พักหนึ่ง หน้ากระจกก็ปรากฏตัวอักษรขึ้นมา หมายเลขสี่ส่งข้อความมาว่า ‘ข้าเคยเดินทางไปทางตะวันตก คนที่นั่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หนังสือ งมงายล้าหลัง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘อารยะ’ คืออะไร แต่คนในท้องถิ่นค่อนข้างอัธยาศัยดี พวกเขาให้การต้อนรับข้าผู้มีภาพลักษณ์เป็นนักดาบอย่างอบอุ่น แต่พอข้าบอกชาวบ้านว่าข้ามีฐานะเป็น ‘ปัญญาชน’ ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อข้าก็เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ’
‘ทั้งด่ากราด ทั้งข่มขู่ ทั้งขับไล่ ทำให้ข้าต้องออกมาจากที่นั่น และระหว่างการเดินทางต่อจากนั้น ข้าก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตนว่าเป็นบัณฑิตอีกเลย’
…นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความโกรธแค้นของเด็กกากที่มีต่อเด็กเรียน’ อย่างนั้นเหรอ สวี่ชีอันไม่ได้แสดงความเห็นอะไร เขารอคอยข้อความต่อไป
‘สี่: ข้าคิดว่าแถบตะวันตกเพียงแค่รังเกียจพวกปัญญาชนเฉยๆ เท่านั้น ต่อมาถึงได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้รังเกียจปัญญาชน แต่รังเกียจลัทธิขงจื๊อ โดยเฉพาะพวกลัทธิขงจื๊อสายตรง เรื่องนี้ทำให้ข้าคิดถึงบันทึกท่อนหนึ่งข้าเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ อืม ในประวัติศาสตร์ช่วงห้าร้อยปีก่อน ศาสนาพุทธเคยเจริญรุ่งเรืองในต้าฟ่งอย่างยิ่ง ทั้งเผยแพร่คำสอนไปทุกหนทุกแห่ง
‘ช่วงเวลาอันดีงามดำเนินอยู่ไม่นาน ไม่ถึงร้อยปี ราชสำนักก็เริ่มทำลายพุทธศาสนา ผู้ที่สนับสนุนให้ทำลายพุทธศาสนาก็คือสมุหราชเลขาธิการในสมัยนั้นนั่นเอง และเขาก็ยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าสำนักอวิ๋นลู่ ปัญญาชนในสมัยก่อนแทบจะมาจากสำนักอวิ๋นลู่กันทั้งสิ้น ลัทธิขงจื๊อสายตรงก็เกิดการแตกแยกเมื่อสองร้อยปีก่อน…’
สวี่ชีอันส่งข้อความ ‘แค่นี้?’
ต้าฟ่งในสมัยนั้นเป็นอาณาเขตของลัทธิขงจื๊อ แล้วพุทธศาสนาต้องการเผยแพร่คำสอนมายังที่ราบภาคกลาง การที่ลัทธิขงจื๊อจะลงมือขัดขวางก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากๆ ในทำนองเดียวกัน ภาคตะวันตกเกลียดชังปัญญาชนก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลเช่นเดียวกัน
เผือกลูกนี้กินแล้วไม่ได้อะไรเลย
‘สี่: ฮึ หมายเลขสาม ช่วงนี้เจ้าเกียจคร้านไปหน่อยนะ’
สวี่ชีอัน “???”
ถ้าอย่างนั้นข้าควรจะกัดนิ้วแล้วแสดงฉาก ‘หัวสมองสั่นสะท้าน’ [1]ให้เจ้าดูหรือไง
‘สี่: หรือเป็นเพราะเตรียมสอบรอบฤดูใบไม้ผลิ เลยไม่มีเวลาอ่านประวัติศาสตร์ อืม ที่ข้าจะบอกก็คือ สมุหราชเลขาธิการในตอนนั้นเคยพูดประโยคหนึ่งตอนกวาดล้างศาสนาพุทธว่า ‘หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ ขอเอาชีวิตของข้า ตัดเส้นทางสู่พุทธ’ จนถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย’
หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ ขอเอาชีวิตของข้า ตัดเส้นทางสู่พุทธ …นี่มันหมายความว่าอะไร สวี่ชีอันงุนงง
‘ห้า: บางทีอาจเป็นคำพูดปลุกเร้าจิตใจหรือเปล่า’
หมายเลขห้าถามได้ดี! สวี่ชีอันยิ้ม
‘หนึ่ง: ไม่ใช่ ลัทธิขงจื๊อขั้นสามคือระดับก่อชะตา คำว่า ‘ขอเอาชีวิตข้า’ …ไม่มีทางเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ คำพูดของหมายเลขสี่ทำให้ข้านึกถึงรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นมา สมุหราชเลขาธิการผู้นั้นมีชื่อว่าตู้จงซู หลังจากกวาดล้างพุทธศาสนาแล้ว เขาก็ก้าวสู่ระดับก่อชะตาขั้นสาม พูดอีกอย่างก็คือ ‘การก่อชะตา’ ของเขา คือการล้างบางพุทธศาสนานั่นเอง’
หลังจากล้างบ้างพุทธศาสนา ก็ก้าวสู่ระดับก่อชะตาอย่างนั้นหรือ สวี่ชีอันนึกถึงข้อมูลที่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นพูดกับเขาโดยบังเอิญขึ้นมา ระดับก่อชะตาของลัทธิขงจื๊อคือกระบวนการ ‘แสวงหาเป้าหมายของชีวิต’ ดังนั้นถึงได้เรียกว่าก่อชะตา
‘ก่อชะตา’ จะต้องมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ทะเยอทะยาน…ดังนั้น หลังล้างบางพุทธศาสนาจึงก้าวสู่ระดับก่อชะตา นี่มันน่าสนใจมากทีเดียว…หมายความว่าการล้างบางศาสนาพุทธคือเป้าหมายที่ถูกต้องและทะเยอทะยานจริงๆ น่ะหรือ
สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจก็ส่งข้อความไป ‘ระดับก่อชะตาคล้ายคลึงกับการกล่าวปณิธานของศาสนาพุทธ และที่เข้าสู่ระดับก่อชะตาด้วยการล้างบางศาสนาพุทธ ก็หมายความว่าการทำลายพุทธศาสนาเป็นเรื่องถูกต้อง’
เมื่อมีการรับรองจากนักเรียนลัทธิขงจื๊ออย่างหมายเลขสาม ทุกคนจึงตระหนักได้ว่ามันผิดปกติ หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ…บางทีนี่อาจจะไม่ใช่คำพูดล้อเล่น
เบื้องหลังเกี่ยวข้องกับเรื่องวงในระดับลึก ไม่ใช่เรื่องผิวเผินแค่ ‘แย่งชิงอาณาเขต’ เช่นนั้นแน่
ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ผ่านไปสิบกว่านาที หมายเลขสองก็กล่าว ‘หมายเลขสาม ในกลุ่มผู้ตรวจการไปอวิ๋นโจวคราวนี้มียอดฝีมืออยู่มากน้อยแค่ไหน’
‘สาม: ดูเผินๆ มีแค่ฆ้องทองคำคนเดียว พวกที่ซุ่มซ่อนนั้นไม่รู้’
‘ใช้คำว่า ‘มีแค่’ ได้ดี’ …หมายเลขสองโพล่งขึ้นในใจ
ใครก็ตามที่เคยรู้จักหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลล้วนรู้ว่าฆ้องทองคำคือทหารระดับสี่ เมื่อทหารระดับสี่อยู่ในสนามรบ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูงที่สามารถล้มหนึ่งพันคนได้
ในสายการฝึกที่ยังมีขอบเขตแบบมนุษย์ปุถุชน ระดับสี่ที่รวบรวม ‘ความตั้งใจ’ เอาไว้นั้นคือจุดสูงสุด
ขึ้นมาอีกขั้นก็คือระดับสาม แต่ระดับสามนั้นมีความสามารถงอกแขนขาขึ้นมาใหม่ได้ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป
‘…แม้ว่าจะเป็นกลุ่มของข้าซึ่งรวมตัวข้าไปด้วย หากต้องต่อกรกับฆ้องทองคำระดับสี่หนึ่งคน เกรงว่าคงจะได้พบจุดจบแบบตกตายไปพร้อมกันเท่านั้น’ หมายเลขสองถอนหายใจ
ไร้คำพูดไปพักหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเพื่อนในกลุ่มที่หาดีไม่ได้ทั้งหลายออฟไลน์กันแล้ว สวี่ชีอันก็เก็บกระจกใบเล็ก ออกจากห้อง ไปยืนอยู่บนกราบเรือ หันหน้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ ปลดทุกข์ที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
เมื่อสวมเข็มขัดเรียบร้อยแล้วก็กลับห้องไป
…
วันต่อมา ท้องฟ้าเริ่มสว่าง สวี่ชีอันตื่นขึ้นมา มองไปรอบๆ ก็เห็นสหายร่วมหน่วยทั้งสองคนกำลังโคจรพลัง ฝึกลมหายใจหลอมปราณ
ทุกคนต่างก็พยายามหนักกัน เต็มไปด้วยพลังปราณเช่นนี้อยู่ทุกวัน …สวี่ชีอันลุกขึ้นนั่ง ยืดเอวบิดตัว
จิต ปราณ วิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อพลังปราณอัดแน่นอยู่ในตันเถียนส่วนบน กลาง ล่าง พลังจิตก็พุ่งสูงขึ้น ตอนนั้นเอง หมายความว่าจะสามารถตระหนักรู้ เตรียมทะลวงระดับหลอมวิญญาณได้เลย
พลังปราณของสวี่ชีอันอัดแน่นอยู่เต็มตันเถียนตั้งนานแล้ว ใกล้จะล้นออกมาอยู่รอมร่อ เมื่อตระหนักรู้อย่างต่อเนื่องทุกวันๆ พลังจิตก็จะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ขาดแค่ ‘โอกาส’ ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณได้แล้ว
โอกาสจะมาอย่างไรนั้นสวี่ชีอันไม่รู้ เว่ยเยวียนก็ไม่ได้บอกเขา เพราะพ่อเว่ยไม่รู้ว่าการฝึกตนของสวี่ชีอันพัฒนาได้เร็วขนาดนี้
เขาคิดมาตลอดว่าฆ้องทองแดงที่ตนให้ความสำคัญยังอยู่ในช่วงโคจรพลังปราณอยู่เลย
เมื่อสัมผัสได้ว่าสวี่ชีอันตื่นแล้ว จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงก็หยุดฝึกลมหายใจ คนแรกหันมาพูดว่า
“รอให้เสร็จสิ้นการเดินทางไปอวิ๋นโจว ที่หน่วยก็จะมอบเงินรางวัลให้ ข้าก็เก็บเงินแต่งเมียได้มากพอเสียที”
จูกว่างเสี้ยวมีน้องสาวที่เป็นหวานใจวัยละอ่อนอยู่คนหนึ่ง อืม ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ แต่เป็นน้องสาวข้างบ้าน ทั้งคู่มีความรักบริสุทธิ์ต่อกัน เป็นดั่งตะพาบน้ำมองถั่วเขียว ถูกใจกันมาก
แต่บิดาของน้องสาวคนนั้นต้องการให้จูกว่างเสี้ยวนำสินสอดจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงมาสู่ขอ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้แต่ง
จูกว่างเสี้ยวมีเงินเดือนเดือนละห้าตำลึง บวกกับรายได้สีเทาอีกเล็กน้อย ในหนึ่งปีก็อาจเก็บเงินได้แปดสิบกว่าตำลึง แต่เขายังต้องไปสังสรรค์ ใช้จ่ายรายวัน แล้วยังต้องไปหอนางโลมด้วย…แต่ละปีจึงเก็บเงินได้สามสิบกว่าตำลึง
แค่นี้ก็ไม่ง่ายแล้ว ถึงอย่างไรรายจ่ายที่หอนางโลมก็เป็นเรื่องจำเป็น คนธรรมดาก็ยังต้องการ แล้วนับประสาอะไรกับทหารผู้กล้ามีเลือดมีเนื้อล่ะ
บ้าเอ๊ย…แม่งอย่ามาปักธงตั้งเป้าแบบนี้จะได้ไหม คนแบบเจ้าน่ะ ข้าเห็นในละครชาติก่อนไม่หนึ่งพันก็แปดร้อยครั้งแล้ว…สวี่ชีอันกลอกตา
“ยินดีด้วย ขอให้กว่างเสี้ยวแต่งงานได้ในเร็ววัน” ซ่งถิงเฟิงพูดจบ ก็เหลือบเห็นถุงหอมสีม่วงสวยงามที่แขวนอยู่ที่เอวของสวี่ชีอัน ปักลายดอกบัวสีขาว เห็นแล้วเขาก็ถามว่า “หนิงเยี่ยน อันนี้ฝูเซียงให้มาหรือ”
“ไม่ใช่!” สวี่ชีอันปล่อยให้เขาถอดถุงหอมออกไป
“เจ้าหนู เจ้าคงไม่ได้มีคู่หมั้นด้วยหรอกใช่ไหม” ซ่งถิงเฟิงค่อยๆ เบิกตาตี่ของเขาขึ้น เอ่ยด้วยความอิจฉา
“ไม่มี” สวี่ชีอันแย่งถุงหอมกลับมา แล้วนอนลงอีกครั้ง ถุงหอมสีม่วงห้อยอยู่ที่ปลายจมูก ส่งเสียงพึมพำเบาๆ “นางเป็นแค่น้องสาวของข้า น้องสาวบอกว่าสีม่วงนั้นมีเสน่ห์”
“หนิงเยี่ยนทำไมไม่แต่งเมียล่ะ” จูกว่างเสี้ยวแสดงความสงสัย
ในสายตาเขา สวี่ชีอันไม่เพียงได้รับความชื่นชมอย่างลึกซึ้งจากเว่ยกงเท่านั้น เขายังได้รับพระราชทานรางวัลเป็นทองคำหนึ่งพันตำลึงจากฝ่าบาท เส้นทางอนาคตและเงินทองดั่งดอกไม้บาน
ตัวเขาก็ถึงวัยแต่งภรรยามีลูกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง