ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 180

บทที่ 180 กลุ่มสนทนา
“ทราบแล้วขอรับ”

พอตอบกลับผู้ติดตามไปแล้ว สวี่ชีอันก็ลุกขึ้นนั่ง เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า

ซ่งถิงเฟิงรู้สึกว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ เคลื่อนไหวก็ส่งเสียงงึมงำออกมา แล้วถามว่า “เจ้าจะไปไหน”

สวี่ชีอันเอ่ยกระซิบ “ข้าจะออกไปข้างนอก เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

ซ่งถิงเฟิงร้อง “อืม”

บทสนทนาจบลง สีหน้าของทั้งคู่ก็แข็งทื่อทันที จากนั้นก็ตัวสั่นระริกขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไสหัวไปๆ” ซ่งถิงเฟิงถูแขนขนลุก ร้องด่าว่า “เจ้ารบกวนฝันดีของข้า”

พอสวี่ชีอันออกไปแล้ว จูกว่างเสี้ยวที่เดิมหันหลังให้กับซ่งถิงเฟิงก็หันกายมาเงียบๆ

แสงจันทร์ดั่งวารี ดาราเดียวดาย

ผิวน้ำเงียบสงัด ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นใต้แสงจันทร์ ดุจเกล็ดที่ส่องประกายแสงสีเงิน

ห้องของผู้ตรวจการจางจุดโคมสว่าง สวี่ชีอันเคาะประตู หลังจากได้รับคำอนุญาตแล้ว ก็ผลักประตูห้องของใต้เท้าผู้ตรวจการออก

ในห้องที่ไม่นับว่ากว้างใหญ่อะไร ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงนั่งดื่มชาอยู่ตรงข้ามกัน คนหลังชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ “นั่งสิ รินชาเอาเอง”

ผู้ตรวจการจางผู้ไว้เคราแพะและมีสีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้าให้กับสวี่ชีอันเบาๆ

สำหรับฆ้องทองแดงแสนอัศจรรย์ที่เคยปรากฏตัวในราชสำนักถึงสองครั้งสองครา และเอาชนะเจ้ากรมได้ทั้งสองครั้งคนนี้ ผู้ตรวจการจางมีท่าทีสนใจและเป็นมิตรอย่างถึงที่สุด

ดื่มชากลางดึกแบบนี้ การนอนดีเกินไปแล้วมั้ง สวี่ชีอันนั่งลง น้ำเสียงค่อนข้างเป็นกันเอง “ใต้เท้าทั้งสอง เรียกข้าน้อยมามีเรื่องใดหรือ”

ฝ่ายตรวจการและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่คนละหน่วยงาน แต่ก็มีหัวหน้าคนเดียวกัน นั่นก็คือเว่ยเยวียน ดังนั้นผู้ตรวจการจางจึงถือว่าเป็นคนกันเอง สวี่ชีอันไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวหรือมีพิธีรีตองนัก

ผู้ตรวจการจางเอ่ยยิ้มๆ “ใต้เท้าสวี่ทำคดีได้ราวกับเทพ มีความสามารถเหนือคน ข้าเรียกให้เจ้ามากลางดึกก็เพราะอยากพูดคุยเรื่องภารกิจไปอวิ๋นโจวครั้งนี้”

สวี่ชีอันไตร่ตรองก่อนเอ่ยพูด “ใต้เท้าคิดว่าอย่างไรขอรับ”

ผู้ตรวจการจางกล่าว “ข้าดูสำนวนความแล้ว การตายของโจวหมินไม่มีเบาะแส ไม่มีบาดแผล ไม่ได้ถูกพิษ เป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติ แต่การตายอย่างคลุมเครือ และไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้ ก็ถือเป็นเบาะแสอย่างหนึ่ง”

โจวหมินคือสายลับที่ตายอย่างไม่ทราบสาเหตุผู้นั้น

เจียงลวี่จงกล่าวเสริม “ในแต่ละสายการฝึกตน ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้ก็มีแค่ลัทธิเต๋าและพ่อมดเท่านั้น ตามข้อคิดเห็นในคดีของเจ้ากรมโยธา พรรคฉีกับสำนักพ่อมดสมรู้ร่วมคิดกัน ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าฆาตกรคงเป็นพ่อมดฝันระดับสี่”

สวี่ชีอันพยักหน้า อย่างแรกคือมั่นใจในสติปัญญาของผู้ตรวจการจางแล้ว เขาเป็นขุนนางมีสติ ไม่เลอะเลือน รู้ว่าต่อไปตนกำลังจะเผชิญกับอะไร

แบบนี้ก็สบายแล้ว

เขาล่ะกลัวจะต้องเจอหัวหน้าที่ไม่ชอบทำงานให้สำเร็จลุล่วง ดีแต่ทำเสียเรื่องจริงๆ

ไม่กลัวคู่ต่อสู้ผู้มีจิตใจเดียวกัน กลัวก็แต่สหายร่วมรบจะเหมือนหมู พูดตามตรง ก่อนหน้านี้ผู้ตรวจการจางดูอ่อนแอเสียไม่มี สวี่ชีอันจึงเป็นกังวลในเรื่องนี้อย่างมาก

อย่างที่สองคือมั่นใจในการคาดเดาของเจียงลวี่จง

ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนด้วยวิธีใดก็ตาม ล้วนทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนทั้งสิ้น ไม่ได้หมายถึงเบาะแส แต่เป็นความรู้สึกตามสัญชาตญาณ แบบที่แค่มองคนก็รู้แล้วว่าเขา ‘ถูกฆาตกรรม’

แม้ว่าจะทำลายวิญญาณด้วยวิธีการขั้นสูง แต่ผู้ตายก็ได้แสดงลักษณะสีหน้าแข็งทื่อหวาดกลัวออกมา

ผู้ที่สามารถทำให้คนตายเหมือนนอนหลับไปได้นั้น มีเพียงลัทธิเต๋าและสำนักพ่อมดเท่านั้น นี่เป็นการวิเคราะห์ที่ง่ายดายอย่างยิ่ง

“ใต้เท้าคิดว่าพอพวกเราไปถึงอวิ๋นโจวแล้วควรจะตรวจสอบอย่างไรดีขอรับ” สวี่ชีอันขอคำแนะนำอย่างถ่อมตน

การสืบคดีนั้นเขาชำนาญ แต่การติดต่อราชการ เขาไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเลย

“โจวหมินเป็นสายลับมากประสบการณ์ผู้หนึ่ง เขาไม่มีทางทิ้งหลักฐานสำคัญเอาไว้ข้างกายแน่ ที่พวกเราต้องทำก็คือตามหาหลักฐานที่เขาซ่อนเอาไว้ออกมา เรื่องนี้ใต้เท้าสวี่เป็นยอดฝีมือ ถึงเวลานั้นหวังว่าจะได้พึ่งพาเจ้าแล้วล่ะ”

ใต้เท้าผู้ตรวจการเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง เชื่อถือในความสามารถทางการงานของสวี่ชีอันอย่างมาก

“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ” สวี่ชีอันคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งได้ทันที เขาขมวดคิ้วกล่าว “หยางชวนหนานเป็นผู้บัญชาการเมืองอวิ๋นโจว มากด้วยอำนาจทหารและพลเรือน จะเป็นการบีบบังคับต่อต้านเขาหรือไม่ขอรับ พอถึงเวลานั้น พวกเราจะเผชิญภัยเป็นพวกแรก แล้วถูกชำระบัญชีเอาได้”

ขุนนางที่มีอำนาจทหารและขุนนางในเมืองหลวงนั้นแตกต่างกัน องครักษ์หกกองและทหารรักษาวังสามทัพในเมืองหลวงล้วนอยู่ในการควบคุมขององค์จักรพรรดิ ขุนนางบุ๋นไร้ซึ่งอำนาจต่อกรเป็นทุนเดิม

แต่ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการมณฑล มีอำนาจทหารอยู่ในมือ แล้วจะให้ผู้อื่นมาเข่นฆ่าตามอำเภอใจได้อย่างไร

“นี่เป็นความเสี่ยงที่พวกเราจำเป็นต้องยอมรับ ให้ข้ากับฆ้องทองคำเจียงไกล่เกลี่ยและจัดการ ถึงตอนนั้นเจ้ารอฟังคำสั่งก็พอ” ผู้ตรวจการจางรับภาระ

“พอถึงอวิ๋นโจว บางทีข้าอาจจะดึงตัวช่วยกลุ่มหนึ่งมาได้ขอรับ” สวี่ชีอันกล่าว

“ตัวช่วยหรือ” ผู้ตรวจการจางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัย

“ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะขอรับ” สวี่ชีอันไม่กล้ารับประกัน

ผู้ตรวจการพยักหน้า ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

“ใต้เท้าจาง ท่านรู้จักอวิ๋นโจวมากแค่ไหนหรือขอรับ” สวี่ชีอันคิดแล้วก็พูดว่า “ข้าหมายถึงเรื่องการโจรกรรม”

ผู้ตรวจการจางนิ่งคิดไปเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าว “ที่อวิ๋นโจวถูกเรียกว่าเมืองโจรนั้นมีสาเหตุอยู่ เรื่องนี้ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์ ต้องเริ่มเท้าความตั้งแต่ ‘การกวาดล้างคนชั่วข้างกายองค์จักรพรรดิ’ เมื่อห้าร้อยปีก่อน…”

ประวัติศาสตร์ช่วงที่จักรพรรดิอู่จงชิงบัลลังก์นั้น เดิมทีสวี่ชีอันไม่รู้ พอผ่านคดีซังผอมาถึงได้เข้าใจ

“ปีนั้นจักรพรรดิอู่จงได้นำกองทัพบุกเมืองหลวง…จากนั้นก็ปราบหลายเมืองไว้ได้ แต่เจอกับการต่อต้านรุนแรงจากทหารรักษาเมืองในอวิ๋นโจว ผู้บัญชาการอวิ๋นโจวในตอนนั้นเป็นแม่ทัพมีชื่อเสียง เชี่ยวชาญการใช้กำลังทหาร และชำนาญการคุ้มกันเมืองเสียยิ่งกว่า แม้ว่าจักรพรรดิอู่จงจะมีกลยุทธ์ แต่ก็ไม่อาจบุกยึดอวิ๋นโจวได้ในคราวเดียว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง