้าโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
“พิจารณาได้รอบคอบมาก ทำได้ไม่เลว”
จากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีก “ที่นี่ห่างจากอวี่โจวแค่ระยะทางเพียงครึ่งวัน บนตัวของพวกเขาแปดเปื้อนแสงสีเลือด ในมือมีชีวิตมนุษย์อยู่ แต่ว่าจะฆ่าคนขณะอยู่ใกล้กับอวี่โจวได้อย่างไร”
สวี่ชีอันกล่าว “ตอนกลางคืน”
เจียงลวี่จงนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็เข้าใจแล้ว วิเคราะห์จากเวลาในตอนนี้ก็จะรู้ว่า เรือโป๊ะลำนี้แล่นออกมาจากอวี่โจวในยามกลางคืนพอดี
อาศัยช่วงเวลายามค่ำคืนสังหารผู้คน ย่อมไม่มีใครสงสัย
ผ่านไปพักใหญ่ เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็นำทุกคนบนเรือมารวมไว้ที่ดาดฟ้า แต่ละคนถูกมัดไพล่หลังไว้
จูกว่างเสี้ยวกอบหมัดคำนับ “บนเรือมีอยู่ทั้งหมดหกสิบสองคน มีจำนวนอยู่เพียงเท่านี้ขอรับ”
เจียงลวี่จงพยักหน้า มองไปยังชายหน้าหนวดผู้แต่งกายด้วยชุดมือปราบ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ปลุกเขา”
การปลุกให้ตื่นนั้นไร้ปรานียิ่ง จูกว่างเสี้ยวยิงพลังใส่หนึ่งทีก็ทำให้ชายหน้าหนวดฟื้นแล้วร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด
ชายผู้ปลอมตัวเป็นมือปราบคุ้มกันจากสำนักงานขนส่งผู้นั้นกวาดมองรอบๆ แล้ว ก็เข้าใจสถานการณ์ของตนเอง ใบหน้าดำคล้ำทันที
เขายังไม่อยากเชื่อว่าตนจะถูกเปิดโปงเช่นนี้ ปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่
“ข้าถาม เจ้าตอบ ถ้าปกปิดหรือโกหกหนึ่งครั้ง จะตัดนิ้วหนึ่งนิ้ว” เสียงไร้อารมณ์ของเจียงลวี่จงดังขึ้น
ชายหน้าหนวดเงยหน้ามอง ทันทีที่ปะทะเข้ากับนัยน์ตาคมกริบราวกับมองทะลุถึงจิตใจคู่นั้น ตัวเขาก็สั่นเทาขึ้นทันใดแล้วหมอบลงกับพื้น
“ฐานะที่แท้จริงของเจ้า!”
“ชาวบ้านนามฟางเฮ่อ ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ ก่อตั้งกองธงเหลืองที่อวี่โจวเพื่อหาเลี้ยงชีพขอรับ”
“การหาเลี้ยงชีพนี่รวมไปถึงฆ่าเจ้าหน้าที่ทางการแล้วแย่งชิงแร่เหล็กของราชสำนักด้วยหรือ”
“ไม่ ไม่ใช่ขอรับ…ใต้เท้า ข้าน้อยรับเงินมาทำงาน ผู้ที่สั่งการให้ข้าน้อยทำเช่นนี้ก็คือเจ้ากองส่งในสำนักงานขนส่งอวี่โจวขอรับ เขาบอกเราว่าคืนนี้จะมีเรือโป๊ะไปเมืองหลวงลำหนึ่ง ในนั้นบรรจุแร่เหล็กเอาไว้ เขาให้พวกเราฆ่าผู้คุ้มกันบนเรือแล้วชิงแร่เหล็กเหล่านี้ขอรับ”
เจ้ากองส่งอะไรนะ…ในหัวของสวี่ชีอันมีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาเป็นชุด
หลังจากเข้าทำงานที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาก็ค่อยๆ เริ่มติดต่อกับหน่วยงานราชการต่างๆ บางครั้งบางคราวสวี่ชีอันก็ถูกชื่อตำแหน่งสะเปะสะปะมาทำความคิดของเขาให้เละเป็นโจ๊ก
‘เจ้ากองส่งวางแผนเรื่องทั้งหมดนี้หรือ’ เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสื่อสารกันผ่านสายตา เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา
แม้แต่สีหน้าของเจียงลวี่จงก็ยังเคร่งเครียดไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพบกับคดีใหญ่ที่มีทั้งโจรกรรมและยักยอกทรัพย์เข้าให้แล้ว
“นี่มันไม่สมเหตุสมผล” สวี่ชีอันส่ายหน้าแล้วยกคำถามขึ้นมา “ทำไมต้องให้พวกเจ้าฆ่าคนชิงเรือด้วย ถ้าคิดจะยักยอกแร่เหล็กก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้นี่ ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานราชการยังปลอดภัยกว่าทำงานกับพวกเจ้าเป็นไหนๆ”
เจียงลวี่จงเหลือบมองเขา เอ่ยอธิบายว่า “สำนักงานขนส่งในแต่ละมณฑลจะแบ่งเป็นกองฝั่งกับกองส่งสองสาย กองฝั่งรับผิดชอบการบริหารจัดคลองแม่น้ำลำคลอง ตลอดจนการเก็บทรัพยากรเช่นธัญพืช เกลือ และเหล็กเข้าสู่คลัง ส่วนกองส่งรับผิดชอบการคุ้มกันการขนส่ง”
ก็หมายความว่า หากเจ้ากองส่งคิดจะยักยอกแร่เหล็ก ก็มีแต่ต้องลงมือบนน้ำสินะ…สวี่ชีอันพยักหน้า “ดังนั้นเพื่อปกปิดความผิดอย่างหมดจด จึงต้องทำให้ผู้คุ้มกันหายไปกับเรือ แบบนี้กองส่งก็จะกลายเป็นเหยื่อ”
เจียงลวี่จงเอ่ยถามต่อ “หลังจากยักยอกแร่เหล็กแล้วจะจัดการอย่างไร”
ชายฉกรรจ์หน้าหนวดส่ายหน้า “พวกเรารับผิดชอบแค่นำแร่เหล็กส่งไปยังอวิ๋นโจว เส้นทางเริ่มต้นจากอวี่โจว อ้อมสันดอนทราย หลังไปถึงอวิ๋นโจวก็จะมีคนมารับหน้าที่ต่อเองขอรับ”
‘อวิ๋นโจวหรือ!’
สีหน้าของเจียงลวี่จงเปลี่ยนไปทันที
‘ถ้าแค่สนับสนุนโจรภูเขา เหตุใดต้องทำถึงขั้นนี้?’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผู้ตรวจการจางก็ยืนขึ้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง บางครั้งก็มองเจียงลวี่จง บางครั้งก็มองสวี่ชีอัน
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าหาเรื่องยุ่งยากเพิ่มมาให้ข้าเสียแล้ว…เจอเรื่องแบบนี้ระหว่างทาง จะต้องเสียเวลาแน่ๆ”
ปากเขาพูดเช่นนี้ แต่ท่าทางและน้ำเสียงกลับไม่มีการถือโทษแม้แต่นิด กลับมีสีหน้าแปลกประหลาดทั้งกังวลและตื่นเต้นสลับทับซ้อนกัน
เจียงลวี่จงเอ่ย “ใต้เท้ารายงานเรื่องนี้กลับไปยังเมืองหลวง กล่าวได้ว่าเป็นคุณงามความดีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งทีเดียว”
“เรื่องนี้ขาดผลงานของเจ้าไม่ได้เลย” ผู้ตรวจการจางตบบ่าสวี่ชีอันแรง
ยังไม่ต้องพูดถึงผลลัพธ์ของการเดินทางไปอวิ๋นโจวหรอก แค่การที่เขาค้นพบคดีนี้ก็เป็นผลงานใหญ่แล้ว ต่อให้การเดินทางไปอวิ๋นโจวจะไม่พบอะไร แต่เรื่องนี้ก็พอจะเสริมได้ ถึงขั้นมีความดีความชอบด้วย
และทั้งหมดนี้ก็เป็นผลงานจากสัมผัส ‘ดมกลิ่น’ อันว่องไวของสวี่ชีอัน
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เงียบงันลง แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้เดิม ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน มีทางสามทางวางอยู่ข้างหน้าเขา
หนึ่ง แสร้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วเดินทางไปอวิ๋นโจวต่อ หลีกเลี่ยงปัญหาใหม่
สอง ส่งคนปลอมตัวเป็นผู้คุ้มกันเรือของสำนักงานขนส่ง บีบบังคับฟางเฮ่อให้บุกทลายคนที่รับช่วงต่อในอวิ๋นโจวแต่ละกลุ่มๆ
สาม เดินทางไปสำนักงานขนส่งที่อวี่โจว จัดการสืบคดีนี้แล้วจับตัวผู้บงการหลังม่าน
ตัวเลือกแรกตัดออกไปได้เลย ส่วนตัวเลือกที่สองเสียเวลาเกินไป เดินทางทางน้ำไปยังอวิ๋นโจวต้องอ้อมผ่านสันดอนทรายก่อน ถ้าไม่ใช่สิบวันครึ่งเดือนไปไม่ถึงแน่ ไม่สอดคล้องกับการเดินทางของพวกเขา และเจ้ากองส่งก็เป็นเบาะแสที่อยู่ตรงหน้านี่เอง
หลังจากผู้ตรวจการจางเอ่ยถึงตัวเลือกของตน ก็ได้การตอบรับจากเจียงลวี่จงและสวี่ชีอันเป็นเสียงเดียว
ดูเหมือนว่าเวลานี้ผู้ตรวจการจางขอแค่มีการสนับสนุนของพวกเขาสองคนก็เพียงพอแล้ว
…
ยามเที่ยงตรง เรือหลวงก็แล่นมาถึงท่าเรือขนส่งที่ใหญ่ที่สุดของอวี่โจว แล้วค่อยๆ จอดเทียบท่า
เรือโป๊ะก็เข้าเทียบท่าด้วยเช่นกัน มันดึงดูดความสนใจของเหล่ากุลีได้ทันที พวกเขาต่างพากันวิ่งเข้ามาดู แต่เมื่อเห็นกองทหารพยัคฆ์ทะยานในชุดเครื่องแบบเต็มยศคุมตัวผู้คุ้มกันเรือของสำนักงานขนส่งทั้งหมด ก็พากันถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
กองทหารพยัคฆ์ทะยานส่วนหนึ่งถูกทิ้งให้ดูแลเรือหลวง ส่วนผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงก็พากำลังพลยิ่งใหญ่เกรียงไกรพุ่งเข้าไปในสำนักงานขนส่งของอวี่โจว
……………………….
[1] อ๋องที่ไม่อาจขึ้นบัลลังก์ หมายถึง กระทำการใดก็ไม่สำเร็จผล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...