ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 181

บทที่ 181 ตัวตนของหมายเลขหนึ่ง
หลังเสร็จสิ้นคดีซังผอ ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขหกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หรือว่าหมายเลขสามและหมายเลขหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน หรือแม้แต่นักพรตเต๋าจินเหลียนก็ตาม แต่ละคนไม่เคยเปิดเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับของที่ถูกผนึกให้กับพรรคฟ้าดินเลย

หากบอกว่าไม่สงสัยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่หลังจากหมายเลขหกเข้าไปในคุกใต้ดินของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ปิดปากไม่ยอมพูดถึง

ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าหมายเลขหกผู้มาจากสำนักพุทธได้ทำสัญญารักษาความลับอะไรบางอย่างกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

แต่ความจริงหมายเลขหกแค่ไม่อยากพูดถึงเรื่องเศร้าเรื่องนี้อีก

ส่วนนักพรตเต๋าจินเหลียนยิ่งเป็นเหมือนกับคนดูอยู่ข้างๆ น้อยครั้งที่จะเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมาก่อน เพียงเข้าร่วมสนทนาบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น

หมายเลขหนึ่งชอบแอบอ่าน จิตใจลุ่มลึก คนที่เหลือไม่ค่อยคาดหวังกับเขานัก ที่เขา (นาง) เงียบไปก็สมเหตุสมผลอยู่

วันนี้ในที่สุดหมายเลขสามก็ยอมพูดคุยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาสักที

‘…หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นผู้จัดการคดีซังผอ แม้จะเป็นความลับระดับสูงภายในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่สาเหตุที่หมายเลขสามเอามาพูดในตอนนี้ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เขาเพิ่งจะล่วงรู้กระบวนการสืบคดีซังผออย่างแท้จริง และเพิ่งเข้าใจความลับที่อยู่ในนั้น’ หมายเลขสี่วิเคราะห์ตามสัญชาตญาณ

‘…หมายเลขสามเป็นคนที่ยินดีแบ่งปันข้อมูล เขาเป็นบัณฑิตใจคอกว้างขวาง สาเหตุที่เขาสงสัยหยางชวนหนานก็เพราะเขาวิเคราะห์สถานการณ์จากข้อมูลออกมาแล้ว ไม่เจือปนความชื่นชอบส่วนตัวมากเกินไป’ ความไม่พอใจภายในใจของหมายเลขสองสลายกลายเป็นหมอกควันทันที

‘ห้า: เจ้าอยากใช้ข้อมูลนี้มาแลกกับอะไร’

หมายเลขห้าเอ่ยถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

‘…เจ้าโง่เง่านี่!’ หมายเลขสี่และหมายเลขสองก่นด่าในใจขึ้นมาพร้อมกัน

‘สาม: ไม่จำเป็นต้องตอบแทน ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรคฟ้าดิน บางครั้งก็ไม่ควรสนใจเรื่องกำไรขาดทุน ข้อมูลครั้งนี้จะบอกกับทุกคนโดยไม่เก็บค่าตอบแทน’

หลักๆ ที่ข้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็เพื่อสืบหาตัวตนของภิกษุเสินซู ถ้ายังเก็บเงินอีกก็รู้สึกไร้มนุษยธรรมไปสักหน่อย…อืม ครั้งหน้าถ้ามีข้อมูลมีค่าอีก ข้าก็ยังเก็บเงินนะ สวี่ชีอันเสริมในใจ

‘หมายเลขสามช่างใจกว้างจริงๆ ไม่เหมือนข้าที่คิดจะขายข้อมูลได้ทั้งวัน’ …หมายเลขห้าคิดอย่างละอายใจ จากนั้น ในใจนางก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา

‘แต่นี่เป็นวิธีการที่หมายเลขสามเป็นคนเริ่มขึ้นมาก่อนไม่ใช่เหรอ!’

สวี่ชีอันเงยหน้ามองสหายร่วมหน่วยสองคนที่ยังหลับสนิท เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาสบายดี ก็ส่งข้อความต่อ ‘เป็นมือข้างหนึ่ง เป็นท่อนมือของยอดฝีมือระดับสูงผู้หนึ่ง’

ท่อนมืออย่างนั้นหรือ?!

ข้อมูลนี่โจมตีทุกคนในพรรคฟ้าดินอย่างร้ายแรง พวกเขาเคยพูดคุยเกี่ยวกับของที่ถูกผนึกในซังผอ คาดเดากันว่าของที่ถูกผนึกน่าจะเป็นบุคคลเมื่อห้าร้อยปีก่อน

พอเริ่มเชื่อมโยงจากจุดนี้ ก็คิดว่าผู้แข็งแกร่งลึกลับที่ถูกผนึกผู้นั้นอย่างน้อยก็คงอยู่ในระดับสอง

‘แต่ว่าท่อนมือหรือ มือข้างหนึ่งจะถูกผนึกไว้ห้าร้อยปีได้อย่างไร’ …ในใจของหมายเลขห้ากรีดร้องอย่างบ้าคลั่งว่าเป็นไปไม่ได้ ขณะกำลังส่งข้อความคัดค้าน ทันใดนั้นก็นึกถึงการสำรวจจี่ยวน นึกถึงเทพเจ้ากู่ จิตใจก็เกิดสั่นไหวขึ้นมา

‘ห้า: ถ้าเป็นท่อนมือจริงๆ เช่นนั้นฐานะของเจ้าของมันต้องสูงมากทีเดียว ผู้ที่ถูกผนึกไว้ ล้วนแต่เป็นตัวตนที่ไม่อาจสังหารได้ทั้งนั้น’

คำพูดของจอมป่าเถื่อนจากหนานเจียงทำให้ทุกคนตกตะลึงราวกับตื่นรู้

ใช่แล้ว ตัวตนที่ถูกผนึกทั้งหลายล้วนแต่ฆ่าไม่ตาย ไม่อย่างนั้นเหตุใดต้องทำเรื่องไม่จำเป็นเช่นนี้เล่า

‘สาม: อาจจะใช่ แม้แต่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของมือท่อนนี้ เพราะสุดท้ายมันก็ถูกคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจเอาไปแล้ว ที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้ล่ะ’

‘แล้วที่เมื่อกี้เจ้าบอกว่า ‘ร่างจริง’ มันหมายความว่าอย่างไร’ …ทุกคนในพรรคฟ้าดินแอบด่าอยู่ในใจ

‘สอง: พวกเราลองนำยอดฝีมือระดับสุดยอดที่ตัวเองรู้จักมาสรุปรวม แล้วแยกกันทีละกลุ่มๆ บางทีอาจจะคาดเดาตัวตนของยอดฝีมือสะเทือนโลกาผู้นี้ได้นะ’

ตอนนี้เอง นักพรตเต๋าจินเหลียนก็ปรากฏตัว เขาแอบอ่านอยู่นาน หัวข้อเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกผนึกนั้นคล้ายจะดึงดูดความสนใจของเขาได้

‘เก้า: ตัดลัทธิเต๋าทิ้งไปได้เลย’

ไม่ต้องรอให้ทุกคนเอ่ยถาม เขาก็อธิบายออกมาว่า ‘ลัทธิเต๋าสามนิกายล้วนมิได้ฝึกฝนกายเนื้อ ถ้าหากมีผู้อาวุโสตนใดในลัทธิเต๋าถูกผนึกอยู่ ดวงจิตเดิมยังสามารถคงอยู่ได้นาน แต่กายเนื้อจะต้องเหี่ยวแห้ง ทว่าท่อนแขนข้างนั้นมีเลือดเนื้อพลุ่งพล่าน เปลวมารมหาศาล ไม่ใช่สายการฝึกตนของลัทธิเต๋าแน่’

สวี่ชีอันเอ่ยแทรก ‘โหราจารย์ก็ตัดออกไปได้ด้วย’

‘เอ๊ะ หมายเลขสามเป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ทำไมพวกแรกที่เขาตัดออกถึงเป็นโหราจารย์ แต่ไม่ใช่ลัทธิขงจื๊อล่ะ’ คำตอบของสวี่ชีอันทำให้หมายเลขสองและหมายเลขสี่ฉงนใจเล็กน้อย

‘ห้า: หมอผีก็ตัดไปได้ด้วยหรือเปล่า ช่วงหลายปีนี้เผ่าพันธุ์กู่ไม่มียอดฝีมือระดับหนึ่งเลย’

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็กล่าวเสริม ‘ลัทธิขงจื๊อก็ตัดออกไปได้เช่นกัน เรื่องนี้ข้าแน่ใจกว่าใคร’

ใช่ แน่ใจยิ่งกว่าใคร เพราะเจ้าของมือท่อนนั้นเป็นพระภิกษุ เป็นคนในสำนักพุทธน่ะสิ

‘สี่: ได้ เอาล่ะ ตอนนี้เหลือสี่สายการฝึกตน ทหาร เผ่าปีศาจ พ่อมด และสำนักพุทธ พ่อมดก็ไม่ได้ฝึกฝนร่างกายเป็นหลักเหมือนกัน อีกอย่าง ข้าจำได้ว่าคราวก่อนหมายเลขสามบอกว่า ค่ายกลที่ผนึกอยู่ใต้ซังผอเป็นอักขระพุทธ หากคาดเดาจากตรงนี้ สำนักพุทธก็มีส่วนร่วมในการผนึกด้วย ข้าจึงค่อนข้างเอนเอียงไปทางทหาร เผ่าปีศาจ และสำนักพุทธสามสายนี้’

วิเคราะห์ได้มีเหตุผลมาก สติปัญญาของหมายเลขสี่โดดเด่นมากในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี …สวี่ชีอันไม่ได้ชี้นำต่อ แต่มองดูอยู่ห่างๆ อย่างเงียบๆ

‘สี่: ข้าคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ดี บุคคลเมื่อห้าร้อยปีก่อนและอยู่ฝ่ายราชวงศ์ต้าฟ่งนั้น ข้ารู้จักแค่ท่านโหราจารย์รุ่นแรกเพียงคนเดียว’

ข้อมูลในปีนั้นถูกลบหายไปกว่าครึ่ง แทบจะตรวจสอบได้ยาก แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่แน่ใจได้เลย นั่นก็คือต้าฟ่งในปีนั้น ยังไม่ถึงขั้นที่บอกได้ว่าขาดแคลนอัจฉริยะ แต่อยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที ไม่อย่างนั้นจักรพรรดิอู่จงคงชิงบัลลังก์สำเร็จได้ยาก

ดังนั้น ฝ่ายราชวงศ์ในช่วงห้าร้อยปีก่อนจึงไม่มีทางมีระดับหนึ่งพร้อมกันถึงสองคนได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง