แต่เขาไม่ได้บุ่มบ่ามคาดเดา เพราะในแม่น้ำมักจะมีโจรสลัดปรากฏตัวบ่อยๆ เจ้าหน้าที่พวกนี้ก็อาจเพิ่งโจมตีกองโจรที่พยายามขึ้นมาปล้นชิงก็ได้
“นั่นมันเรืออะไร ทำไมไม่เหมือนของพวกเรา” สวี่ชีอันมองดูเรือหลวงที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอ่ยถามสหายร่วมหน่วยที่อยู่ข้างๆ
ที่นี่มีฆ้องทองแดงคนเก่าคนแก่อยู่ไม่น้อย ล้วนมีความรู้กว้างขวาง หลังจากพิจารณาดูเขาก็ตอบกลับ “นั่นคือเรือโป๊ะ ดูที่ธงสิ เหมือนจะมาจากอวี่โจว”
เรือโป๊ะคือเรือท้องแบนขนาดใหญ่ ส่วนมากใช้เพื่อขนส่งสินค้า
สวี่ชีอันร้อง “อ้อ” ออกมา แววตาสาดเปล่งประกายเล็กน้อยแล้วถามต่อ “ใกล้ๆ อวี่โจวมีโจรสลัดไหม”
ซ่งถิงเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “เหอะ” ขึ้นมา เขาวางแขนไว้บนบ่าของสวี่ชีอัน “ตรงนี้ห่างจากด่านตรวจของอวี่โจวแค่ระยะทางครึ่งวัน เจ้าเคยเห็นใครมาขวางทางดักปล้นอยู่หน้าประตูที่ทำการหรือเปล่าล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมดปัญหา” สวี่ชีอันพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายแน่ใจเรื่องบางอย่าง
“หมดปัญหาอะไร”
“ทำผลงานได้โดยหมดปัญหาอย่างไรล่ะ” เขาเหลือบมองซ่งถิงเฟิง เห็นว่าเรือทั้งสองลำกำลังจะสวนกันแล้วก็รีบพูด “ถิงเฟิง รีบกลับไปบอกฆ้องทองคำเจียงทันทีว่ามีเหตุฉุกเฉิน”
จากนั้นเขาก็กวาดสายตาของฆ้องทองคำเจ็ดแปดคนบนดาดฟ้าเรือ ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “เรือลำนั้นมีปัญหา พวกเจ้าทำตามข้า”
พูดจบเขาก็ตะโกนเสียงดังไปทางเรือโป๊ะลำนั้น “หยุดเรือ!”
เสียงดังก้องสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
เหล่าเจ้าหน้าที่บนเรือโป๊ะกลับไม่สนใจแม้แต่นิด แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม้แต่คนพายเรือก็ยังปรับทิศทางเดินเรือเงียบๆ เรือโป๊ะเบนออกห่างจากเรือหลวงที่พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่
ตอนนี้เองฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติ พวกเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นสวี่ชีอันคว้าจับกราบเรือ ดาดฟ้าเรือที่อยู่ใต้เท้าปริแตกเสียงดัง ‘ตึง’ ทั้งตัวเขาพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่เสียแล้ว
ชั่วพริบตาก็เคลื่อนห่างไปไกลหลายสิบเมตร แล้วหยุดอยู่บนดาดฟ้าเรือของเรือโป๊ะอย่างมั่นคง
‘ตึง…’
เสียงกระทบดาดฟ้าเรือดังไม่ขาดสาย ฆ้องทองแดงเจ็ดแปดคนกระโดดขึ้นมาตามๆ กัน อาศัยพลังกระโดดที่เหนือชั้นและการปลุกเร้าพลังปราณกระโดดขึ้นไปบนเรือโป๊ะ
เมื่อเห็นกลุ่มฆ้องทองแดง ‘บุกรุก’ เรือโป๊ะ สีหน้าของเจ้าหน้าที่บนดาดฟ้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จับด้ามดาบที่หลังเอวเงียบๆ
“ใต้เท้าทั้งหลาย…” ชายฉกรรจ์ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องโดยสาร ตัวเขาสวมชุดเครื่องแบบราชการ สวมหมวกสูง และรองเท้ายาวสีดำคู่หนึ่ง
เขากวาดมองฆ้องทองแดงบนดาดฟ้าเรือแล้วคำนับ “มีเรื่องใดหรือขอรับ”
สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไร เพียงสังเกตดูสีหน้าและการกระทำเล็กน้อยของพวกเขาอย่างละเอียด จูกว่างเสี้ยวเอ่ยเสียงขรึม
“พวกเจ้าเป็นคนจากหน่วยงานใด”
“ข้าน้อยคือมือปราบคุ้มกันเรือจากสำนักงานขนส่งขอรับ คุ้มกันแร่เหล็กกองหนึ่งไปยังเมืองหลวง” ชายฉกรรจ์หน้าหนวดเอ่ยตอบ ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมสลักลวดลายคลื่นน้ำ นั่นก็คือเครื่องแบบของสำนักงานขนส่ง
อวี่โจวมีแร่เหล็กมากมาย เกลือและเหล็กล้วนเป็นเส้นเลือดหลักของอาณาจักร พูดง่ายๆ มันก็คือทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์และเป็นส่วนสำคัญทางการเงินด้วย
เรื่องนี้พวกฆ้องทองแดงไม่แปลกใจนัก แต่พากันหันไปมองสวี่ชีอัน ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้หยุดเรือลำนี้ไว้
สวี่ชีอันหรี่ตา สังเกตเห็นรายละเอียดบางอย่าง จนถึงตอนนี้เรือโป๊ะลำนี้ก็ยังคงแล่นต่อไป ไม่ได้ทอดสมอ
“กว่างเสี้ยว ทำให้เรือหยุดหน่อย” สวี่ชีอันพูดเสียงขรึม
จูกว่างเสี้ยวไปที่ท้ายเรือทันที แล้วเตะสมอหนาหนักขนาดใหญ่ลงไปในน้ำ เรือโป๊ะจึงค่อยๆ หยุดลง
พอเพื่อนร่วมงานผู้เงียบเชียบไม่ชอบพูดจากลับมาแล้ว สวี่ชีอันก็ถามกลับ “ทำไมเมื่อครู่ไม่หยุดเรือ”
“เอ่อ…” ชายฉกรรจ์หน้าหนวดเผยสีหน้ายุ่งยากแล้วเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าทั้งหลาย ขอเวลาสักครู่”
เขากลับไปในห้องโดยสาร ผ่านไปพักหนึ่งก็นำตั๋วเงินหลายใบที่พับไว้ออกมา แล้วแอบยื่นให้พร้อมรอยยิ้ม
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ ไม่ว่าอยู่ที่ใด ขอเพียงพบกับเหล่าใต้เท้าจากหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล ก็ต้องให้ความเคารพ…เมื่อครู่ข้าน้อยไม่รู้ความ คิดจะผ่านไปเฉยๆ สมควรตายยิ่งนัก ขอให้เหล่าใต้เท้าโปรดลงโทษด้วย”
สวี่ชีอันเหลือบมองดู ล้วนแต่เป็นตั๋วเงินราคาห้าสิบตำลึงทั้งนั้น ทั้งหมดรวมๆ แล้วก็ประมาณสามร้อยตำลึง
‘นี่เขาคิดว่าพวกเรามาหยุดเรือไว้เพราะจะเก็บสินบนหรือไง’ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ตรงนั้นมีปฏิกิริยาทันที ทั้งน่าโมโหและน่าขำ
แม้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะไม่ได้ใสสะอาดนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดเอาเปรียบทุกโอกาสหรอกนะ แต่กิตติศัพท์ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่ค่อยดีจริงๆ ต้องยกความดีความชอบให้พวกขุนนางบุ๋นที่สาดเทน้ำสกปรกใส่ทุกวี่ทุกวัน สร้างภาพว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นกรงเล็บเหยี่ยวของเว่ยเยวียน ที่ชอบทำร้ายคนดีซื่อสัตย์ มีพฤติกรรมชั่วร้ายชอบกินสินบาทคาดสินบน
สิ่งที่พวกปัญญาชนเชี่ยวชาญที่สุดก็คือใช้ปากกาแทงใจ
“หนิงเยี่ยน…” จูกว่างเสี้ยวขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองสวี่ชีอัน
ฆ้องทองแดงทุกคนซึ่งรวมถึงตัวเขาไม่เชื่อว่าสวี่ชีอันสกัดเรือโป๊ะเอาไว้เพื่อเงินทอง เจ้าหนุ่มที่ฟันฆ้องเงินเพื่อเด็กสาวที่ไม่รู้จักมักจี่คนนี้ชอบทำให้คนอื่นเกลียดขี้หน้าก็อีกเรื่อง แต่นิสัยของเขาควรค่าแก่การยกย่องจริงๆ
ชายฉกรรจ์หน้าหนวดเห็นว่าตั้งนานแล้วก็ไม่มีใครรับตั๋วเงินไป ในใจก็หนักอึ้ง เขาไม่คิดว่าการกระทำของตนมีปัญหา แต่เหมือนว่าเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะไม่ยอมรับ
“พาข้าไปดูในห้องโดยสาร” สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปหลายก้าว จ้องชายฉกรรจ์หน้าหนวดเขม็ง
ตอนนี้เองสวี่ชีอันก็ยืนอยู่ด้านหน้าของฆ้องทองแดงทุกคน มือขวาของเขาไพล่หลังอย่างไม่ใส่ใจ แล้วทำสัญญาณมือออกมาอย่างรวดเร็ว
สัญญาณมือนั้นแนบเนียนและละเอียดอ่อนมาก แต่ฆ้องทองแดงที่อยู่ด้านหลังพลันหน้าตึงขึ้นมาเงียบๆ
เพราะสัญญาณมือนี้คือภาษามือเฉพาะของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล มีความหมายว่า ‘เตรียมลงมือ’
“พาข้าไปตรวจดูสักรอบสิ” สวี่ชีอันเสนอ
“ได้ขอรับ เชิญใต้เท้า” ชายฉกรรจ์หน้าหนวดรับปากทันที
…รับปากง่ายเกินไปแล้วมั้ง ตามปกติแล้วควรจะมีประโยคขัดขืนแบบว่า ‘เรื่องการขนส่งไม่ต้องให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมายุ่งหรอก’
อืม อาจเป็นเพราะเขาขี้ขลาดก็ได้ …สวี่ชีอันคิดพลางเดินนำเหล่าสหายร่วมหน่วยตามชายหน้าหนวดเข้าไปในห้องโดยสาร เดินลงบันไดแคบๆ มาจนถึงท้องเรือ
ชายฉกรรจ์จุดเทียนแต่ละเล่มแล้วนำเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปตรวจสอบหินแร่ที่บรรจุอยู่เต็มกล่องสินค้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง